ตอนที่ 197 เทศกาลหยวนเซียว
ซินโย่วยืนนิ่งอึ้งไปทันที
เมื่อก่อนเดินทางท่องไปทั่ว บางครั้งได้เห็นภาพที่น่าเศร้าก็ได้แต่แอบเตือนอ้อมๆ แต่นางเป็นเพียงผู้ผ่านทางมา คล้ายว่าแทบจะไม่เคยได้พบคนที่นางเอ่ยเตือนอีก
การมาแสดงความขอบคุณกันอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เคยประสบมาก่อน
หลังจากตกตะลึง ซินโย่วก็รีบตอบกลับว่า “สวัสดีปีใหม่ทุกคน”
กู่อวี้ส่งถุงกระดาษอาบน้ำมันให้ถุงหนึ่ง “นี่คือขนมเปี๊ยะกรอบที่ท่านแม่ข้าทำ นางถนัดทำขนมนี้ที่สุด กำชับให้ข้านำมาให้คุณหนูโค่วชิมให้ได้ ขอคุณหนูโค่วอย่าได้รังเกียจ”
เขากำพร้าบิดาแต่ยังเล็ก ดำรงชีวิตพึ่งพากับมารดาสองคน ตอนปีใหม่กินเนื้อไม่ไหว แค่ขนมเปี๊ยะกรอบที่ผสมน้ำมันหมูลงไปนี้นับว่าเป็นของอร่อยเลิศรสที่หาได้ยากแล้ว
“ขอบคุณ” ซินโย่วยื่นมือไปรับเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม “ข้าชอบขนมเปี๊ยะกรอบ”
“คุณหนูโค่ว นี่คือซาลาเปาม้วนต้นหอมที่สะใภ้ข้าทำ…”
“คุณหนูโค่ว นี่คือโคมไฟไม้ไผ่สานที่ข้าสานเอง…”
ยามนี้ชาวบ้านเป่ยโหลวฝางพากันยื่นของมาให้หลังจากตอนแรกที่ยังดูไม่ค่อยกล้า
ใบหน้าแต่ละใบหน้า มีที่คุ้นเคย แต่แปลกหน้าเสียมากกว่า
พวกเขาโชคดีที่รอดภัยใหญ่มาได้ สูญเสียเพียงบ้านพัก และก็ผ่านความยากลำบากก่อสร้างกันใหม่มาแล้ว เหตุการณ์แต่ละอย่างไม่ได้ทำให้ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพวกเขาลดน้อยลง หลังปีใหม่ วันที่ร้านหนังสือชิงซงเปิดร้านอีกครั้ง ก็นำของที่ดีที่สุดที่พวกเขามีตอนนี้เอามามอบให้คุณหนูโค่ว
ซินโย่วพลันน้ำตาซึม
เสี่ยวเหลียนอดยกมืออุดปากตนเองไม่ได้ น้ำตาไหลริน
“หลิวโจว พวกเจ้านำของขวัญจากชาวบ้านเหล่านี้ไปเก็บให้ข้าก่อน” ซินโย่วรับรู้ความปรารถนาดีของชาวบ้านเหล่านี้ จึงไม่ได้ปฏิเสธ
ร้านหนังสือชิงซงเปิดร้านจุดประทัด พวกที่ออกมาด้านหน้าไม่เพียงแต่พวกผู้ดูแลร้านหูที่ดูแลโถงด้านหน้า ยังมีหัวหน้าจ้าวจากโรงพิมพ์นำบรรดานายช่างใหญ่สองสามคนออกมาด้วย หัวหน้าหยางเองก็นำผู้คุ้มกันจำนวนหนึ่งมา ย่อมไม่ขาดคนรับของขวัญ
มอบหมายให้หลิวโจวเสร็จ ซินโย่วก็กระซิบสั่งการเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนส่งเสียงเรียกหัวหน้าหยาง ไม่นานหัวหน้าหยางก็อุ้มตะกร้าชะลอมออกมา ในนั้นมีพวงเหรียญทองแดงร้อยด้วยด้ายแดงเป็นพวงๆ
ไม่มาก เหรียญทองแดงพวงละสิบเหรียญ ก็แค่สิบอีแปะ
หัวหน้าหยางคว้าพวงเหรียญทองแดงโปรยแจกชาวบ้านทุกคน ทุกคนพากันปฏิเสธ “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด พวกเรามาอวยพรปีใหม่คุณหนูโค่ว จะมารับเงินคุณหนูโค่วได้อย่างไร!”
หัวหน้าหยางเองเป็นคนพูดจาเป็น กล่อมทุกคนด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “พ่อแม่พี่น้อง รีบรับไว้ นี่คือเงินก้นถุงที่เจ้าของร้านเรามอบให้ลูกหลานพ่อแม่พี่น้องทุกคน ไว้ขับไล่ภูตผีปีศาจร้าย”
พอได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ลง
เด็กๆ ได้อาศัยบารมีคุณหนูโค่ว จะต้องเติบโตอย่างปลอดภัยเป็นแน่
บรรดาคนที่มาอวยพรปีใหม่ต่างได้รับพวงเหรียญทองแดงแล้ว ก็เข้ามาห้อมล้อมอวยพรวาจามงคลต่อซินโย่วกันไม่น้อยก่อนจากไป
กู่อวี้อยู่ท้ายสุด คำนับซินโย่วอย่างนอบน้อม “คุณหนูโค่ว ก่อนหน้านี้ข้าเสียมารยาทแล้ว”
ซินโย่วเอี้ยวตัวหลบ “คุณชายกู่ อย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
กู่อวี้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเก้กังอยู่บ้าง “ที่จริงควรมาขอโทษคุณหนูโค่วนานแล้ว เพียงแต่ที่บ้านต้องสร้างบ้านใหม่ หาเวลาไม่ได้เลย…”
เป่ยโหลวฝางเกิดภัย แม้ว่าราชสำนักจัดการหาที่พักให้ผู้ประสบภัย จัดสรรงบซื้อของให้สร้างบ้าน แต่แต่ละบ้านล้วนต้องลงแรงงานเอง บ้านกู่อวี้มีเพียงสองแม่ลูก สองคนทำงานกันไม่ได้หยุดพักเพื่อให้ได้เข้าพักบ้านใหม่เร็วขึ้น
ซินโย่วเองก็พบว่าก่อนเกิดเหตุ ชายหนุ่มที่มีความเป็นบัณฑิตร่างบางอยู่ ตอนนี้ดูร่างกายหนาและแข็งแรงขึ้น
“บ้านสร้างเสร็จแล้วหรือ”
เอ่ยถึงบ้านใหม่ กู่อวี้ก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้ “สร้างเสร็จแล้ว แม้ว่าไม่ได้กว้างขวางเหมือนเดิม แต่ก็ดีที่ใหม่”
หากไม่เกิดภัยครั้งใหญ่ในครั้งนี้ อีกสิบปี เป่ยโหลวฝางก็ไม่มีทางมีเงินสร้างบ้านใหม่
“เช่นนั้นก็ดี ขอให้คุณชายกู่วันหน้าไร้อุปสรรค”
“จุดประทัดแล้ว…” หลิวโจวตะโกนเสียงดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
แม้ว่าเจ้าของร้านไม่ต้องการการตอบแทน แต่ได้เห็นบรรดาผู้ที่ได้รับบุญคุณพากันรู้คุณแล้ว ก็บอกไม่ถูก ทำให้เขารู้สึกว่าความยากลำบากหลายวันก่อน เจ้าของร้านไม่ได้ลงแรงเสียเปล่า
ไม่นานเสียงประทัดก็ดังกระหึ่มกึกก้อง เสียงประทัดบนท้องถนนหัวท้ายซอยดังขึ้น กระดาษประทัดสีแดงกระจายเต็มพื้น
เด็กน้อยบนท้องถนนพากันอุดหูหัวเราะวิ่งไปไกล ร้านค้าและคนเดินผ่านมาริมทางต่างก็มีสีหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผู้ประสบภัยจากเป่ยโหลวฝางมาให้อวยพรปีใหม่คุณหนูโค่ว
“คุณหนูโค่วเป็นผู้ทรงคุณธรรมจริง”
“ใช่สิ ร้านพวกเราเปิดอยู่ที่นี่ ได้เป็นเพื่อนบ้านคุณหนูโค่ว วันหน้าหากมีเรื่องทุกข์ร้อนใด ไม่แน่อาจอาศัยคุณหนูโค่วช่วยได้บ้าง”
“แค็ก ๆ ไว้ร้านหนังสือชิงซงเปิดร้านแล้ว ข้าไปซื้อหนังสือสักเล่ม”
มีบางคนเพราะเลื่อมใสคุณหนูโค่ว มีบางคนคิดไปโผล่หน้าให้คุ้นเคยเพื่อวันหน้าใช้ประโยชน์ได้ พอค้าที่เดิมไม่อ่านหนังสือก็เดินเข้าร้านหนังสือชิงซง ถึงกับกลายเป็นกลุ่มลูกค้าชุดแรกหลังจากร้านหนังสือเปิดร้านหลังปีใหม่
การค้าดีงามคาดไม่ถึงนี้ทำให้ผู้ดูแลร้านหูตกใจนิ่งอึ้งไปทันที
ร้านหนังสือขายหนังสือและเครื่องเขียน พวกคนเรียนหนังสือยังอยู่ในบรรยากาศเฉลิมฉลองปีใหม่ ปกติต้องรอให้ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปก่อนจึงจะมีลูกค้า
ผู้ดูแลร้านมองซินโย่ว ในใจนึกชื่นชม เจ้าของร้านมักจะนำพาการค้าที่คาดไม่ถึงมาให้ร้านหนังสือเสมอ เป็นผู้มีพรสวรรค์ทางการค้าจริงๆ
พริบตาก็ถึงเทศกาลหยวนเซียว เมืองหลวงผู้คนต่างสนใจจะไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟ ร้านหนังสือก็ยิ่งมีลูกค้าลดน้อยลง
ซินโย่วนั่งอยู่ในโถงร้านหนังสือคุยสัพเพเหระกับผู้ดูแลร้านหูอยู่ ไต้เจ๋อกับจังซวี่ก็เดินเข้ามา
ผู้ดูแลร้านหูเห็นคุณชายเสเพลระดับหนึ่งกับระดับสองมาพร้อมกัน ก็เริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที
“คุณชายทั้งสองต้องการซื้ออันใดขอรับ”
“พวกเรามาขอพบคุณหนูโค่ว” ไต้เจ๋อเอียงหน้าหนีผู้ดูแลร้านหู ยิ้มเผล่ให้ซินโย่ว “คุณหนูโค่ว สวัสดีปีใหม่”
ซินโย่วลุกขึ้นเดินไปหา “คุณชายไต้กับคุณชายจังมาหาข้า มีธุระหรือ”
ซินโย่วไม่ตอบ แต่ใช้สายตาถามแทน
มีหรือไม่ก็ย่อมเพราะว่าเจ้าสองคนคิดทำอันใด
ไต้เจ๋อกระแทกจังซวี่ทีหนึ่ง จังซวี่เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ที่มา “วันนี้ไม่ใช่วันเทศกาลหยวนเซียวหรือ หากคุณหนูโค่วมีเวลา พวกเราอยากเชิญเจ้าไปชมโคมไฟ”
“แค็ก แค็ก แค็ก …” ผู้ดูแลร้านหูส่งเสียงไอโขลกรุนแรง
ชายหนุ่มสองคนหันขวับไปมองผู้ดูแลร้านด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ซินโย่วสีหน้าประหลาดใจ ในใจพูดไม่ออก
ผู้ใดดลใจให้เจ้าสองคนคิดไปเองว่าสนิทกับนางจนถึงขั้นไปชมโคมไฟด้วยกันได้?
จังซวี่ไม่ต้องเอ่ยถึง แม้ไต้เจ๋อไม่รู้หนี้แค้นระหว่างนางกับเขา แต่เขาหมั้นหมายกับต้วนอวิ๋นหวาไปแล้ว
ดังนั้นจึงกล่าวว่า คุณชายเสเพลพวกนี้ทำอันใดตามใจตนเอง อย่างไรชื่อเสียงก็ไม่ส่งผลอันใดต่อพวกเขา สร้างผลกระทบต่อหญิงสาวก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา
“คุณหนูโค่ว…” เห็นซินโย่วไม่ตอบ ไต้เจ๋อก็เอ่ยเรียกอีกทีหนึ่ง
ซินโย่วมองไปทางเขา “ขออภัย วันนี้ไม่มีเวลา อีกอย่าง คุณชายไต้หมั้นหมายกับพี่สาวข้าแล้ว มาเชิญผิดคนหรือไม่”
ความจริงไต้เจ๋อเองก็เคยคิดว่าคุณหนูโค่วจะปฏิเสธเพราะเรื่องนี้ จึงได้มากับจังซวี่ “เพราะจังซวี่อยากเชิญคุณหนูโค่วไปดูโคมไฟ ข้ามาเป็นเพื่อนเขา”
มองเขาว่าเป็นของแถมก็ได้
จังซวี่รีบพยักหน้า
“ไม่มีเวลาจริงๆ” ซินโย่วมองทั้งสองคนเสนอสีหน้าจริงจัง “คุณชายทั้งสองไปกันเองเถอะ”
ชายหนุ่มนิสัยคึกคะนองตามวัยสองคนถูกปฏิเสธ แต่กลับไม่มีท่าทีอับอายกลายเป็นโทสะ พอสบตากันแล้ว ไต้เจ๋อก็หรี่เสียงถามขึ้นว่า “คุณหนูโค่ว เจ้าว่าระยะนี้พวกเราดวงเป็นอย่างไร”
จังซวี่กังวลว่าซินโย่วจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบาย “ตอนปีใหม่ได้พบกัน ข้าจึงเพิ่งรู้ว่าไต้เจ๋อรู้ความสามารถคุณหนูโค่วมาก่อนแล้ว”
ทั้งสองคนร่วมมือกัน จะต้องสานสัมพันธ์กับบุคคลสูงส่งเช่นคุณหนูโค่วให้ได้ ดังนั้นจึงได้มาด้วยกันในวันนี้
“คุณชายทั้งสอง…” คำพูดรับมือซินโย่วยังเอ่ยไม่จบก็เห็นแววตาไต้เจ๋อแปลกไป
ไต้เจ๋อพลันเคร่งเครียดขึ้นมา “มีอันใดหรือ เป็นอันใดไปหรือ”
ซินโย่วพลันไม่ทันตั้งสติทัน
“คุณหนูโค่วมีเรื่องอันใดก็เอ่ยออกมาเถอะ ข้ารับไหว!” ไต้เจ๋อสีหน้าซีดเผือด น้ำตาใกล้ร่วงแล้ว
ครั้งนั้นคุณหนูโค่วให้เขาระวังวิหคจากฟ้า พอกลับบ้านนกก็ขี้รดใส่หน้าเขา สร้างรอยแผลในใจเขาอย่างมาก หรือว่ายังมีเรื่องโชคร้ายยิ่งกว่านี้อีก
“คุณหนูโค่ว ข้าล่ะๆ” จังซวี่รีบถาม
ไต้เจ๋อถลึงตาใส่จังซวี่ทีหนึ่งอย่างโมโห
เจ้านี่ไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลย!
“คุณชายไต้ ในจวนท่านเลี้ยงวานรไว้ตัวหนึ่งใช่หรือไม่” ซินโย่วเอ่ยถาม
นางเพิ่งจะนิ่งเงียบก็ย้อนภาพที่เห็น เจ้าวานรตัวนั้น
เดิมวานรในสายตานางก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ในภาพที่เห็นเจ้าวานรตัวนั้นมีขนสีทองกระจุกหนึ่ง ส่องแสงวาวกว่าสีขนอื่นที่ตัว
เจ้าวานรตัวนี้คล้ายตัวที่อยู่ตรงหน้าผาที่โค่วชิงชิงตกลงไปตัวนั้น!