บทที่ 1337 ดวงตาปริศนา
บทที่ 1337 ดวงตาปริศนา
แสงสีทองล่องลอยบนอากาศ ก่อนจะกลายเป็นสัญลักษณ์เต๋าอันลึกลับที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ร่างเล็กเจ้าของใบหน้ากระจ่างใสดุจทารกนั่งขัดสมาธิภายในดวงจิตแห่งเต๋าขณะกำลังเข้าฌาน มันเปล่งประกายแวววาวและเปี่ยมไปด้วยสัมผัสพิสุทธิ์ไร้มลทิน
ครั้นเมื่อร่างเล็กนั้นขยับลมหายใจ สายใยแน่นหนาแห่งพลังดวงใจที่บริสุทธิ์และมีรูปร่างก็โคจรอย่างไม่รู้หยุดนิ่ง พวกมันกลายเป็นลำแสงสีทองที่หมุนวนไปมารอบร่างเล็กนั่น และทำให้คนผู้นี้สง่างามไม่ต่างเทพจำแลง
ขอบเขตทารกดวงใจ!
ตอนนั้นเอง เฉินซีรับรู้ได้ในทันทีว่าดวงจิตแห่งเต๋าของตนนั้นได้บรรลุจากขอบเขตวิญญาณดวงใจไปเป็นขอบเขตทารกดวงใจแล้ว!
เหตุนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ขอบเขตของพลังดวงใจประกอบไปด้วยขอบเขตปราณดวงใจ ขอบเขตแก่นดวงใจ ขอบเขตวิญญาณดวงใจ และขอบเขตแรกกำเนิด
เนื่องจากพลังดังกล่าว ไร้ตัวตนและเป็นนามธรรม บนโลกนี้จึงมีเคล็ดวิชาสำหรับบ่มเพาะพลังดวงใจอยู่น้อยมาก อย่างในภพมนุษย์เองนั้น สิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายที่อาศัยอยู่ที่นั่นแทบไม่มีใครรู้ว่าพลังดวงใจคือสิ่งใด
และแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักพลังดวงใจ หากก็รู้แต่เพียงผิวเผินว่าการจะรวบรวมพลังดวงใจนั้น สามารถทำได้โดยการสังหารมหาคนบาปเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนด้วยหนทางอื่น
ถ้าหากเฉินซีไม่ได้รับเคล็ดวิชาธรรมเทพไร้ขอบเขตมาจากเจดีย์ต้าเหยี่ยนภายในพิภพยันต์อักขระแล้วละก็ เขาคงจะไม่สามารถบรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจได้เป็นแน่
น่าเสียดาย แม้ว่าเฉินซีจะมีเคล็ดวิชาสำหรับบ่มเพาะพลังดวงใจ ทว่าเขาก็ยังอยู่ในขอบเขตวิญญาณดวงใจจนถึงเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะพลังวิญญาณนั้นยากเข็ญเพียงใด
ทว่าในตอนนี้ การบ่มเพาะพลังดวงใจได้ก้าวผ่านขอบเขตวิญญาณดวงใจมาสู่ขอบเขตทารกดวงใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กล่าวกันตามตรง ชายหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะบรรลุในระหว่างการบ่มเพาะนี้แม้แต่น้อย นั่นทำเอาเขาอดตกใจขึ้นมาไม่ได้
นี่คือขอบเขตทารกดวงใจ!
ตามที่เฉินซีเข้าใจเมื่อนานมาแล้ว หากต้องการบรรลุขอบเขตราชันเซียนและครอบครองมหาเต๋าแห่งราชันเซียน เขาจะต้องผ่านเงื่อนไขเบื้องต้นนั่นคือการมีระดับการบ่มเพาะของพลังดวงใจอยู่ที่ขอบเขตทารกดวงใจเสียก่อน ในขณะที่การระลึกชะตากรรมเต๋าแห่งสวรรค์ และผนวกกับร่างของราชันเซียนนั้นเป็นเพียงเงื่อนไขรองเท่านั้น!
อาจกล่าวได้ว่ากฎเกณฑ์นี้เองที่ขัดขาราชันเซียนครึ่งขั้นเอาไว้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอย่างการระลึกชะตากรรมเต๋าแห่งสวรรค์ หรือผนวกร่างของราชันเซียนเลยด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง แต่กลับสามารถบรรลุขอบเขตทารกดวงใจ มีหรือที่จะไม่ประหลาดใจได้?
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป แน่นอนว่ามันต้องทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น หรือแม้แต่คนอื่น ๆ ในภพเซียนตกตะลึง!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก… ครู่ถัดมา จิตใจของเฉินซีค่อย ๆ สงบลง คราวนี้ เขาเริ่มเข้าใจได้ราง ๆ แล้วว่านี่คือผลที่ได้มาจากการหลอมรวมกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากชิ้นที่หก
ตอนนี้เอง คล้ายว่าชายหนุ่มอยู่ภายใต้สภาวะที่แตกต่างออกไป จิตสำนึกตื่นรู้อย่างเต็มที่ หากแต่ไม่อาจลืมตาได้ดังปกติ พลังชีวิตภายในร่างกายไหลเวียนผิดธรรมชาติ คล้ายกำลังเข้าฌานไปพร้อมกับทำความเข้าใจต่อเต๋า
สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือเฉินซีไม่อาจขัดขวางกระบวนการนี้ได้เลย!
ดูเหมือนว่าพลังไร้รูปร่างหนึ่งนำพาแก่นแท้ วิญญาณ และพลังภายในร่างกายให้โคจรอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าเขากลับหาได้รู้สึกอึดอัด แต่กลับรู้สึกราวกับกำลังอาบน้ำภายใต้สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ
ท่ามกลางสภาวะที่แปลกประหลาดเกินกว่าจะอธิบายได้นี้ เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการบ่มเพาะของตนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องประหนึ่งเรือที่ล่องตามกระแสน้ำซัดสาด!
ปราณเซียนในกายเพิ่มจำนวนขึ้น ก่อนจะปะทุออกมาอย่างมีชีวิตชีวา
พลังชีวิตแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ มันสั่นสะท้านและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้หาได้ทำให้เฉินซีครั่นเนื้อตัวแต่อย่างใด ฐานพลังยังคงหนักแน่นมั่นคงดังเดิม เช่นเดียวกับรัศมีที่ยังสงบนิ่งแม้ว่าความแข็งแกร่งจะระเบิดตัวอย่างรุนแรง…
คล้ายว่าทุกสรรพสิ่งในขณะนี้ได้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเป็นพิเศษ เพราะผ่านเงื่อนไขทุกอย่างโดยสมบูรณ์
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เวลาผ่านมาไม่ถึงครึ่งปีหลังจากที่เฉินซีบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ทว่าการบ่มเพาะกลับแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับหน่อไม้ที่แทงยอดอ่อนหลังฝนพรำ เพียงไม่กี่อึดใจ การบ่มเพาะก็เริ่มเข้าสู่สภาวะมั่นคง หนักแน่น และสมบูรณ์ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเปิดเผยสัญญาณถึงการข้ามผ่านออกมาเล็กน้อย!
หรือนี่จะเป็นผลที่เกิดจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก…? เฉินซีรู้สึกงุนงง เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาระดับการบ่มเพาะของพลังดวงใจได้บรรลุขอบเขตทารกดวงใจ และในตอนนี้ ระดับการบ่มเพาะก็เข้าสู่ขั้นสมบูรณ์และสำแดงสัญญาณแห่งการบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ออกมาอย่างเลือนราง นี่มันออกจะน่าประหลาดใจเกินไปแล้ว
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันเหความสนใจไปยังชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในทะเลแห่งมโนสำนึก
ภายในนั้น เฉินซีสังเกตเห็นว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากชิ้นที่หกกำลังหลอมรวมกับชิ้นส่วนที่เหลือ ตอนนี้เองพื้นผิวที่เก่าคร่ำและมืดมนของมันพลังเปล่งประกายด้วยแสงสลัว มันล่องลอยท่ามกลางความเงียบงันและหมุนวนไปพร้อมกับแสงอันไร้ตัวตน
ตั้งแต่เฉินซีเข้าสู่ภูมิภาคบรรลุเทพ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน ประการแรก มันฉวยไข่มุกวิญญาณเต๋าไปจนหมด หลังจากนั้นมันก็ช่วยเฉินซีจัดการกับการโจมตีของโลหิตราชันเซียนภายในร่างกายขณะที่เขาตกอยู่ภายในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังได้เอาใจปราชญ์แห่งราชันเซียนไปด้วย…
พลังดวงใจขอบเขตทารกดวงใจ!
การบ่มเพาะที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่ากลับเกิดขึ้นง่ายดายอย่างไม่ต้องพยายามยากเย็น
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน บางที… ข้าอาจจะสามารถบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ได้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
เปรี้ยง!
ทันทีที่ความคิดนี้ประทับลงในใจ ทะเลแห่งมโนสำนึกพลันสั่นสะเทือนได้ด้วยเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าคำราม ในช่วงเวลาถัดมา ภาพอันยิ่งใหญ่ โบราณ และลึกลับอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นในใจ!
มันคือแท่นบวงสรวง!
มันตั้งตระหง่านท่ามกลางความโกลาหลและมีความสูงเสียดฟ้า สีของมันมืดสนิท ราวกับหนทางที่นำพาไปสู่ภายนอกภพทั้งสาม
ยามเมื่อมันปรากฏยังเบื้องหน้า เฉินซีรู้สึกว่าตนตัวเล็กลงไปในพลัน ไม่ว่าจะแหงนคอมองสักเท่าไร ก็ไม่อาจเห็นถึงยอดที่อยู่ไกลสุดสายตา!
แท่นบวงสรวงนี้เก่าคร่ำคร่า คล้ายว่ามันหยัดยืนอยู่บนมิติโกลาหลแห่งนี้มานานหลายปี มันมีกลิ่นอายที่เคร่งขรึมและสงบนิ่ง ราวกับกำลังเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในภพทั้งสาม ทำให้ผู้คนที่ได้สัมผัสต่างก็ต้องทรุดตัวลงคารวะ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะทำไม่ไปมากกว่าการยอมคุกเข่าจำนน
นี่มัน… นี่คงไม่ใช่แท่นบวงสรวงหรอกกระมัง? ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของเฉินซี ครู่ถัดมา แท่นบวงสรวงนั้นก็เด่นชัดสู่สายตา มันเต็มไปด้วยความโกลาหล มืดมน และพร่ามัว ราวกับว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล เมื่อครั้งที่แผ่นดินยังคงตกอยู่ใต้ความโกลาหล
หลังจากนั้น เฉินซีพลันเห็นแผนผังสีทองสว่างประกาย มันเหมือนกับม้วนภาพที่ลอยอยู่เหนือความโกลาหลซึ่งทอดยาวตั้งแต่ปลายท้องฟ้าด้านหนึ่งไปจนถึงอีกด้าน!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันถูกปกคลุมไปด้วยความโกลาหล ไม่ว่าเฉินซีจะพยายามสักเท่าไร ทว่าเขากลับไม่อาจมองเห็นลักษณะแท้จริงของแผนผังได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ด้านใน
นี่มันอันไรกัน? แผนผังบรรลุเทพอย่างนั้นหรือ? เฉินซีตกตะลึง
ตู้ม!
ทันใดนั้น ดวงตาหนึ่งก็เบิกขึ้นกลางความโกลาหล
ทันทีที่เฉินซีสบกับดวงตาดวงนั้น ร่างกายคล้ายร่วงหล่นลงสู่หุบเหวเยือกแข็ง มันชวนให้เย็นยะเยือกเสียจนสั่นสะท้าน
นี่มันดวงตาอะไรกัน?
มันดำดิ่ง ลึกล้ำ เยือกเย็น และไร้ซึ่งอารมณ์ คล้ายกับมีอักขระยันต์มากมายสลักอยู่ภายใน ให้ความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับการอุบัติและอัสดงของฟ้าดิน การโคจรของดวงดาว การเดินทางผ่านกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงของจักรวาล… ไม่ว่าจะสรรพสิ่งใด ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกมันเปิดเผย
เมื่อเฉินซีมองมันจากที่ไกล ความรู้สึกสะพรั่นพรึงก็บังเกิดขึ้นในหัวใจ คล้ายกำลังถูกส่องกราดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
นี่มันอะไรกัน?
ดวงตาเต๋าแห่งสวรรค์หรือ?
หรือจะเป็นดวงตาของสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัว?
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีทั้งหวาดกลัวและชิงชัง ชายหนุ่มโกรธเกรี้ยวและเดือดพล่านเสียจนไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่าการได้บดขยี้ดวงตานั่นให้แหลกคากำปั้น!
หึ่ง!
ท่ามกลางดวงตาที่แดงก่ำด้วยแรงโทสะ และหมัดที่กำแน่นหมายโจมตีอีกฝ่ายของเฉินซี เสียงหึ่ง ๆ ก็ดังขึ้นภายในจิตใจ หลังจากนั้นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็สลายราวผืนน้ำที่ค่อย ๆ แห้งเหือด หายไปในความว่างเปล่า
“อ้า!!” ทันใดนั้น เฉินซีพลันตะโกนลั่นอย่างเผลอตัว ในที่สุดเขาก็สามารถลืมตาขึ้นได้อีกครั้ง
“นั่นมันอะไรกัน?”
“น้องเฉินซี เจ้าคงไม่ได้พบกับจิตมารระหว่างการบ่มเพาะหรอกกระมัง?”
สุ้มเสียงที่เปี่ยมด้วยความกังวลดังขึ้น เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นว่าทั้งเตียนเตี้ยน สืออวี๋ และเซียงหลิวหลีต่างขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าของพวกเขาเผยร่องรอยแห่งความวิตกออกมาไม่น้อย
ทว่าพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเฉินซีกลับมามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้สภาพของเฉินซีนั้นผิดปกติเกินไป ทั้ง ๆ ที่คนกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อเข้าฌานอยู่ แต่ในบางครั้งชายหนุ่มกลับแสดงสีหน้าประหลาดใจและขมวดคิ้วออกมา ก่อนที่ท้ายสุดเขาจะแสดงอาการเดือดดาลที่เต็มไปด้วยรัศมีอันหนักอึ้ง คล้ายกำลังทรมานจากพลังปราณที่เบี่ยงเบนไป
สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของสืออวี๋และคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เป็นไร” เฉินซีถอนใจยาว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม หากความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในใจ ไม่นาน มันก็ระงับลงอย่างรวดเร็ว
“เส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นอันตรายเกินหยั่งรู้ ดังนั้นเจ้าไม่ควรรีบร้อน ก้าวย่างที่ไม่มั่นคงเพียงครั้งเดียวจะทำให้มารร้ายฝั่งรากลงในหัวใจของเจ้าอย่างง่ายดาย และมันจะคอยขัดขวางเจ้าไปตลอดการบ่มเพาะ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง” สืออวี๋สังเกตได้ผ่านการมองเพียงปราดเดียวว่าการบ่มเพาะของเฉินซีได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อคิดว่าสภาวะแปลกประหลาด ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเกิดจากความใจร้อนต่อการบ่มเพาะ
“ขอบคุณพี่สืออวี๋ที่ชี้แนะ” เฉินซีพยักหน้า ในตอนนี้ จิตใจของเขายังคงสับสนวุ่นวาย สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
ครั้นเตียนเตี้ยนสังเกตเห็นท่าทางเช่นนั้น นางก็พูดขึ้นในทันที “ตราบใดที่เจ้าไม่เป็นไรนั่นก็นับว่าดีแล้ว ต่อไปเจ้าก็ทำใจให้สงบและควบคุมลมหายใจไปสักระยะหนึ่ง พวกข้าจะไม่รบกวนเจ้าในตอนนี้ และเมื่อเจ้าดีขึ้นแล้ว เราจะไปที่เทวาคารบรรลุเทพ”
เมื่อนางพูดจบก็หันไปมองที่สืออวี๋และเซียงหลิวหลี ก่อนจะพาพวกเขาหันหลังจากไป
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ราวสองสามครั้ง ในตอนนี้จิตใจกลับมาสงบดังเดิมแล้ว
ภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงความลึกลับอันประหลาดล้ำซึ่งไม่อาจหยั่งรู้ แต่เหตุใดข้าถึงได้มีโทสะเหี้ยมเกรียมยามมองดวงตานั่น?
นอกจากนั้น แท่นบวงสรวงที่สูงตระหง่านนั่นใช่เทวาคารบรรลุเทพหรือไม่? แล้วแผนผังที่ซ่อนตัวอยู่ภายในมิติโกลาหลซึ่งพาดขวางเหนือแผ่นฟ้านั้นคือสิ่งใด?
น่าแปลกที่เรื่องทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก… ทว่าเหตุใดจึงฉายภาพเช่นนี้ให้ข้าได้เห็นเล่า?
คำถามมากมายพุ่งเข้ามาในใจของเฉินซีไม่รู้จบ มันทำให้คิ้วที่พาดเฉียงสีดำสนิทขมวดเข้าหากันอย่างช้า ๆ
ไม่มีสิ่งใดที่เขาเข้าใจเลยแม้แต่น้อย
แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ บางทีเขาอาจจะได้รับคำตอบหลังจากที่ไปถึงเทวาคารบรรลุเทพ…