ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 377 นั่นคือความหวั่นไหว

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 377 นั่นคือความหวั่นไหว

ดวงตาของชายหนุ่มดำสุกใส แต่ในขณะนี้ถูกย้อมด้วยอารมณ์อื่น

หัวใจของลั่วเซิงราวกับถูกทิ่มเบาๆ ไม่ถึงกับเจ็บ แต่กลับทำให้นางรู้สึกอยากถอย

นางถอยไปหนึ่งก้าว พูดด้วยเสียงสงบว่า “ต้นพลับไม่มีอะไรน่าดู ไปนั่งในห้องโถงกันเถอะเจ้าค่ะ”

เว่ยหานตั้งสติได้ภายใต้แววตาเย็นชาของอีกฝ่าย เขาพยักหน้า “ดี”

มือที่อยู่เหนือศีรษะเด็กสาวลดลงมา ในใจรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ลั่วเซิงเดินเข้าไปในห้องโถงก่อน เว่ยหานเดินตามหลัง มองแผ่นหลังของนางแล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิด

เขารู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่กับคุณหนูลั่ว ตนเองจะเปลี่ยนไปแปลกๆ

ลั่วเซิงไม่ได้เหลียวมามอง นางเปิดม่านประตูหนาเดินเข้าไปในห้องโถง

ม่านประตูแกว่งไปมาเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เว่ยหานที่กลับมาสงบแล้วเดินเข้ามา

สือเยี่ยนมองคนนี้ทีหนึ่งแล้วมองคนนั้นอีกที สายตาเป็นประกาย

เหมือนกับว่านายท่านจะทะเลาะกับคุณหนูลั่ว เพราะพวกเขาดูผิดปกติไป

“นายท่าน ยังห่างจากเวลาเปิดร้านอีกนาน ท่านจะรับอะไรดื่มก่อนหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ดื่มแล้ว ข้ายังมีธุระต้องจัดการ” เว่ยหานมองไปที่ลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว ข้ากลับก่อนแล้ว ไว้จะมาใหม่”

“ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”

เว่ยหานเดินไปทางประตูสองก้าวแล้วเรียกสือเยี่ยน “ไปส่งข้า”

สือเยี่ยนขานตอบ ขว้างผ้าสีขาวที่พาดบนบ่าลงบนโต๊ะแล้วเดินตามออกไป

“นายท่าน ท่านมีอะไรจะถามหรือไม่ขอรับ”

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เขารู้เกี่ยวกับคุณหนูลั่ว เขาสามารถบอกนายท่านได้หมด

ขอเพียงนายท่านกล้าถาม เขาก็กล้าบอก

หิมะที่กองบนถนนถูกกวาดไปสองข้างทางแล้วกองไว้ใต้ต้นไม้

ผู้คนบนถนนน้อยนิด

เว่ยหานมองสือเยี่ยน ถามสิ่งคาใจ “เจ้าอยากเจอเพื่อนคนหนึ่งทุกวันหรือไม่”

สือเยี่ยนส่ายศีรษะ “ไม่ขอรับ นอกเสียจากว่าเขาจะเลี้ยงข้าน้อยกินข้าวในหอสุราทุกวัน”

เพื่อนอะไรเจอกันทุกวัน ไม่รำคาญหรือ

เว่ยหานได้ยินก็ขมวดคิ้ว

หรือว่าที่เขาอยากเจอคุณหนูลั่วทุกวัน เป็นเพราะสถานที่เจอกันคือหอสุรา

จู่ๆ สือเยี่ยนก็ตั้งสติได้ “นายท่าน เพื่อนที่ท่านหมายถึงคือคุณหนูลั่วหรือขอรับ”

เว่ยหานพยักหน้า

สือเยี่ยนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยความระมัดระวังว่า “นายท่าน ท่านเห็นคุณหนูลั่วเป็นเพื่อนหรือขอรับ”

เว่ยหานมององครักษ์น้อยด้วยสายตาราวกับมองคนโง่เขลา “ทำไมรึ”

เขาและคุณหนูลั่วยังไม่นับว่าเป็นเพื่อนกันในสายตาของผู้อื่นหรือ

“แค่เพื่อนหรือขอรับ” สือเยี่ยนถามเสียงสูงขึ้น เหมือนกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านจึงไม่เอาไหน

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ นายท่านที่มาหาคุณหนูลั่วทุกวันจะอยากเป็นแค่เพื่อนกับคุณหนูลั่ว!

“เพื่อนสนิท” เมื่อคิดถึงช่วงนี้ที่ได้ดูต้นพลับกับคุณหนูลั่วด้วยกันหลายครา เว่ยหานก็ยกมุมปากเล็กน้อย

สือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ท่านไม่เคยคิดเลยหรือว่าท่านชอบคุณหนูลั่ว”

ชอบหรือ

เว่ยหานชะงักฝีเท้าลงทันที หัวใจที่เดิมทีสงบลงแล้วเต้นรัวอีกครั้ง

ชอบอย่างนั้นหรือ

“ชอบในเชิงชู้สาว ชอบแบบที่อยากจะแต่งนางเข้าจวนน่ะขอรับ” สือเยี่ยนผิดหวังอย่างยิ่งจนเกือบจะคุกเข่าลงแล้ว

ส่วนเว่ยหานตะลึงงันอย่างสมบูรณ์

แต่งงานกับคุณหนูลั่ว?

สิ่งแรกที่เห็นเมื่อตื่นนอนทุกวันคือคุณหนูลั่ว และสิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนนอนก็คือคุณหนูลั่วเช่นกัน…

เพียงแค่คิดเช่นนี้ หัวใจดวงนั้นก็โบยบิน

เว่ยหานมองสือเยี่ยนนิ่ง

สือเยี่ยนถูกมองจนรู้สึกขนลุก

หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเข้าใจผิดไปเอง นายท่านไม่มีความคิดอยากจะแต่งงานกับคุณหนูลั่วเลย แค่เล่นๆ เท่านั้นหรือ

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ สีหน้าขององครักษ์น้อยก็จริงจังขึ้นมา

เขามิอาจเฝ้าดูนายท่านของเขาหลงทางได้!

“นายท่าน ท่าน… คิดอย่างไรกันแน่ขอรับ”

“ยังไม่รู้ ไม่ต้องส่งข้าแล้ว กลับไปเช็ดโต๊ะเถอะ”

สือเยี่ยนเงียบก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่ยอมแพ้ “แต่ว่า…”

เว่ยหานขมวดคิ้ว “หรือไม่ให้ข้าเปลี่ยนสืออี้มาแทน?”

สือเยี่ยนหุบปากทันที

เว่ยหานเดินสาวเท้าไปข้างหน้า ภายใต้เปลือกนอกที่นิ่งสงบคือหัวใจที่ไหวหวั่น

เห็นได้ชัดว่าคุณหนูลั่วไม่อยากเข้าใกล้เขา เขายังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร

เขาต้องกลับจวนสงบอารมณ์เล็กน้อย

เว่ยหานกลับจวนอ๋องไปสงบอารมณ์ ทางฝั่งบ่อนทองพันชั่งกำลังดำเนินการตามแผน

เมื่อใกล้ค่ำ การพนันดำเนินไปอย่างครื้นเครง นักพนันที่กำลังตื่นเต้นเร้าใจไม่ได้สังเกตว่าบ่อนการพนันถูกล้อมเอาไว้แล้ว

“พวกเจ้าคือใคร” คนของบ่อนทองพันชั่งพบความผิดปกติ ถามอย่างดุร้าย

“เจ้าพนักงานปฏิบัติราชการ” ชายหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนนักพนันทั่วไปหยิบป้ายคำสั่งของเขาออกมาแล้วตะโกนว่า “จับซะ!”

ทันใดนั้น คนหลายสิบคนก็ชักอาวุธออกมาและจับคนที่อยู่ข้างๆ พวกเขาเอาไว้

บ่อนพนันโกลาหลในทันที

เจ้าพนักงานพูดเสียงดังว่า “เจ้าพนักงานจับนักโทษสำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจงอยู่เฉยๆ อย่าขยับ มิเช่นนั้นอาวุธไร้ตา หากเสียชีวิตก็จงยอมรับว่าเป็นความโชคร้ายของตน”

นักพนันเหล่านั้นที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ตกใจจนไม่กล้าขยับ

คนที่ถูกเพ่งเล็งเริ่มต่อต้าน แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าพนักงานเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือหนึ่งในร้อย อีกทั้งยังได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน ผ่านไปไม่นานก็ยอมจำนน

ผู้ดูแลจูปะปนอยู่ท่ามกลางนักพนัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่เข้าใจเหมือนกับเหล่านักพนัน

เมื่อเห็นเจ้าพนักงานนำตัวคนไปแล้วก็มีคนประชิดตัวเข้ามาใกล้ผู้ดูแลจูถามเขาว่า “ผู้ดูแลจู เราทำอย่างไรดี”

“ไปแจ้งเถ้าแก่เดี๋ยวนี้”

เจ้าของบ่อนทองพันชั่งทราบข่าวแล้วก็รีบเร่งเดินทางมา มองดูบ่อนพนันที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “น้องจู นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“น้องก็ไม่ทราบ จู่ๆ เจ้าพนักงานที่แต่งตัวเป็นนักพนันก็จับตัวคนไป…”

“จับใครไปบ้าง”

ผู้ดูแลจูเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน เขามอบรายชื่อให้

เจ้าของบ่อนทองพันชั่งกวาดตาผ่านรายชื่อ มองผู้ดูแลจูด้วยสีหน้าสงสัย “น้องจู มากกว่าครึ่งในคนเหล่านี้ล้วนใกล้ชิดกับเจ้า เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรผิดหรือ”

“น้องไม่ทราบจริงๆ”

“เอาเถอะ ข้าจะไปสืบดู”

เจ้าของบ่อนทองพันชั่งออกจากบ่อนพนัน เร่งเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง

บ่อนทองพันชั่งมีประวัติอันยาวนานท่ามกลางบ่อนพนันในเมืองหลวง ทั้งยังตั้งอยู่ในเมืองตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าผู้สูงศักดิ์ อันที่จริงเจ้าของบ่อนทองพันชั่งแค่ถูกผลักออกมารับผิดชอบ แท้จริงแล้วย่อมมีคนคอยหนุนหลัง

คนเบื้องหลังคนนั้นได้ยินคำรายงานของเจ้าของบ่อนทองพันชั่งก็ส่งคนไปสืบทันที จากนั้นก็สืบไปถึงไคหยางอ๋อง

“หลังจากบ่อนพนันเปิดหลังเทศกาลโคมไฟ รีบไล่น้องบุญธรรมคนนั้นของเจ้าไปเสีย”

แม้จะสืบไม่ได้ว่าผู้ที่ถูกจับตัวไปกระทำความผิดอะไร แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วต้องกำจัดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไปก่อน จะได้ไม่ทำให้บ่อนพนันเสียหาย

ผู้ดูแลจูทราบข่าวว่าถูกไล่ออก เขาก็โค้งคำนับเจ้าของบ่อนทองพันชั่งอย่างสุดซึ้งและออกจากบ่อนทองพันชั่งไปเงียบๆ

หิมะเริ่มตกอีกครั้ง บนถนนแทบไม่มีผู้คน

ผู้ดูแลจูเดินช้าๆ ไปทางประตูเมือง เขาไม่กล้าเผยสีหน้าเร่งรีบ เมื่อเดินผ่านถนนชิงซิ่งก็เหลือบเห็นธงหอสุราสีเขียว บนนั้นเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘มีหอสุรา’

เขาชะงักฝีเท้าด้วยสัญชาติญาณ มองธงหอสุราท่ามกลางหิมะและสายลม ทันใดนั้นก็นึกถึงคำเชิญนั้น

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท