ตอนที่ 196 อวยพรปีใหม่
ไม่ถึงตอนเย็น จูซื่อก็ล้มป่วย
สำหรับชาวราชวงศ์ต้าซย่า หลังวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งจึงจะนับว่าเฉลิมฉลองปีใหม่เสร็จสิ้น โดยเฉพาะก่อนวันที่หก การออกไปอวยพรปีใหม่ ต้อนรับแขกเหรื่อที่มา เรื่องต่างๆ มากมายที่ทำให้เจ้าบ้านหญิงวุ่นกับงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำได้
จูซื่อล้มป่วยครั้งนี้ การงานได้แต่ตกอยู่ที่นายหญิงผู้เฒ่า ทำเอานายหญิงผู้เฒ่าได้แต่ยุ่งอยู่สองวันก็หน้ามืด ยืนไม่ติด รู้สึกว่าสภาพร่างกายตนเองจะทนรับไม่ไหวแล้ว
รองเจ้ากรมต้วนเองก็เพราะในจวนวุ่นวาย เดิมทีควรจัดการเรียบร้อยก็เกิดเหตุผิดพลาดทำให้เสียเวลาออกจากจวน
“ท่านแม่ หมอว่าอย่างไร น้องสะใภ้ยังไม่หายอีกหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่ากำลังเหนื่อยหอบ พอถูกบุตรชายถามก็โมโหหายใจไม่ทัน “เจ้าเป็นลุง ถามมากมายเช่นนี้ทำไมกัน!”
รองเจ้ากรมต้วนอดหงุดหงิดไม่ได้ “ก็เพราะในจวนการงานมากมาย บุตรชายก็ต้องเป็นห่วงท่านแม่สิขอรับ”
นายหญิงผู้เฒ่าโมโหน้อยลงแล้วจึงได้เอ่ยว่า “หมอไม่ได้บอกอันใด ดูแล้วก็เหมือนไม่ได้มีปัญหาใหญ่อันใด ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นอันใดกัน เช้าตื่นมาก็หน้ามืด”
นายหญิงผู้เฒ่าถึงกับสงสัยว่าจูซื่อแกล้งป่วย หวนคิดอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
นี่เป็นการดูแลการจัดงานปีใหม่ของจูซื่อครั้งแรก ไม่แสดงความสามารถให้ดี ไม่กลัวถูกริบอำนาจจัดการหรือ
จูซื่อกลับไม่ได้สนใจอำนาจจัดการในจวนดังเช่นนายหญิงผู้เฒ่าคิด พอวันที่สี่ก็บอกกับนายหญิงผู้เฒ่าว่า “สะใภ้ป่วยครั้งนี้ประหลาดมาก มักรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติ เมื่อคืนวานนี้ได้เชิญนักพรตหญิงมาตรวจ นักพรตหญิงบอกว่าดวงสะใภ้ชงกับคุณหนูรอง ไม่ควรพบกันมากนัก…”
นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินก็ขมวดคิ้ว
ดวงชงกับหวาเอ๋อร์?
หลายปีมานี้ไม่ชง อยู่ๆ มาชงกะทันหัน?
จูซื่อท่าทางอ่อนแรงนั่งพิงหัวเตียงเอ่ยว่า “คุณหนูรองจะเป็นสะใภ้จวนกู้ชางป๋อ ไม่ควรให้คุณหนูรองต้องหลบเลี่ยงข้า ไม่สู้ให้ข้าย้ายออกไปจากจวนจะดีกว่า”
แววตานายหญิงผู้เฒ่าส่องประกายวาบ “ความหมายของเจ้าก็คือจะแยกเรือน?”
จูซื่อดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง “ข้าจะคิดแยกเรือนได้อย่างไร เพียงแต่ย้ายออกไปชั่วคราว รอให้คุณหนูรองออกเรือน พวกเราค่อยย้ายกลับมา”
“ใช้ได้ที่ไหนกัน!” นายหญิงผู้เฒ่าปฏิเสธทันที “อยู่ๆ ย้ายออกไป คนนอกจะไม่มองว่าสองบ้านไม่ถูกกันหรือ หรือว่าจะให้คนนอกรู้ว่าเจ้าดวงชงกับหวาเอ๋อร์ ปีนี้หวาเอ๋อร์จะแต่งไปจวนกู้ชางป๋อแล้ว จูซื่อ…”
นายหญิงผู้เฒ่ายังไม่อบรมเสร็จ ก็เห็นจูซื่อตาเหลือกหมดสติไปแล้ว
สาวใช้รีบเข้ามาช่วยเหลือวุ่นวาย จูซื่อจึงได้ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาด้วยสีหน้าอิดโรยเต็มที่
นายหญิงผู้เฒ่าอดปลอบใจด้วยท่าทางนึกรำคาญไม่ได้ ก่อนกลับถึงเรือนหรูอี้ถังคิดไปคิดมา ก็ตั้งสติได้ หรือว่าหวาเอ๋อร์ล่วงเกินจูซื่อ?
คิดถึงช่วงเวลาที่จูซื่อล้มป่วย นายหญิงผู้เฒ่าก็สั่งการให้หงอวิ๋นสาวใช้คนสนิทไปสืบความ
จวนรองเจ้ากรมกล่าวว่าให้จูซื่อดูแลจัดการเรื่องในจวน แต่ผู้กุมอำนาจแท้จริงยังคงเป็นนายหญิงผู้เฒ่า หงอวิ๋นบ่าวรับใช้นายหญิงผู้เฒ่าถามได้ความในเวลาไม่นาน
“มีสาวใช้คนหนึ่งได้ยินตอนคุณหนูรองมีเรื่องกับคุณหนูนอกโดยบังเอิญ ตอนนั้นคุณหนูสี่ก็อยู่…”
ฟังบ่าวคนสนิทเล่าจบ นายหญิงผู้เฒ่าก็โมโหกระแทกจอกชาลงบนโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่ง “เจ้าเด็กน่าตายนี่!”
แม้โมโหต้วนอวิ๋นหวาก่อเรื่อง แต่ก็ยังโมโหจูซื่อที่ไม่รู้กาลเทศะ
หลังจากโมโหแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าก็มิได้ตามซินโย่วมาถามให้กระจ่าง และไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับต้วน อวิ๋นหวา เพียงแต่เรียกนางมากำชับที่เรือนหรูอี้ถัง “จวนกู้ชางป๋อไม่เหมือนจวนเรา พอเจ้าแต่งไปแล้วก็ต้องสมาคมกับคนในวัง ย่าให้นางข้าหลวงในวังมาอบรมเจ้าให้ดีสักหน่อย จะได้ไม่เกิดเหตุผิดพลาด ระยะนี้ก็สงบใจเรียนรู้ธรรมเนียม เตรียมตัวออกเรือน”
ต้วนอวิ๋นหวาได้ฟังว่าเป็นความคิดที่คิดเพื่อตนเองแล้ว ก็ยินยอมคล้อยตาม แต่ไม่นานก็พบว่านางจะออกจากเรือนตนเองยังยาก
ได้ยินว่าคุณหนูรองเก็บตัวเรียนรู้ธรรมเนียมแต่ในเรือน อาการป่วยของจูซื่อก็ดีขึ้น
นายท่านรองต้วนเหวินไป่รู้สึกเป็นห่วงภรรยา “เจ้าไม่กลัวนายหญิงผู้เฒ่าจัดการเจ้าหรือ”
จูซื่อยิ้ม “เรื่องในจวนกองพะเนินจัดการไม่ทัน นายหญิงผู้เฒ่าไม่มีทางว่างมาคิดเรื่องเช่นนี้”
“แค่กลัวว่าพอพี่ใหญ่แต่งใหม่ นายหญิงผู้เฒ่าจะคิดบัญชีย้อนหลัง”
จูซื่อแค่นเยาะ “เรื่องตอนนั้นไว้เอ่ยตอนนั้น ข้ารู้เพียงแค่หากตอนนี้ไม่มีปากมีเสียงบ้าง ก็ผิดต่อเยี่ยนเอ๋อร์”
ต้วนเหวินไป่โอบไหล่จูซื่อ “ล้วนเป็นเพราะข้า ลำบากเจ้ากับลูกๆ แล้ว”
“ท่านพี่อย่าได้คิดเช่นนี้ ชาติกำเนิดไม่อาจเลือกได้ พี่ใหญ่เป็นขุนนางในราชสำนัก กิจการที่บ้านล้วนมอบให้ท่านพี่ดูแล นายหญิงผู้เฒ่าต้องการให้พวกเราแบ่งเบาภาระพี่ใหญ่ จะทำกับข้าเกินไปอย่างไรก็คงมีขอบเขตบ้าง”
ต้วนเหวินไป่พยักหน้า
“ก็ต้องขอบคุณชิงชิง…”
ซินโย่วได้ยินว่าต้วนอวิ๋นหวาถูกกักบริเวณก็ดีใจแทนต้วนอวิ๋นเยี่ยน
เด็กสาวมีมารดาปกป้อง อย่างไรก็เป็นวาสนา
“พี่ชิง…”
ซินโย่วมองดูสาวน้อยเข้ามาใกล้ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “น้องเยี่ยนมีธุระอันใดหรือ”
ต้วนอวิ๋นเยี่ยนส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่มือซินโย่ว “ท่านแม่บอกว่า ได้รับความช่วยเหลือก็ต้องตอบแทนคุณ นี่คือของขวัญแสดงความขอบคุณของข้า”
ซินโย่วคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก เห็นภาพบนกิ่งดอกเหมยมีนกคู่หนึ่ง ก็ตกใจอย่างไม่อาจปิดบังสีหน้า “นี่น้องเยี่ยนปักหรือ”
“อืม ข้าปักภาพนกสี่เชวี่ยกับดอกเหมยบานสะพรั่ง ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ก็จะมีโชคดี” สาวน้อยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ข้าปักไม่ค่อยสวย รอให้ปักสวยกว่านี้ก็จะมอบให้พี่ชิงอีกผืน”
“ผ้าเช็ดหน้านี้งามมากแล้ว ขอบคุณน้องเยี่ยน ข้าชอบมาก” ซินโย่วบรรจงพับผ้าเช็ดหน้าเก็บ
เก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วก็ตรงกลับถึงร้านหนังสือชิงซง วันนี้วันที่เจ็ด อารมณ์ซินโย่วดีอย่างมาก
“ท่านเจ้าของร้าน สวัสดีปีใหม่ขอรับ” หลิวโจวกับสือโถวแย่งกันอวยพรปีใหม่ซินโย่ว
ซินโย่วแจกเงินรางวัลให้ทุกคนในร้านหนังสือ ทุกคนในร้านหนังสือต่างวุ่นวายกับการทำความสะอาด เตรียมเปิดร้านวันพรุ่งนี้
วันที่แปดเดือนหนึ่งเป็นวันอากาศดี ตอนร้านหนังสือชิงซงเปิดประตูร้านก็ช้ากว่าร้านค้าอื่นๆ อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงประทัดด้านนอกดังไม่หยุด ครึกครื้นอย่างมาก
หลิวโจวกับสือโถวต่างถือประทัดเตรียมเปิดประตูออกไปจุด
ตอนหลิวโจวดึงประตูออกก็ต้องตกใจรีบปิดประตูลง
ซินโย่วนำพวกผู้ดูแลร้านหูกำลังเดินออกไป เห็นเช่นนี้ก็มองด้วยสายตาเป็นคำถาม
“ท่านเจ้าของร้าน ด้านนอกมีคนมากันมากมาย!” หลิวโจวสีหน้าเคร่งเครียด “ในมือเหมือนถือของมาด้วย ไม่รู้จะทำอันใด”
ปล้นเปิดเผย? คงไม่เหิมเกริมเพียงนี้กระมัง
“ข้าไปดูหน่อย”
“ท่านเจ้าของร้าน…” เห็นซินโย่วเข้ามา ผู้ดูแลร้านหูก็รีบส่งเสียงเรียก “ให้หลิวโจวไปดูเถอะ”
หากมีคนมาหาเรื่องจริง ให้คนหนุ่มร่างกายแข็งแรงออกไปรับหน้า เขาพาเจ้าของร้านไปทางประตูหลัง
“ไม่ต้อง” ซินโย่วยิ้มเปิดประตู
ร้านหนังสือมีคนมากมายเช่นนี้ หากว่ามีเรื่องโชคร้ายอันใดจริง นางก็คง ‘มองเห็น’ แล้ว
นอกประตู มีกลุ่มคนมาออกันแน่นขนัด ซินโย่วมองกู่อวี้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าทีหนึ่ง
“พวกเจ้า…”
กู่อวี้ก้าวเข้ามา “คุณหนูโค่ว เพราะบารมีของท่าน ชาวบ้านเราจึงได้ฉลองปีใหม่ จึงได้มีปีใหม่ที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า วันนี้พ่อแม่พี่น้องเราส่งตัวแทนบ้านละหนึ่งคนมาอวยพรปีใหม่ท่าน”
ชายหนุ่มพูดจบ คนที่มาทั้งคนแก่คนหนุ่มสาว ชายและหญิง พากันคำนับให้สาวน้อยหน้าประตูร้านหนังสือชิงซง
“คุณหนูโค่ว สวัสดีปีใหม่!”