ตอนที่ 544 คนในทีวีมาอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้มองเลยหรือ
ตอนที่ 544 คนในทีวีมาอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้มองเลยหรือ
หลังจากที่วังซูเฟินเข้ามาทักทาย คุณยายโจวก็พูดเบา ๆ ว่า “อาสะใภ้รองเจียเหอเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เดี๋ยวนี้รู้จักปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรมากกว่าเมื่อก่อนมาก”
ผู้เฒ่าโจวพยักหน้า “ใช่แล้ว เมื่ออายุมากขึ้น นิสัยของคนก็พลอยเติบโตตามไปด้วย”
“ทุกคนเชิญนั่งลงก่อนค่ะ”
คุณย่าเฉินรออยู่เป็นเวลานานทีเดียว เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าทั้งสองคนของตระกูลโจวมาถึงแล้ว ก็ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น “พ่อตา แม่ยาย ฉันตั้งหน้าตั้งตารอโอกาสอันดีแบบนี้มานานเหลือเกิน พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบยี่สิบปีแล้วกระมัง ยังไม่ได้คุยกันเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง”
คุณยายโจวยิ้มแล้วพูดว่า “การเดินทางจากบ้านเกิดของเรามาที่นี่ไม่สะดวกนัก ยิ่งแก่ตัวลงฉันยิ่งไม่อยากจากบ้านไปไกลค่ะ”
“ครั้งนี้พวกคุณต้องอยู่ให้นานหน่อย เราจะผลัดกันพาพวกคุณไปเยี่ยมชมสังคมเมืองรอบ ๆ ไห่เฉิง ที่นี่เปลี่ยนไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
“จริงด้วย พวกเรายังตื่นตาไม่หายเมื่อเห็นตึกรามบ้านช่องสูง ๆ พวกนั้นระหว่างนั่งรถมาตลอดทาง จำได้ว่าสองข้างทางเคยเป็นบังกะโลธรรมดามาก่อน”
คราวนี้ผู้เฒ่าเฉินให้ความสำคัญกับการมาเยือนของครอบครัวฝั่งสะใภ้จริง ๆ เขายืนขึ้น ยกแก้วแล้วพูดว่า “ขอให้ผมได้ดื่มต้อนรับพ่อตาและแม่ยาย พร้อมด้วยเจี้ยนกั๋วและภรรยาสู่เมืองไห่เฉิงเถอะ”
“ผมดีใจมากจริง ๆ ที่ในที่สุดพวกเราทั้งครอบครัวก็ได้มารับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้า ยินดีมากกว่าที่ครอบครัวของฝั่งสะใภ้เป็นอันหนึ่งอันเดียว”
“มา มาดื่มด้วยกันเถอะ”
ผู้เฒ่าเฉินยกแก้วเครื่องดื่มเป็นคนแรก หลังจากนั่งลงแล้ว เขาก็เริ่มพูดคุยกับครอบครัวฝั่งแม่ของลูกสะใภ้อย่างกระตือรือร้น
แม้ผู้เฒ่าโจวจะมาจากชนบท แต่เขาก็เป็นปัญญาชนที่มีความรู้ มีอายุใกล้เคียงกันกับผู้เฒ่าเฉิน นอกจากนี้หัวข้อเกี่ยวกับคนรุ่นหลังยังทำให้ทั้งสองสามารถพูดคุยกันได้อย่างกลมกลืน
ผู้เฒ่าเฉินจับมือผู้เฒ่าโจวไว้ ขอบคุณเขาอย่างจริงใจว่า “พ่อตา เรารู้สึกขอบคุณคุณและแม่ยายอย่างมากมาโดยตลอด ตอนนั้นคุณต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เพื่อที่จะพาเจียเหอไปช่วยเลี้ยงดูที่บ้านเกิด ถึงอย่างนั้นพวกคุณก็อบรมสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี เราขอบคุณมากจริง ๆ”
ผู้เฒ่าโจวยิ้มแล้วตอบกลับ “ขอบคุณอะไรกัน? นั่นก็หลานชายของผมเหมือนกัน เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูแลเขา”
ตอนนี้เขาแก่ตัวลงมากแล้ว ดีใจมากที่เห็นหลานชายซึ่งเลี้ยงมากับมือหล่อเหลา มีอาชีพการงานที่ดี มีครอบครัวแสนอบอุ่นสุขสันต์ เห็นแบบนี้แล้วตาแก่อย่างเขาก็ภาคภูมิใจ
ยายของเฉินเจียเหอเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้านมาเป็นเวลานาน เวลานี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย หญิงชราก็ค่อนข้างอึดอัด โชคดีที่มีลูกสาว ลูกสะใภ้ คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยไม่ห่าง ดังนั้นหญิงชราจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงและปรับตัวได้
ในที่สุดคุณแม่เซี่ยก็รอจนกระทั่งยายของเฉินเจียเหอมีช่องว่างจากการพูดคุย เรียกอีกฝ่ายว่า ‘คุณพี่’ อย่างเป็นกันเอง หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้ากันได้อย่างราบรื่น
หวังอวี้เสียแต่งตัวตามแฟชั่น เพื่อไม่ให้โจวลี่หรงและหลินเซี่ยต้องอับอายขายหน้า แต่เมื่อมองไปที่โจวลี่หรง กลับพบว่าอีกฝ่ายยังคงสวมชุดสูทสีดำเชย ๆ แบบเดิมไม่เคยเปลี่ยนมานับพันปี ได้ยินมาว่าหลินเซี่ยเป็นคนเปลี่ยนทรงผมให้เธอดูตามสมัยนิยมมากขึ้น เดาว่าถ้าปราศจากการปรับเปลี่ยน ผู้หญิงคนนี้คงไม่ต่างจากผู้หญิงชาวชนบททั่วไป
หวังอวี้เสียมองอาสะใภ้รองของเฉินเจียเหออย่างระมัดระวังอีกครั้ง หล่อนแต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงมีสตางค์ส่วนใหญ่ ชูคอทำหน้าระรื่นเหมือนนกยูง มองหาโอกาสที่จะรำแพนหางอยู่เสมอ
สะใภ้ทั้งสองคนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเกตความสงบและนิสัยซึ่งมีความเป็นผู้นำสูงของโจวลี่หรงแล้ว หวังอวี้เสียก็ตระหนักว่าความกังวลของตัวเองนั้นไม่สำคัญเลย
โจวลี่หรงทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ เป็นไปไม่ได้เลยที่หล่อนจะอยู่ต่ำกว่าหญิงผู้ฉาบฉวยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตาหรือการแต่งกาย
หวังอวี้เสียขยับเข้าหาโจวลี่หรง ถามด้วยเสียงต่ำว่า “พี่ เดี๋ยวนี้พี่กับน้องสะใภ้ญาติดีกันแล้วเหรอ?”
โจวลี่หรงนั่งตัวตรงทันทีพลางตอบว่า “อืม ก็ดี”
“ไม่เลย อาสะใภ้รองเป็นคนดีมาก”
หวังอวี้เสีย “…”
วังซูเฟินเป็นคนที่มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ เดิมทีคิดว่าวันนี้มีคนมารวมตัวกันมากมายแล้วหล่อนอาจจะหาจังหวะเข้าสังคม แสดงความแข็งแกร่งและจุดเด่นของตัวเองได้
กลับกลายเป็นว่าหล่อนไม่สามารถแทรกบทสนทนาของใครได้เลย
น่ารำคาญจริง ๆ!
ขณะที่กำลังจะขอให้โจวลี่หรงช่วยแนะนำตัวตนของเธอให้ญาติ ๆ ฟัง วังซูเฟินก็สังเกตเห็นว่าสายตาของเฉินเจิ้นกั๋วดูเหมือนจะจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่งตาไม่กะพริบ วังซูเฟินจึงเอื้อมมือไปใต้โต๊ะแล้วหยิกขาสามี
หล่อนแค่นเสียงลอดไรฟัน “มองอะไรของคุณ?”
“ไม่ได้มองอะไรซะหน่อย”
เฉินเจิ้นกั๋วกลัวมากจนเบือนหน้าไปทางอื่น
วังซูเฟินบิดเนื้อต้นขาเขาอีกครั้งด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ช่วยสำเหนียกถึงอายุของตัวเองหน่อยได้ไหม? นั่นใช่คนที่คุณควรสนใจเหรอ?”
ดวงตาของเฉินเจิ้นกั๋วกะพริบปริบ ตอบโต้ว่า “คนในทีวีมานั่งอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้ผมมองเลยเหรอ?”
เขาแค่รู้สึกสงสัยว่าครอบครัวของอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับดาราภาพยนตร์คนนี้จริง ๆ หรือ
วังซูเฟินข่มขู่ด้วยเสียงต่ำ
“ถ้าควบคุมสายตาตัวเองยากนักละก็ อย่ามาต่อว่าที่ฉันไม่ไว้หน้าคุณก็แล้วกัน”
เมื่อเฉินเจิ้นกั๋วได้ยินดังนั้น เขาก็ตอบรับว่าโอ้ ก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟัง
ด้านเย่ไป๋เองก็สังเกตเห็นว่ามีบางคนกำลังจ้องมองเซี่ยอวี่ตาเป็นมัน เขาก็ขยับร่างกายโดยอัตโนมัติ พยายามปิดกั้นสายตาของอีกฝ่าย
โชคดีที่ผู้ชายคนนั้นถอนสายตาออกไปแล้ว
เมื่อเซี่ยอวี่เห็นเย่ไป๋โน้มตัวไปข้างหน้าแบบผิดสังเกต หล่อนก็หัวเราะเบา ๆ “ปิดบังอะไรอยู่เหรอ?”
การแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนี้แรงกล้าเสียจริง
หล่อนเป็นบุคคลสาธารณะ เขาคนเดียวหรือจะสามารถปิดกั้นหล่อนจากสายตาของผู้คนมากมาย?
เย่ไป๋กลับมานั่งตัวตรง คอยตักกับข้าวให้หล่อน
“ไม่มีอะไรนี่”
เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียเดินมาแนะนำตัวกับผู้ใหญ่ ชายและหญิงชราทั้งสองเต็มไปด้วยความยินดี
“แม่หนูคนนี้หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว”
เมื่อนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เฉินเจียซิ่งพามาที่บ้านเกิดในช่วงปีใหม่ พอมองดูเด็กสาวที่เรียบง่ายคนนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ
ในขณะเดียวกัน ถึงหยางหงเสียจะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับทุกคน แต่หล่อนก็มีความกังวลอยู่เสมอ
แม่ของหล่อนบอกว่าจะเรียกสินสอดเพิ่มอีกห้าร้อยหยวน แต่หล่อนยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเฉินเจียซิ่ง
นั่นเพราะกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะโกรธจนพาลยกเลิกงานแต่งไปเสีย
เมื่อมองดูญาติพี่น้องของตระกูลเฉิน รวมถึงบรรยากาศความมั่งคงทรงพลังของทุกคน หล่อนก็อดนึกไปถึงพ่อแม่ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างชนชั้นล่างไม่ได้ ทำให้รู้สึกซับซ้อนมาก
เพื่อเห็นแก่อนาคตในวันข้างหน้า หล่อนคงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมและความห่างระหว่างชนชั้นนั้น
หยางหงเสียกำลังครุ่นคิดฟุ้งซ่าน เฉินเจียซิ่งก็เขย่าแขนหล่อนแรง ๆ
“หงเสีย กำลังคิดอะไรอยู่? ยายผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะ”
หยางหงเสียกลับมามีสติอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหล่อนอย่างรวดเร็ว ร้องเรียกเสียงหวาน “คุณยาย”
“เป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยดีจริง ๆ” คุณยายโจวมองหยางหงเสียด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเมตตา
“คุณยาย กินเยอะ ๆ นะคะ” หยางหงเสียรีบคีบผักวางลงในชามให้หญิงชรา
เซี่ยไห่ได้ยินมาว่าอาสะใภ้รองของเฉินเจียเหอคือตัวปัญหาของบ้าน ก่อนหน้านี้เขาได้เปรยกับหลินจินซานและคนอื่น ๆ ที่บ้านไว้ก่อนแล้ว ว่าถ้าวันนี้อาสะใภ้รองของเฉินเจียเหอแสดงกิริยาดูหมิ่น หรือพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ กับครอบครัวของเซี่ยเซี่ยจริง ๆ พวกเขาจะไม่ปล่อยหล่อนไปอย่างแน่นอน กะจะสั่งสอนบทเรียนให้ยายป้าคนนี้หน้าม้านกันไปข้าง
แต่เมื่อเห็นตัวจริงกับตา ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีความเกลียดชังต่อพวกเขา แต่กลับอยากตีสนิทเพื่อใกล้ชิดพวกเขาแทน
เซี่ยไห่กำลังคุยกับโจวเจี้ยนกั๋ว โดยบอกว่าเขาจะขยายธุรกิจไปยังในเมืองอื่น ๆ ในปีหน้า เปิดห้องเต้นรำและห้องร้องคาราโอเกะเพิ่มในหลายสาขา
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าวังซูเฟินมายืนอยู่ตรงหน้า กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มแป้น
“คุณคืออารองของเซี่ยเซี่ยใช่ไหมคะ?” เซี่ยไห่ขยับตัวออกห่างจากใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางจัดจ้าน และรอยยิ้มที่กระตือรือร้นของวังซูเฟินโดยไม่รู้ตัว
“ใช่ครับ” เขาตอบกลับอย่างเย็นชา
วังซูเฟินมองเขาแล้วถามว่า “ฉันได้ยินมาจากเซี่ยเซี่ยว่าคุณเปิดห้องเต้นรำ? แถมยังมีสาขาในเมืองเชินเฉิงด้วยจริงเหรอคะ?”
เซี่ยไห่ตอบอย่างไว้เชิง “เซี่ยเซี่ยพูดความจริงครับ”
“เถ้าแก่เซี่ย เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าคุณมีความคิดจะขยายสาขาห้องเต้นรำไปยังเมืองอื่น ในแผนการของคุณมีเมืองหนานเฉิงบ้างหรือเปล่า? ฉันมีร้านค้าหลายแห่งอยู่ที่นั่น พื้นที่กว้างขวาง ตั้งอยู่ในทำเลทองพอดี เรามาร่วมมือกันทำธุรกิจดีไหมคะ? สร้างโชคลาภไปด้วยกัน”
“คุณอยากเป็นหุ้นส่วนเหรอ?” เซี่ยไห่เริ่มให้ความสนใจ มองไปที่วังซูเฟิน
วังซูเฟินพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ใช่ค่ะ ฉันไม่อยากพึ่งพารายได้จากการเก็บค่าเช่าร้านแค่อย่างเดียว ถ้ามีธุรกิจดี ๆ ที่น่าสนใจ ฉันก็อยากเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยเหมือนกัน”
เซี่ยไห่เกือบโพล่งตอบรับอยู่แล้วพวกเขาสามารถทำงานร่วมกันได้ แต่พอเหลือบมองหล่อนอีกครั้งก็โบกมือ “ไม่ดีกว่าครับ คุณน่าจะไม่ใช่คนที่มีความยืดหยุ่นขนาดนั้น”
“เถ้าแก่เซี่ย อย่าไปฟังข่าวลือจากคนอื่นสิคะ ที่จริงฉันเป็นคนใจกว้างและเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก ที่สำคัญคือฉันชอบเสวนากับคนที่มีแรงบันดาลใจ และฉันเองก็สนใจอยากจะทำธุรกิจมากด้วย”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่ไห่อย่าตกหลุมพรางผู้หญิงคนนี้นะคะ เลือกหุ้นส่วนธุรกิจต้องเลือกให้ดีเด้อ
ไหหม่า(海馬)