บทที่ 658 สิงเทียน?

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ใน​ระหว่าง​ที่​ร่วง​ลงมา​ อา​ซูหลัว​ก็​คำราม​ร้อง​และ​ง้างกำปั้น​โจมตี​สวี่​ชีอัน​

‘ฟึ่บ​ ฟึ่บ​ ฟึ่บ’…​หมัด​ ศอก​ เข่า​ และ​ส่วน​อื่นๆ​ กลายเป็น​อาวุธ​ที่​แหลมคม​ที่สุด​ เขา​โจมตี​จน​สวี่​ชีอัน​ที่​เสีย​พลัง​เทพ​วชิระ​และ​กระดูก​หัก​ไป​หลาย​ท่อน​ ทั้ง​ยังมี​เลือดสาด​กระเซ็น​เป็น​สาย​

แต่​ไม่นาน​ พลัง​ของ​อา​ซูหลัว​ก็​เริ่ม​อ่อน​ลง​ เขา​กลับมา​หายใจ​เป็นปกติ​ แต่​ทุกครั้งที่​โคจร​ปราณ​เพื่อ​โจมตี​ล้วนแต่​ทำให้​เจ็บปวด​ที่​หัวใจ​อย่าง​รุนแรง​ แขนขา​ล้วน​ไร้​ซึ่งกำลัง​และ​วิงเวียน​ศีรษะ​

พลัง​ปราณ​ที่​เดิมที​ไหลเวียน​อย่าง​ราบรื่น​ ใน​ตอนนี้​กลับ​กลายเป็น​ภาระ​หนัก​ของ​ร่างกาย​เสียแล้ว​

“เป็น​อย่างไร​? รสชาติ​ของ​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ไม่เลว​เลย​ใช่หรือไม่​”

สวี่​ชีอัน​พ่น​เลือด​ออกมา​แล้ว​เอ่ย​เยาะเย้ย​

“หัวใจ​นั้น​เป็น​แกน​หลัก​ของ​อวัยวะ​ทั้ง​ห้า​ พอ​ไม่มีมัน​แล้ว​ แก่น​โลหิต​อสุรา​ของ​เจ้ายัง​จะโคจร​ไป​ได้​สัก​กี่​น้ำ​”

เขา​หัวเราะ​ลั่น​อย่าง​บ้าคลั่ง​ หมัด​หนัก​ๆ กระแทก​เข้าที่​หน้าผาก​ของ​อา​ซูหลัว​จน​เบื้องหน้า​เห็น​ดาว​วาววับ​ ดวงตา​ก็​เหลือก​ขึ้น​จน​เห็น​ตาขาว​

เมื่อ​จอม​ยุทธ์​ต่อสู้​กัน​ แก่น​โลหิต​ล้วน​ต้อง​อาศัย​หัวใจ​ใน​การ​โคจร​ เมื่อ​มัน​หยุด​ส่งกระแสเลือด​ สมอง​ก็​จะขาด​อากาศ​ เลือด​ใน​ร่างกาย​ก็​จะหยุดชะงัก​ และ​แขนขา​ทั้ง​สี่ก็​จะไร้​เรี่ยวแรง​

ความเจ็บปวด​ทรมาน​ของ​มัน​ สวี่​ชีอัน​ตระหนัก​รู้ดี​ที่สุด​ พลัง​ชีวิต​ที่​แข็งแกร่ง​เหนือกว่า​จอม​ยุทธ์​คนใด​ทำให้​เขา​ไม่อาจ​เสียชีวิต​ แต่​ความ​ทรมาน​ยังคง​สถิต​อยู่​ทุก​ชั่วขณะ​

โชคดี​ที่​ตอนที่​เขา​เลื่อน​สู่ขั้น​หลอม​วิญญาณ​ เขา​ได้​ฝึกฝน​จิต​เดิม​จน​แข็งแกร่ง​ยิ่งยวด​และ​พลังจิต​ตา​นุ​ภาพ​ก็​มั่นคง​แล้ว​ ดังนั้น​จึงยัง​ไม่แตกสลาย​เพราะ​ถูก​ความเจ็บปวด​ทรมาน​เคี่ยว​กรำ​

จอม​ยุทธ์​ชั้นยอด​ทุกคน​ล้วนแต่​มีจุดแข็ง​ที่​น่า​สะพรึง​กัน​ทั้งนั้น​

เขา​สูด​หายใจ​ลึก​ บาดแผล​ทะลวง​ที่​หน้าอก​และ​อาการ​บาดเจ็บ​ต่างๆ​ บน​ร่างกาย​ฟื้นฟู​กลับมา​อย่าง​รวดเร็ว​ สวี่​ชีอัน​เริ่ม​ทำการ​โจมตีกลับ​ ทั้ง​กำปั้น​ ศอก​ เข่า​ ส่วน​ที่​แข็ง​ต่างๆ​ ของ​ร่างกาย​ล้วน​กลายเป็น​อาวุธ​ เมื่อ​ครู่​อา​ซูหลัว​โจมตี​เขา​อย่างไร​ เขา​ก็​โจมตี​คืนให้​แบบ​นั้น​

‘พลั่ก​ พลั่ก​ พลั่ก​!’…

เสียง​ใสกระจ่าง​ดุจดัง​ลำ​ไผ่​ระเบิด​ดัง​ขึ้น​ เลือด​ไหล​กระเซ็น​ออก​มาจาก​ร่าง​ของ​อา​ซูหลัว​ไม่หยุด​

บุตร​แห่ง​ราชัน​อสูร​สอง​ตา​แดงก่ำ​ ปาก​ร้อง​คำราม​ราวกับ​สัตว์​ดุร้าย​และ​พยายาม​ต่อต้าน​เต็มกำลัง​ แต่กลับ​ยาก​จะกลับมา​เป็นต่อ​ได้​อีกครั้ง​

อีก​ด้าน​หนึ่ง​ ซุน​เสวียน​จีลง​มาสู่ยอด​เจดีย์​อย่าง​แผ่วเบา​ ปลายเท้า​บังเกิด​เป็น​ค่าย​กล​ทรงกลม​ขึ้น​มาทีละ​ชั้น​ๆ ค่าย​กล​ทรงกลม​สิบสอง​ชิ้น​กำลังจะ​แบ่ง​เจดีย์​ให้​เป็น​สิบสอง​ส่วน​เท่าๆ​ กัน​

จากนั้น​ค่าย​กล​หก​ชิ้น​ด้านบน​ก็​เริ่ม​หมุน​ตามเข็มนาฬิกา​ ส่วน​หก​ชิ้น​ด้านล่าง​ก็​เริ่ม​หมุน​ทวนเข็มนาฬิกา​

‘พลั่ก​! พลั่ก​! พลั่ก​!’

อักขระ​พุทธ​สีทอง​ที่​ปกคลุม​ภายนอก​เจดีย์​ที่​ถูก​ผนึก​ทยอย​ระเบิด​ออก​ นี่​ไม่ใช่แรง​ระเบิดทำลาย​ทั่วไป​ แต่​เป็น​วิธีการ​ทำลาย​ที่​ล้ำเลิศ​ยิ่งกว่า​ นั่น​คือ​การ​ทำให้​อักขระ​พุทธ​ที่​ก่อตัว​เป็น​ผนึก​ค่าย​กล​ขนาดใหญ่​ถูก​ทำลาย​ยัน​รากฐาน​

ภิกษุ​ที่​ดู​อยู่​ไกลๆ​ เมื่อ​เห็นภาพ​นี้​ต่าง​ก็​มีสีหน้า​นิ่งงัน​ เช่นเดียวกับ​เมื่อ​สักครู่​ พวกเขา​ไม่เข้าใจ​การต่อสู้​เหนือ​สามัญที่​เปลี่ยน​ผัน​จน​คาดเดา​ไม่ได้​เช่นนี้​เลย​

โจร​ต่างแดน​สอง​คน​นี้​สามารถ​บีบ​ให้​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งเปิด​ใช้พลัง​แห่ง​สายเลือด​ได้​ เช่นนี้​นับว่า​เป็น​การต่อสู้​ที่​แม้ตาย​ก็​สมเกียรติ​แล้ว​

นี่​เป็น​ความจริง​ เพราะ​เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งที่​เปิด​ใช้พลัง​แห่ง​สายเลือด​ ระดับ​เพชร​ที่​ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง​คน​นั้น​ก็​ถอยร่น​และ​วิ่งหนี​หาง​จุก​ตูด​ไป​

โหร​ที่อยู่​กลางอากาศ​ผู้​นั้น​กล้า​ก็​แต่​ลอบ​ยิง​ข้างหลัง​

แต่​อย่างไรก็ตาม​ หลังจาก​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งไล่​สังหาร​ขึ้นไป​ที่​ป้อม​แล้ว​ สถานการณ์​ก็​พลิกผัน​ ระดับ​เพชร​ต่างแดน​ที่​ไม่รู้​ว่า​เป็น​เทพ​เซียน​ฝ่าย​ไหน​กลับ​กลายเป็น​ฝ่าย​ได้เปรียบ​ และ​โจมตี​จน​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งไม่อาจ​โต้กลับ​ได้​เลย​

อีก​อย่าง​นี่​ไม่ใช่การได้เปรียบ​โดยบังเอิญ​ พวกเขา​มอง​เห็นได้ชัด​ว่า​ลมหายใจ​ของ​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งลดลง​อย่าง​รวดเร็ว​

“จะ…จัด​กระบวน​…”

ภิกษุ​ชรา​ริมฝีปาก​สั่นเทา​ เขา​ตะโกน​ลั่น​ด้วย​ภาษาของ​ดินแดน​ประจิม​ทิศ​

“รีบ​จัด​กระบวน​เร็ว​เข้า​ ไป​ช่วย​อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่งสังหาร​ศัตรู​จาก​ภายนอก​นั่น​แล้ว​คุ้มกัน​เจดีย์​ไว้​”

“รนหาที่​ตาย​!”

สวี่​ชีอัน​เตะ​เข้าที่​หน้าอก​ของ​อา​ซูหลัว​ด้วย​สอง​เท้า​ พร้อมกับ​ขว้าง​ดาบ​ไท่​ผิง​ออกมา​

‘ชิ้ง…’

ไท่​ผิง​กรีดร้อง​ออกมา​แล้ว​กลายเป็น​ลำแสง​สีทอง​หม่น​ราวกับ​ปลา​ที่​แหวกว่าย​ แล้ว​ฟัน​ลง​ไป​ใน​หมู่​ภิกษุ​ทั้ง​หลายอย่าง​เปี่ยม​ไป​ด้วย​จิตวิญญาณ​

ทุกที่​ที่​มัน​ฟัน​ผ่าน​ไป​ เหล่า​ฉาน​ซือ​ต่าง​ก็​ต้อง​ล้ม​ลง​กับ​พื้น​ บ้าง​ก็​ลอย​ขึ้น​ บ้าง​ก็​ลำตัว​ด้านบน​และ​ด้านล่าง​แยก​จากกัน​ หรือไม่​ก็​เข่า​ทั้งสอง​ข้าง​ถูก​ฟัน​ขาด​

มีเพียง​ฉาน​ซือ​ขั้น​สี่เพียง​น้อย​นิด​เท่านั้น​ที่​สามารถ​ใช้วิชา​ฉาน​ออกมา​ใน​ช่วงเวลา​สำคัญ​ แสงแห่ง​พุทธ​เข้ามา​คุ้ม​กาย​แล้ว​ต้านทาน​การฟาดฟัน​จาก​ลำแสง​แห่ง​ดาบ​เอาไว้​

ใน​บรรดา​พลัง​ต่อสู้​ที่​เหนือ​สามัญใน​อดีต​ ดาบ​ไท่​ผิง​นั้น​แสดง​พลัง​ออกมา​ได้​สงบนิ่ง​สมชื่อ​ ถึงขั้น​ออกจะ​ยืดหยุ่น​โอนอ่อน​ไป​หน่อย​ด้วยซ้ำ​ แต่​ก็​ไม่ได้​หมายความว่า​มัน​ไม่แข็งแกร่ง​

หลัก​ๆ คือ​สถานะ​ของ​ศัตรู​ที่​เจ้านาย​ของ​มัน​พบ​เจอ​นั้น​อยู่​สูงเกินไป​ทั้งนั้น​ ดาบ​น้อย​ๆ ที่​เพิ่งจะ​บังเกิด​จิตวิญญาณ​ได้​ไม่นาน​อย่าง​มัน​เลย​ยาก​จะฟาดฟัน​เพื่อ​ตัดสิน​ชัยชนะ​ให้​ชี้ขาด​ได้​

แต่​ระหว่าง​นี้​มัน​ได้​ปราณ​มังกร​หล่อเลี้ยง​ ประกาย​ดาบ​จึงยิ่ง​คมกริบ​ยิ่งกว่า​เดิม​

มัน​เริ่ม​เติบโต​ขึ้น​และ​สามารถ​แสดง​แสนยานุภาพ​ออกมา​ได้​ใน​สถานการณ์​ที่​ไม่เป็นธรรมชาติ​เช่นนี้​ได้​แล้ว​

ตอนนี้​การ​ได้​ต่อกร​กับ​ฉาน​ซือ​กลุ่ม​นี้​ ไม่อาจ​พูดว่า​เหมือน​หั่น​ผัก​หั่น​แตง​ แต่​กล่าว​ได้​เพียงแค่​ว่า​เหมือนกับ​การ​หั่น​เต้าหู้​

“จัด​กระบวน​อยู่กับที่​!”

ภิกษุ​ชรา​คน​หนึ่ง​ตะโกน​บอก​

เหล่า​ฉาน​ซือ​พา​กัน​ตอบสนอง​โดยทันที​ คน​หลาย​คน​หรือ​อาจ​สัก​สิบ​กว่า​คน​พา​กัน​นั่งขัดสมาธิ​อยู่​ที่​เดิม​และ​เริ่ม​จัด​กระบวน​เป็น​ค่าย​ฉาน​

ผล​คือ​สามารถ​ต้านทาน​อาวุธ​เทพ​ที่​ไร้​เทียมทาน​นี้​ได้​ และ​ทำให้​มัน​ยาก​จะทะลวง​แสงทอง​คุ้ม​กา​ยา​ที่​เปล่ง​ออกมา​ซ้อน​ทับกัน​เป็นชั้นๆ​ ได้​ แต่​เช่นนี้​ทำให้​ภิกษุ​ทั้งหลาย​ไม่มีกำลังจะ​ไป​ช่วยเหลือ​อา​ซูหลัว​และ​ซุน​เสวียน​จีไม่ให้​ทำลาย​ค่าย​กล​

เสียง​คาน​หัก​ดัง​ ‘แก​ร่ก’​ พร้อมกับ​เสียง​อิฐ​ที่​แตก​กระจาย​ดัง​ ‘โครม​’ เป็น​สัญญาณบอ​กว่า​ในที่สุด​เจดีย์​ที่​ถูก​ผนึก​แห่ง​นี้​ก็​ไม่อาจ​รับได้​ไหว​ และ​ล่มสลาย​ในที่สุด​

ซุน​เสวียน​จีจึงมอง​เห็นภาพ​ภายใน​เจดีย์​ได้​ชัดเจน​

ตรงกลาง​ชั้น​ที่หนึ่ง​มีฐาน​แปดเหลี่ยม​ที่​ถูก​หล่อ​ด้วย​ทองคำ​ บน​ฐาน​นั้น​มีแท่น​ดอกบัว​ที่​หล่อ​ด้วย​ทองคำ​อยู่​หนึ่ง​แห่ง​

ไม่ว่า​จะเป็นตัว​ฐาน​หรือว่า​ดอกบัว​ก็​ล้วนแต่​มีอักขระ​พุทธ​คงอยู่​แน่นขนัด​ซึ่งเป็น​ส่วน​ของ​ค่าย​กล​ผนึก​ แต่​ตอนนี้​สัญลักษณ์​แห่ง​สำนัก​พุทธ​เหล่านั้น​กำลัง​หม่น​แสงและ​กลายเป็น​ลาย​สลัก​ธรรมดาๆ​ ไร้​ซึ่งมนตร์​ขลัง​อีกต่อไป​

บน​แท่น​ดอกบัว​มีขา​ที่สอง​ข้าง​แข็งแกร่ง​เรียว​ยาว​วาง​อยู่​ บน​นั้น​มีกล้ามเนื้อ​เป็น​วง​โค้ง​ราบเรียบ​

มัน​ถูก​ผนึก​อยู่​ที่นี่​มาห้า​ร้อย​ปี​ แต่กลับ​ไม่มีร่องรอย​ว่า​จะเหือดแห้ง​เหี่ยวเฉา​แม้แต่​นิด​ และ​ยังคง​สด​ใหม่​เหมือนกับ​ขา​ของ​คน​ที่​ยัง​มีชีวิต​อยู่​

เจดีย์​ที่​ถูก​ผนึก​นั้น​มีทั้งหมด​สามชั้น​ และ​ทุก​ชั้น​ล้วน​มีฉาน​ซือ​กลุ่ม​หนึ่ง​นั่งขัดสมาธิ​อยู่​

เมื่อ​เจดีย์​เริ่ม​ล่มสลาย​ ฉาน​ซือ​เหล่านี้​ที่​ยัง​คงอยู่​ใน​ท่า​นั่งขัดสมาธิ​ก็​พา​กัน​ร่วงหล่น​ แต่​ถึงแม้จะร่วง​ตก​มาจาก​ที่สูง​กัน​ พวกเขา​ก็​ยังคง​นั่ง​อยู่​ใน​ท่า​ขัดสมาธิ​ ไม่ฟื้น​ตื่น​ และ​ไม่ต่อต้าน​

ซุน​เสวียน​จีเปิด​ถุงออก​แล้ว​เล็ง​ไป​ยัง​ขา​คู่​นั้น​

ถุงหอม​หมุน​วน​และ​ดูด​ท่อ​นขา​คู่​นั้น​เข้าไป​อย่าง​ง่ายดาย​ จากนั้น​เขา​ก็​ชำเลือง​มอง​ฉาน​ซือ​กลุ่ม​นั้น​ที่​เอน​ล้ม​ซ้าย​ที​ขวา​ที​ราวกับ​รูป​สลัก​ เขา​ลังเล​พัก​หนึ่ง​ สุดท้าย​ก็​ล้มเลิก​ความคิด​ที่จะ​สังหาร​ฉาน​ซือ​เหล่านี้​ทิ้ง​ไป​

ขณะที่​ทั้งสองฝ่าย​ยัง​ไม่มีเจตนา​เป็น​ศัตรู​กัน​ ฉาน​ซือ​เหล่านี้​ล้วน​เป็น​ผู้บริสุทธิ์​ใน​สายตา​ของ​ศิษย์​พี่​ซุน​

เขา​ไม่อาจ​บอก​ให้​ตนเอง​สังหาร​ผู้บริสุทธิ์​ได้​

แม้ว่า​อาจจะ​มีสักวันหนึ่ง​ในอนาคต​ที่​ฉาน​ซือ​เหล่านี้​จะกลายเป็น​ศัตรู​ของ​เขา​ แต่​นั่น​เป็นเรื่อง​ของ​อนาคต​ หาก​ถึงเวลา​นั้น​จริงๆ​ เมื่อ​เขา​สังหาร​ศัตรู​ก็​ย่อม​ไม่ออม​มือ​ให้​แน่​

“เยี่ยม​!”

ซุน​เสวียน​จีคำราม​เสียง​สั้น​ๆ จากนั้น​ที่​ใต้เท้า​ก็​มีแสงสว่าง​ปรากฏ​ขึ้น​มาแล้ว​ส่งตัว​เขา​กลับ​ไป​ยัง​ป้อม​ปืนใหญ่​

บน​ป้อม​มีแสงสว่างไสว​แล้ว​สลาย​หาย​ไป​กลาง​ท้องฟ้า​ยามค่ำคืน​อัน​มืดมิด​

เมื่อ​เห็น​ดังนั้น​ สวี่​ชีอัน​ก็​ไม่ลังเล​อีก​ เขา​หยุด​การ​ประมือ​กับ​อา​ซูหลัว​แล้ว​จดจ้อง​ไป​ยัง​เจดีย์​พุทธะ​ที่​พุ่ง​ขึ้น​มากลางอากาศ​แล้ว​ตะโกน​ว่า​

“ไท่​ผิง​!”

ดาบ​ไท่​ผิง​กู่​ร้อง​แล้ว​ให้​เจ้านาย​เหยียบ​ลง​ไป​บน​นั้น​ หนึ่ง​คน​หนึ่ง​ดาบ​จึงทะลวง​ท้องฟ้า​บิน​จากไป​

ไม่ใช่ว่า​สวี่​ชีอัน​มีความเมตตา​ยอม​รามือ​ แม้กลิ่นอาย​ของ​อา​ซูหลัว​จะลดลง​เมื่อ​โดน​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​หนึ่ง​ตัว​ แต่​นั่น​ไม่ได้​หมายความว่า​บุตร​แห่ง​ราชัน​อสูร​ผู้​นี้​จบสิ้น​แล้ว​ เขา​ยัง​คงอยู่​ใน​ระดับ​ผู้​อยู่​เหนือ​สามัญ

และ​จอม​ยุทธ์​ก็​ขึ้น​ชื่อเรื่อง​ตาย​ยาก​ อวัยวะ​ของ​เสิน​ซูก็​ชิงมาได้​แล้ว​ จึงไม่จำเป็นต้อง​รั้ง​อยู่​ที่นี่​ต่อไป​อีก​ หาก​อยู่​นาน​ไป​สถานการณ์​อาจ​เปลี่ยน​ได้​

วัด​หนาน​ฝ่าที่​ผ่าน​การต่อสู้​ครั้ง​ใหญ่​มีสภาพ​เละเทะ​ยุ่งเหยิง​อย่าง​เห็นได้ชัด​ ซึ่งความเสียหาย​ส่วนใหญ่​กระจุก​อยู่​ทางตะวันตก​ พื้นที่​แถบ​นั้น​ นอกจาก​ดาบ​ที่​สวี่​ชีอัน​ฟัน​ออกมา​ทะลวง​วัด​หนาน​ฝ่าไป​กว่า​ครึ่ง​แล้ว​ ส่วนใหญ่​ล้วน​ไม่ได้​สาหัส​อะไร​นัก​

อา​ซูหลัว​นั่งขัดสมาธิ​อยู่​บน​ลาน​ที่​ยังคง​สภาพ​ดี​ ฉากหลัง​คือ​เจดีย์​ที่​ล่มสลาย​เป็น​เศษเล็กเศษน้อย​

ผิว​ของ​เขา​ไม่ได้​ดำ​สนิท​อีกต่อไป​ แต่​ก็​ไม่ใช่สีทอง​หม่น​ใน​แบบ​เฉพาะ​ของ​ระดับ​เพชร​เช่นกัน​ วงแหวน​ด้านหลัง​ศีรษะ​ดับ​แสงลง​ ตอนนี้​เขา​มองดู​แล้ว​เหมือนกับ​ภิกษุ​ธรรมดาๆ​ รูป​หนึ่ง​

อย่าง​มาก​ก็​คือ​พระ​อาจารย์​หน้าตา​ขี้ริ้ว​คน​หนึ่ง​

ตะปู​สีทอง​นอน​อย่าง​นิ่ง​สงบ​อยู่​ตรงหน้า​เขา​

อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่ง ย่อม​มีวิธี​ลับ​ที่​สามารถ​ถอน​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ออก​อย่าง​แน่นอน​ ทั้ง​ยัง​มีพลัง​ที่จะ​ทำได้​ด้วย​

โชคดี​ที่​มีตะปู​ตอก​วิญญาณ​เพียงแค่​หนึ่ง​ดอก​ แม้ว่า​จะทำให้​พลัง​ของ​เขา​อ่อน​ลง​ แต่​ก็​ไม่ถึงขั้น​ทำให้​เขา​ใช้การไม่ได้​ เขา​ยัง​คงเหลือ​พลัง​ถอน​มัน​ออก​ให้​กับ​ตัวเอง​

ถ้าหากว่า​มีตะปู​ตอก​วิญญาณ​เก้า​ดอก​พร้อมใจกัน​เข้าสู่​ร่างกาย​ เขา​ก็​ทำได้​เพียง​กลับ​ไป​ขอความช่วยเหลือ​จาก​เหล่า​อรหันต์​กับ​พระโพธิสัตว์​ที่​อรัญ​ตา​แล้ว​

ภิกษุ​ชรา​คน​หนึ่ง​เดิน​นำ​ลูกศิษย์​สิบ​กว่า​คน​เข้ามา​ใน​แถบ​ตะวันตก​ เหล่า​ลูกศิษย์​หยุด​อยู่กับที่​ ส่วน​ภิกษุ​ชรา​ก้าว​ขึ้นไป​ประนมมือ​ทั้ง​สิบ​

“อา​ซูหลัว​ผู้​สูงส่ง ชิ้นส่วน​ของ​ภิกษุ​มาร​ถูก​ชิงไป​แล้ว​ ควรจะ​ทำ​เช่นไร​ดี​ขอรับ​”

ภิกษุ​ชรา​ผู้​นี้​ใบหน้า​เต็มไปด้วย​รอยย่น​ ร่างกาย​ผอมแห้ง​ราวกับ​ไม้ฟืน​ เขา​คือ​ไต้​ซือ​ผา​น​เนี่ย​น​เจ้าอาวาส​ประ​จำวัด​หนาน​ฝ่า

อายุ​หนึ่งร้อย​เก้า​ปี​

สำนัก​พุทธ​ใน​ปัจจุบัน​ ใน​สายตา​ของ​ศิษย์​ทั่วไป​ ส่วนใหญ่​ผู้​ที่​มีคุณธรรม​สูงส่งและ​เป็นที่​เคารพนับถือ​ล้วนแต่​เป็น​บุคคล​ใน​รุ่น​ตัวอักษร​ ‘ผา​น’​ ส่วน​รุ่น​ก่อนหน้านี้​เป็น​ตัวอักษร​ ‘ตู้​’ ซึ่งภิกษุ​ใน​รุ่น​ตัวอักษร​ ‘ตู้​’ นั้น​ หาก​ไม่ได้​เป็น​ผู้​อยู่​เหนือ​สามัญ ก็​ล้วนแต่​กลายเป็น​ดิน​เหลือง​ไป​นาน​แล้ว​

ส่วน​ผู้​แข็งแกร่ง​ที่อยู่​เหนือ​สามัญ ก็​ไม่อาจ​ใช้คำ​ว่า​มีคุณธรรม​สูงส่งและ​เป็นที่​เคารพนับถือ​มาอธิบาย​ได้​แล้ว​

“เรา​จะรายงาน​พระโพธิสัตว์​กว่าง​เสีย​น”​

อา​ซูหลัว​นั่งขัดสมาธิ​อย่าง​เปี่ยม​บารมี​ ไร้​ซึ่งสุข​หรือ​เศร้า​

เจ้าอาวาส​ผา​น​เนี่ย​นพ​ยัก​หน้า​แล้ว​เอ่ย​ด้วย​น้ำเสียง​แหบแห้ง​

“ต้อง​ส่งศิษย์​ใน​สำนัก​ไป​ตามล่า​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ใน​ภูเขา​สือ​ว่าน​หรือไม่​ขอรับ​”

สำนัก​พุทธ​ตั้งอยู่​ที่​ซินเจียง​ตอน​ใต้​มาหลาย​ปี​ มีทหาร​กองกำลัง​พร้อมพรัก​ ยอด​ฝีมือ​ก็​ยิ่ง​มีมากมาย​ แข็งแกร่ง​ยิ่งกว่า​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​นัก​ แต่​ก็​ยัง​ไม่อาจ​รวม​ภูเขา​สือ​ว่าน​ให้​เป็นหนึ่งเดียว​ได้​

อา​ซูหลัว​ส่ายหน้า​

“สั่งลง​ไป​ทั่วทุกแห่ง​ให้​กักตุน​เสบียงอาหาร​ ยารักษาโรค​ เสริม​ความมั่นคง​ให้​กำแพงเมือง​ และ​ถอน​ต้นไม้ใบหญ้า​เพื่อ​ถางทาง​”

เจ้าอาวาส​ผา​น​เนี่ย​น​ตกใจ​

“ท่าน​หมายความว่า​…”

คำสั่ง​เหล่านี้​ แต่ละ​อย่าง​ล้วน​เป็นเรื่อง​ที่​ใช้ใน​ยาม​อดอยาก​และ​ช่วง​ศึกสงคราม​ แต่​ทรัพยากร​ใน​ภูเขา​สือ​ว่าน​มีมากมาย​ให้​ใช้ได้​ไม่รู้จัก​หมด​ ไม่มีปัญหา​เรื่อง​ความอดอยาก​แน่นอน​

ดังนั้น​คำตอบ​จึงมีเพียง​หนึ่งเดียว​

สีหน้า​ของ​อา​ซูหลัว​เคร่งขรึม​ ยังคง​ท่าทาง​ประนมมือ​เอาไว้​

“ปีศาจ​ทักษิณ​อดทน​มาห้า​ร้อย​ปี​และ​ลักลอบ​สั่งสมกำลัง​ ตอนนี้​ได้โอกาส​ที่จะ​กลับมา​อีกครั้ง​แล้ว​ เรื่อง​นี้​ข้า​จะติดต่อ​กับ​ฝั่งอรัญ​ตา​เอง​ เมื่อ​ภูเขา​สือ​ว่าน​เข้ามา​อยู่​ใน​แผนที่​ของ​สำนัก​พุทธ​ก็​จะไม่มีวัน​เปลี่ยนไป​ ครั้งนี้​ พวกเรา​จะทลาย​ชะตากรรม​ของ​ปีศาจ​ทักษิณ​ให้​หมดสิ้น​”

เจ้าอาวาส​ผา​น​เนี่ย​น​ถอนหายใจ​ออกมา​แล้ว​ถามข้อสงสัย​ที่​รบเร้า​ใน​ใจมานาน​

“ระดับ​เพชร​ที่​ต่อสู้​กับ​ท่าน​เมื่อครู่นี้​คือ​ใคร​หรือ​ขอรับ​”

อา​ซูหลัว​ถามกลับ​ “ผู้​ที่​ฝึก​วิชา​ระดับ​เพชร​และ​เป็น​จอม​ยุทธ์​เหนือ​สามัญแห่ง​ต้าฟ่ง​ที่​มีความสัมพันธ์​กับ​สำนัก​โหราจารย์​ เจ้าคิด​ว่า​เป็น​ใคร​ได้​ล่ะ​”

สมอง​ของ​เจ้าอาวาส​ผา​น​เนี่ย​น​มีชื่อ​ผุด​ขึ้น​มาหนึ่ง​ชื่อ​…สวี่​ชีอัน​!

“เป็น​เขา​…”

สีหน้า​ของ​เจ้าอาวาส​ผา​น​เนี่ย​น​ซับซ้อน​ เขา​เอ่ย​ด้วย​ท่าทาง​ใจสลาย​

“บุตร​ผู้​นี้​เติบโต​จน​มาถึงขั้น​นี้​แล้วแต่​ไม่อาจ​นำ​เขา​เข้าสู่​สำนัก​พุทธ​ได้​ ช่างเสียโอกาส​ เสียโอกาส​ครั้ง​ใหญ่​ไป​โดยแท้​”

น้ำเสียง​ของ​เขา​ทั้ง​ชิงชังและ​เสียดาย​

ใน​หุบเขา​ ข้าง​กองไฟ​ที่​ลุกโชน​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางและ​ผู้พิทักษ์​หง​อิง​ ผู้พิทักษ์​ชิงมู่ ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​ รวมถึง​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​สิบ​กว่า​ตน​ต่าง​พา​กัน​พูดคุย​หัวเราะ​และ​ร้องเพลง​เต้นระบำ​เพื่อ​เฉลิมฉลอง​ที่​ปฏิบัติการ​สำเร็จ​ลุล่วง​

“สมแล้ว​ที่​ดินปืน​ของ​ต้าฟ่ง​มีชื่อเสียง​ขจร​ไกล​ ระเบิด​ได้​น่าประทับใจ​จริงๆ​”

ปีศาจ​ม้าตัว​หนึ่ง​ตบ​อก​ตนเอง​แล้ว​เอ่ย​อย่าง​ตื่นเต้น​ “แทบจะ​รอ​กำจัด​คน​จาก​แดน​ตะวันตก​ทิ้ง​ไม่ไหว​แล้ว​ เรา​จะได้​ช่วยเหลือ​พี่น้อง​ร่วม​เผ่าพันธุ์​ที่​ตกที่นั่งลำบาก​ได้​สักที​”

ผู้พิทักษ์​หง​อิง​รีบ​ยก​จอก​สุรา​ขึ้น​ทันที​ “ปฏิบัติการ​ครั้งนี้​สำเร็จ​ลุล่วง​ไป​ได้​ก็​เพราะ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​และ​พี่​เหมียว​มีส่วน​เป็นอย่างมาก​ พวกเรา​มาดื่ม​เพื่อ​เป็นเกียรติ​แด่​แขก​ผู้มีเกียรติ​จาก​แดน​ไกล​กัน​เถอะ​”

พูด​ไป​พูด​มาก็​ดัน​ตัว​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางไป​ยัง​กลาง​เวที​จน​กลายเป็น​จุดรวม​สายตา​ของ​ปีศาจ​ทุก​ตน​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางได้ยิน​เสียง​เรียก​ ‘จอม​ยุทธ์​เหมียว​’ ดัง​เป็น​ทอด​ๆ แม้คน​จะยัง​ไม่เมา แต่​จิตใจ​ก็​มัวเมา​ไป​แล้ว​

“ชมเกินไป​แล้ว​ ชมเกินไป​แล้ว​!”

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางคำนับ​และ​เอ่ย​เสียงดัง​

“เมื่อ​เจอ​เรื่อง​อยุติธรรม​ย่อม​เข้า​ช่วยเหลือ​ นี่​คือ​เรื่อง​ที่​คน​จาก​ภาค​กลาง​ย่อม​ต้อง​กระทำ​ แม้ทุกท่าน​เป็น​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ แต่​ความ​กระตือรือร้น​และ​ความซื่อตรง​ของ​พวก​ท่าน​ ใน​สายตา​ของ​ข้า​ คู่ควร​แก่​การ​ผูกมิตร​มากกว่า​มนุษย์​ส่วนใหญ่​เสีย​อีก​

“ข้า​แซ่เหมียว​ขอ​เคารพ​ท่าน​หนึ่ง​จอก​”

ขณะที่​เงยหน้า​ดื่ม​สุรา​ เขา​ก็​กวาดตา​มอง​องค์​เอว​คอด​บาง​ของ​ปีศาจ​สาว​รูปร่างหน้าตา​งดงาม​ไป​ด้วย​

‘ไม่รู้​ว่า​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​จะเปิดกว้าง​เรื่อง​ความรัก​ชาย​หญิง​หรือไม่​นะ​ ข้า​เสี่ยงชีวิต​ตัวเอง​เพื่อ​ปา​ระเบิด​ไป​ทั่ว​ทุกที่​ หาก​พวกเขา​จะส่งปีศาจ​สาว​มาปรนนิบัติ​สัก​สอง​สามคน​น่าจะ​ไม่เกินไป​กระมัง​ ได้มา​คลุกคลี​กับ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ช่างดี​เสีย​จริง​…’ ความคิด​ของ​เหมียว​โห​ย่ว​ฟางเต็มไปด้วย​จินตนาการ​

ตอนนี้​เอง​ เขา​ก็​พบ​ว่า​ดวงตา​สีฟ้าใสของ​ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​ที่อยู่​ไกลๆ​ กำลัง​จดจ้อง​มาที่​ตน​อยู่​

‘แย่​แล้ว​!!’

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางใจตกไป​ที่​ตาตุ่ม​ ความตื่นตัว​พลุ่งพล่าน​ ถ้าหาก​ให้​เจ้าปีศาจ​ลิง​ตัว​นี้​พูด​ความคิด​เมื่อ​ครู่​ที่อยู่​ใน​ใจของ​ตน​ออกมา​ เช่นนั้น​ เช่นนั้น​เขา​จะกลายเป็น​ห​ลี่​ห​ลิง​ซู่อีก​คน​หรือไม่​

พอ​ถึงตอนนั้น​ คง​ทำได้​เพียง​ปกปิด​ใบหน้า​แล้ว​หนี​ออกจาก​ภูเขา​สือ​ว่าน​เท่านั้น​แล้ว​

ใน​ช่วงเวลา​สำคัญ​นี้​เอง​ ผู้พิทักษ์​หง​อิง​ก็​ทิ้ง​จอก​สุรา​ใน​มือ​แล้ว​พุ่ง​ไปหา​ผู้พิทักษ์​หยวน​ จากนั้น​ก็​กด​เขา​ไว้​กับ​พื้น​ สอง​มือ​ปิดปาก​หนา​ๆ ของ​เขา​เอาไว้​แน่น​สนิท​

“เจ้าอย่า​ได้​พูด​ออกมา​เชียว​!”

ผู้พิทักษ์​หง​อิง​เอ่ย​เตือน​

ผู้พิทักษ์​ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​มอง​เขา​อย่าง​ดื้อรั้น​แล้ว​ส่ายหน้า​เล็กน้อย​

ความสามารถ​ของ​เขา​อยู่​เหนือ​ขอบเขต​ของ​ขั้น​สี่ ไม่ใช่คน​ที่​ตน​คิด​จะควบคุม​ก็​ควบคุม​ได้​เลย​

เมื่อ​เห็น​ดังนั้น​ ผู้พิทักษ์​ชิงมู่ก็​จับ​ไม้เท้า​เถาวัลย์​เอาไว้​อย่าง​เงียบงัน​

ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​เหลือบมอง​ไม้เท้า​นั่น​แล้ว​พยักหน้า​เงียบๆ​

ผู้พิทักษ์​หง​อิง​จึงปล่อยมือ​ออก​

ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​จึงฉีก​มุมเสื้อ​แล้ว​นำมา​ปิด​ตา​ จากนั้น​ก็​หันหลัง​ให้​กับ​ทุกคน​

เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ถึงความในใจ​ของ​ทุกคน​จะยัง​เข้ามา​ใน​หู​ของ​เขา​ แต่​เขา​ก็​ไม่อาจ​แยกแยะ​ได้​แล้ว​ว่า​ความในใจ​นั้น​เป็น​ของ​ใคร​บ้าง​

เหมียว​โห​ย่ว​ฟางถอนหายใจ​โล่งอก​ แล้ว​จับมือ​ผู้พิทักษ์​หง​อิง​ไว้​แน่น​ ก่อน​เอ่ย​พูด​อย่าง​จริงใจ​

“ผู้พิทักษ์​หง​อิง​ สหาย​ตลอดชีวิต​ของ​ข้า​”

ภายใน​ถ้ำ

หลังจาก​ใช้ยาอายุวัฒนะ​ของ​ซุน​เสวียน​จีและ​ปรับ​ลมหายใจ​เล็กน้อย​แล้ว​ กลิ่นอาย​ของ​สวี่​ชีอัน​ก็​กลับมา​อยู่​ใน​จุดสูงสุด​อีกครั้ง​

“อา​ซูหลัว​น่ากลัว​เกินไป​ เขา​ไม่ใช่ผู้​ที่​ขั้น​สามจะสามารถ​ต่อกร​ได้​เลย​”

สวี่​ชีอัน​เอ่ย​พร้อม​ความกลัว​ที่​ยัง​สถิต​อยู่​ใน​ใจ

“สวี่​หลา​งไม่เป็นอะไร​ก็​ดีแล้ว​”

เย่​จีริน​ชาให้​อยู่​ด้าน​ข้าง​ ใบหน้า​เต็มไปด้วย​ความเจ็บปวด​ เมื่อ​สวี่​ชีอัน​ดื่ม​หมด​แล้ว​นาง​ก็​เอ่ย​ว่า​

“ร่างกาย​ชิ้น​นี้​ของ​ไต้​ซือเสิน​ซูจะสามารถ​ช่วย​ให้​สวี่​หลา​งถอด​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ไป​ได้​สอง​ดอก​ เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ท่าน​ก็​เหลือ​เพียง​ตะปู​ตอก​วิญญาณ​ดอก​เดียว​แล้ว​”

“ยินดี​ด้วย​ๆ” ไป๋​จียก​อุ้งเท้า​สอง​ข้าง​ของ​มัน​ขึ้น​ทำ​ท่าทาง​คำนับ​

ซุน​เสวียน​จีที่อยู่​ด้าน​ข้าง​ได้ยิน​ดังนั้น​ก็​พยักหน้า​เบา​ๆ

“ยอด​…”

เย่​จีเหลือบมอง​เขา​พร้อม​รอยยิ้ม​ รอ​อยู่​นาน​แต่​ประโยค​ต่อมา​ก็​ยัง​ไม่มีสักที​ จึงหัน​กลับมา​มอง​คนรัก​ด้วย​ความ​งุนงง​

ตอนนี้​เอง​ ซุน​เสวียน​จีก็​พลัน​โพล่ง​ขึ้น​มา

“เยี่ยม​!”

ยอดเยี่ยม​…เย่​จีมอง​สวี่​ชีอัน​ตา​ใส ทันใดนั้น​ก็​เข้าใจ​แล้ว​ว่า​ทำไม​ก่อนหน้านี้​เขา​จึงเชิญให้​ผู้พิทักษ์​วานร​ขาว​มาช่วย​พูด​แทน​ซุน​เสวียน​จี

“ชิน​แล้​วจะ​ดี​เอง​”

สวี่​ชีอัน​ส่งเสียง​ใน​ใจบอก​ไป​หนึ่ง​ประโยค​ จากนั้น​ก็​หันมา​มอง​ซุน​เสวียน​จี “ศิษย์​พี่​ซุน​ นำ​ชิ้นส่วน​ของ​เสิน​ซูออกมา​เถอะ​”

ซุน​เสวียน​จีปลด​ถุงหอม​ที่​ห้อย​อยู่​กับ​เอว​แล้ว​เปิด​ออก​ จากนั้น​ก็​เท​ลงมา​เบา​ๆ

‘พลั่ก​!’

ขา​สอง​ข้าง​หล่น​ลงมา​

สวี่​ชีอัน​มอง​พินิจ​ดู​ขา​สอง​ข้าง​ที่​มีกล้ามเนื้อ​เรียบ​เนียน​นั่น​ จากนั้น​ก็​หันไป​มอง​ฝูเซียง​

“ไม่มีวิญญาณ​อยู่​?”

เขา​ไม่อาจ​สัมผัส​ได้​ถึงความผันผวน​ของ​จิต​เดิม​ใน​ท่อ​นขา​นี้​ได้​เลย​

เย่​จีอธิบาย​

“ผนึก​ไว้​ห้า​ร้อย​ปี​ ไต้​ซือ​กำลัง​หลับใหล​ จึงจำเป็นต้อง​ใช้แก่น​โลหิต​มาปลุก​เขา​ ไม่มาก​หรอก​ แค่​หนึ่ง​หยด​ก็​เพียงพอ​ แต่​ไม่จำเป็นต้อง​เป็น​แก่น​โลหิต​ของ​สวี่​หลา​ง ใช้ของ​ข้า​ก็ได้​”

ซุน​เสวียน​จีกวาดตา​มอง​ถ้ำหิน​ แล้ว​มองหา​แผ่น​กระดาษ​ น้ำหมึก​ และ​พู่กัน​ด้วย​ตนเอง​ จากนั้น​ก็​เขียน​ออกมา​ว่า​

“มีลำตัว​ แขน​สอง​ข้าง​ และ​ขา​สอง​ข้าง​แล้ว​ แต่​ศีรษะ​ล่ะ​?”

“ศีรษะ​น่าจะ​อยู่​ที่​อรัญ​ตา​ ซึ่งมีพระพุทธเจ้า​เป็น​ผู้เฝ้าดู​อยู่​” สวี่​ชีอัน​นึกถึง​คำพูด​ของ​แขน​ของ​ซ้าย​ที่​ชั่วร้าย​ภายใน​เจดีย์​พุทธะ​

ไต้​ซือเสิน​ซูใน​ตอนนี้​เป็น​สิงเทียน​[1]ตัวจริง​เสียง​จริง​แล้ว​ อืม​ ต้องหา​ขวาน​ให้​เขา​สัก​ด้าม​แล้ว​สิ…เขา​คิด​อยู่​ใน​ใจ

“สวี่​หลา​ง ตอนนี้​ยัง​ไม่รู้​ว่า​จิต​เดิม​ที่อยู่​ใน​ชิ้นส่วน​ร่างกาย​นี้​เป็น​ด้าน​ดี​หรือ​ร้าย​ เช่นนั้น​ข้า​ขอ​รายงาน​ให้​นาย​หญิง​ทราบ​ก่อน​นะ​เจ้าคะ​”

ฝูเซียง​ยังคง​ทำ​สิ่งใด​ได้​รอบคอบ​ระมัดระวัง​ดี​ยิ่ง​…สวี่​ชีอัน​ตอบรับ​ ‘อืม​’

เย่​จีรีบ​หยิบ​ธูป​หอม​ทรง​จิ้งจอก​ออกมา​ทันที​ จากนั้น​จุด​ธูป​สีดำ​แล้ว​รอ​ให้​ควัน​เขียว​ลอย​ขึ้น​มา ก่อน​จะสูดดม​เข้า​จมูก​เต็มแรง​

พัก​หนึ่ง​ เจตจำนง​อัน​แข็งแกร่ง​ก็​ฟื้น​ตื่นขึ้น​ใน​ร่างกาย​ของ​นาง​ ตา​ซ้าย​เกิด​แสงสีใสเป็น​ทรง​หมอก​ควัน​ขึ้น​มา

จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​ไม่พูด​อะไร​ แต่​ใช้สายตา​มอง​จ้อง​ขา​ทั้งสอง​ที่​วาง​อยู่​บน​โต๊ะ​

……………………………………

[1] 刑天 สิงเทียน​ เทพ​ที่​มีแต่​ตัว​ไร้​หัว​จาก​ตำนาน​เทพ​จีน​โบราณ​ ใน​ระหว่าง​ศึก​ชิงตำแหน่ง​เทพ​ สิงเทียน​รบ​แพ้​จึงถูก​ตัดหัว​แล้ว​นำ​ไป​ฝัง เขา​จึงใช้หัวนม​เป็น​ตา​ ใช้สะดือ​เป็น​ปาก​ มือหนึ่ง​ถือ​ขวา​นยักษ์​ อีก​มือหนึ่ง​ถือ​โล่​ และ​หมาย​จะรบ​กับ​จักรพรรดิ​หวง​ตี้​ต่อ​

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท