ยามเย็น
ขอบฟ้ามองเห็นเพียงแสงระเรื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน คาบเรียนในสถาบันก็สิ้นสุดลง
เหล่านักเรียนทยอยกันออกจากสถาบัน กลับไปยังที่พักด้านนอกของตัวเอง
“ถึงยังไม่เข้าใจว่าทำไมการควบคุมธาตุแสงของเจ้าถึงดีขนาดนี้ แต่คืนนี้ข้ายังมีธุระ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกัน”
และก็จนกระทั่งตอนนี้ยูบริลถึงยอมปล่อยผมไป
ได้รับการทรมานจิตใจจากยัยนี่ที่สนามต่อสู้ตลอดทั้งบ่ายช่างเจ็บปวดจริงๆ แต่อีกฝ่ายก็สอนเวทแสงให้ผมแล้ว ถ้าผมบ่ายเบี่ยงก็คงไม่ดีนี่
“ถึงพรุ่งนี้จะต่อก็ไม่มีประโยชน์ล่ะมั้ง? ตัวผมเองก็ไม่รู้ คุณถามผมแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“อย่างไรซะข้าก็ไม่รีบร้อน การฝึกฝนเวทมนตร์สายแสงไม่ใช่เรื่องที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ”
“เอาล่ะ แต่ต่อไปคุณจะสอนเวทมนตร์สายแสงให้ผมเยอะขึ้นไหม?”
“…คือว่า ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน เอาล่ะ สายมากแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”
“อืม เจอกันพรุ่งนี้”
พูดจบอีกฝ่ายก็จากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหมุนตัวก็หายไปจากหลังอาคารแล้ว
แม้ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไร แต่ถ้าเป็นยูบริล ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คงเกี่ยวข้องกับโบสถ์ล่ะมั้ง?
ทว่าได้รับเวทมนตร์เพิ่มเลือดมาก็ไม่เลวแล้ว คราวหน้าค่อยหาทางเพิ่มเลเวลแล้วกัน แบบนี้ค่อยมีส่วนช่วยในการต่อสู้มากหน่อย
โบราณกล่าวไว้ว่า ใครให้ประโยชน์ก็อาศัยผู้นั้น
แต่ตอนนี้รีบกลับไปงีบที่ที่พักเร็วหน่อยดีกว่า เดิมทีการฝึกฝนตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยพอแล้ว กลับมายังต้องเจอกับเรื่องแปลกๆ อีก
ทว่าก่อนอื่นไปกินอะไรหน่อยจะดีกว่า กินของว่างชั้นสูงตอนอยู่ในป่าจนเอียนแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าในแหวนของฮีลเก็บของแบบนั้นไว้มากแค่ไหนกันแน่
แต่ฝั่งองค์หญิงแอนก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่ สิ่งที่พกมาต่างก็เป็นขนมและเนื้อสัตว์ สุดท้ายจึงได้กินปิ้งย่างมาหลายวันจนเอียนแล้วเช่นกัน
ความรู้สึกในตอนนี้คือถ้าใครชวนผมไปกินปิ้งย่างหรือของหวาน ผมจะสู้ตายกับเขาแน่
เข้าสู่ย่านธุรกิจ บนท้องถนนตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันคึกครื้น
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ยิ่งกว่านั้นคาบเรียนของสถาบันก็สิ้นสุดแล้ว นักเรียนที่เดินไปมาบนถนนจึงค่อนข้างมาก
พนักงานพาร์ทไทม์ในร้านค้าบางแห่งก็เป็นนักเรียนของสถาบัน ยังไงซะนักเรียนสามัญชนในสถาบันนี้ก็มากกว่าชนชั้นสูงไม่น้อย
วันนี้กินอะไรดีนะ? ไม่อยากแตะพวกปิ้งย่างอะไรเลย ถึงราเมงจะดูไม่เลวแต่เกี๊ยวทอดร้านตรงหัวมุมก็ไม่ได้กินนานแล้วเหมือนกัน
อืม กินเกี๊ยวทอดแล้วกัน
“เถ้าแก่ เอาแบบเดิมครับ”
“โอ้ นี่มันฟีลนี่? วันนี้คิดยังไงถึงมาล่ะ?”
เจ้าของร้านของที่นี่เป็นลุงวัยกลางคน ชื่อว่า ‘ฮอลส์’ ได้ยินว่าเขาเคยเป็นอัศวินกลุ่มทหารรับจ้าง แต่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงถอนตัวออกจากวงการ
ทว่าตอนที่เป็นทหารรับจ้างเขาเคยไปที่แผ่นดินใหญ่ฝั่งตะวันออก เป็นสถานที่ที่ต้องเดินเรือสามเดือนกว่าจะถึง และได้ศึกษาการทำอาหารมาไม่น้อย
หนึ่งในนั้นคือเมนูเกี๊ยวทอดที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด
ตอนผมสร้างดาบยาวเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้ยินข่าวคราวของแผ่นดินใหญ่ทางตะวันออกมาแล้ว ดูท่าโครงสร้างของทางนั้นคงคล้ายกับทวีปเอเชียในโลกของผมล่ะมั้ง
ทว่าสถานที่แบบนั้นเป็นพื้นที่อันตรายอย่างเห็นได้ชัด รอให้เลเวลสูงค่อยไปดีกว่า
“ฝึกฝนครับฝึกฝน วันนี้เพิ่งสิ้นสุดนี่นา?”
“อ้อ เจ้าไปเข้าร่วมการฝึกฝนด้วย มิน่าถึงไม่เห็นตั้งนาน แต่พวกเจ้าเพิ่งกลับมาผู้เยี่ยมชมจากสถาบันอื่นก็มาถึงพอดี คราวนี้สถาบันคงคึกคักแน่”
“มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอครับ? แบบนั้นกิจการของคุณจะได้ดีขึ้นอีก?”
“ฮ่าฮ่า หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ว่าไปแล้วก็มีลูกค้าวัยรุ่นสวมชุดเกราะหลายคน คงเป็นคนจากสถาบันอื่นมั้ง”
“เอ๋ มันก็เป็นธุรกิจนี่”
“จะว่าไป…เจ้ารู้จักอัศวินผมยาวสีแดงไหม?”
“อัศวินผมยาวสีแดง?”
ย้อนคิดกลับไป ผมของยูบริลไม่ใช่สีแดง ดูอัลก็ไม่ใช่ อาร์ย่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถ้าคนอื่นล่ะก็…เหมือนจะไม่มีแฮะ ถึงแม้เหมือนจะมีภาพจำกับผมสีแดงอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออก
เดี๋ยวก่อน…
หรือว่าคือคนนั้น?
“อัศวินผมยาวสีแดงหรือว่าจะเป็นเด็กสาวที่สูงราวๆ 165 ถือดาบอัศวินสีคราม? แล้วก็…สวมหน้ากากใช่ไหม?”
“เป็นเจ้าอย่างที่คิด ฟีล”
เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง หมุนตัวไปมอง คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม…
คือญาริน!
อัศวินสาวที่พบในอาณาจักรเชอร์ฟาแล้วยังถูกแต่งตั้งเป็นคู่หมั้นของผม
ไม่เจอกันสองเดือน แม้ว่าจะสวมหน้ากาก แต่ผมยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงได้จากในสายตาของเธอ
เด็กสาวร่าเริงที่พบกันก่อนหน้านั้น สายตาในตอนนี้เผยความอ่อนล้าและเศร้าโศก
“ทำไมเจ้าต้องจากไปด้วย!”
ญารินกอดผมทันที น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
ผมตกตะลึงกับการกระทำที่กะทันหันนี้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่สถานการณ์แบบนี้ปิดปากเงียบไว้คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ปู่ของข้าไม่รู้อยู่ไหน ในบ้านเหลือแค่พ่อคนเดียว ความแข็งแกร่งของตระกูลเราจึงลดลงไม่น้อย ตระกูลอื่นก็หาจังหวะจะกดขี่พวกเรา ข้า…ตอนนี้ข้าเหลือเพียงแค่ชื่อว่าอัศวิน แต่กลับไม่อาจถือดาบต่อสู้ได้เลย…”
ร่างกายของเด็กสาวสั่นไม่หยุด
บางทีผมคงไม่อาจเข้าใจประสบการณ์ของเธอ แต่ความรู้สึกในใจเธอผมกลับสัมผัสได้
สองเดือนนี้ สำหรับเธอแล้วมันเป็นยังไงบ้าง?
จากเลเวลของเธอที่เพิ่มจากสามเป็นเจ็ดทันที ผมก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากประสบการณ์ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน
แม้ว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ถูกประกาศจับ
แม้ว่าผมยังไม่อยากเผชิญหน้ากับอาณาจักร
แต่ว่า ถ้าตอนนี้มีเด็กสาวกำลังร้องไห้ต่อหน้าคุณ คุณจะกล้าไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นใครงั้นเหรอ ยังเป็นคนอยู่ไหม?
“ขอโทษ”
ผมกอดเธอช้าๆ
“ฉัน…”
ยังไม่ทันได้พูดออกมา จู่ๆ อีกฝ่ายก็เงยหน้าจูบไปที่ริมฝีปากของผม
ผมยังไม่ทันได้ตอบสนอง อีกฝ่ายก็เลิกจูบ แล้วสวมหน้ากากกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ต่อไป อย่าไปจากข้าอีกนะ…ได้ไหม?”
“อืม…”
สมองผมขาวโพลน ตอบกลับโดยอัตโนมัติ
มะ…เมื่อกี้เธอจูบผมเหรอ?
แล้วยังเป็นปากต่อปาก?
ผม…จูบแรกของผม…จู่ๆ ก็ถูกขโมยไป?
กลิ่นที่หลงเหลืออยู่ที่ริมฝีปากบอกผมว่าทุกอย่างเมื่อกี้ไม่ใช่ภาพลวงตา เมื่อกี้ญารินจูบผมจริงๆ
“นี่คือจูบแรกของข้า เพราะงั้น…โปรดทะนุถนอมด้วย”
แน่นอนอยู่แล้ว!
แต่ว่า…สายตาของคนรอบด้านทำไมถึงดูประหลาดขนาดนี้
ดวงตาของลุงฮอลส์เบิกกว้างเพราะความตกตะลึงไม่พอ นักเรียนโต๊ะถัดไปกินเกี๊ยวไปได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงมาจากปาก
แล้วยังมีเด็กสาวสองคนที่สวมชุดเกราะเหมือนกับญาริน…เอาล่ะ พวกเธอแสดงละครเปลี่ยนหน้าเหรอ? หน้าบิดเบี้ยวไปหมดแล้วนะ?
“ญะ…ญารินถอดหน้ากาก?”
“แล้วยังจูบคนอื่น…”
“แถมยังเป็นผู้ชายอีก…”
“น่ากลัวจัง…”
“ใช่แล้ว”
ตอนนี้คนที่ควรตกตะลึงที่สุดควรเป็นผมสิ? ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย
“คือว่า…สรุปแล้ว พวกเรา…ไปกินมื้อเย็นก่อนเถอะ”
ผมเสนอไป