บทที่ 683 การบำเพ็ญคู่ต้องใช้ความรู้สึกของพิธีกรรม

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

เมื่อ​หันหน้า​ไป​ สวี่​ชีอัน​ก็​เห็น​ ‘สัตว์ประหลาด​’ เนื้อตัว​ปกคลุม​ไป​ด้วย​รอย​แผลเป็น​ ค่อยๆ​ เคลื่อน​ร่างกาย​ใหญ่​มหึมา​ปาน​ภูเขา​คืบคลาน​เข้าไป​ใน​รอยแยก​หุบเขา​ที่​ลึกล้ำ​ไร้​ก้นบึ้ง​ไกล​สุดลูกหูลูกตา​

โครงสร้าง​ร่างกาย​ของ​สัตว์ประหลาด​ตัว​นี้​น่ากลัว​มาก​ เส้นเอ็น​ของ​มัน​ปูด​โปน​ออกมา​ กล้ามเนื้อ​ของ​มัน​พอง​ขึ้น​ทีละ​ส่วน​ราวกับ​กอปร​ขึ้น​มาจาก​กอง​ภูเขา​กล้ามเนื้อ​

‘ภูเขา​’ ที่​กอปร​ขึ้น​มาจาก​กล้ามเนื้อ​ มีโพรง​อากาศ​เรียงราย​เป็นแถว​ พ่น​ควัน​สีเขียว​เข้ม​ออกมา​ ลอย​อ้อยอิ่ง​อยู่​บน​ท้องฟ้า​แล้ว​ก่อตัว​เป็น​เมฆสีเขียว​เข้ม​

เงาหนา​ทึบ​เหนียวเหนอะ​ไหล​ออก​มาจาก​ตีนเขา​

เทพเจ้า​กู่​!

ครั้งสุดท้าย​เขา​เห็น​เทพเจ้า​กู่​อยู่​ใน​ความฝัน​อัน​ง่วงงุน​หลังจาก​เข้านอน​กับ​ราชครู​

เมื่อ​เทียบ​กับ​ช่วงเวลา​นั้น​ ใน​ตอนนี้​กลิ่นอาย​ของ​เทพเจ้า​กู่​อ่อนแอ​ลง​มาก​ ร่างกาย​ใหญ่โต​เป็น​เหมือน​กอง​เนื้อที่​ปกคลุม​ไป​ด้วย​รอย​แผลเป็น​ สิ่งมีชีวิต​ใด​ที่อยู่​รอบตัว​ก็​ล้วน​ตายซาก​แห้งเหี่ยว​ไร้​ชีวิตชีวา​คล้าย​ดัง​รอบตัว​ห้อมล้อม​ไป​ด้วย​กอง​ซากศพ​

แม้ว่า​นี่​จะเป็น​เพียง​ความฝัน​ แต่​สวี่​ชีอัน​ก็​รู้สึก​ได้​ถึงความอ่อนแอ​ของ​เทพเจ้า​กู่​

เมื่อ​เทพเจ้า​กู่​เข้าสู่​เหว​ลึก​จี๋เยวียน​ ภาพ​ตรงหน้า​ก็​แตกสลาย​ สวี่​ชีอัน​ลืมตา​ขึ้น​ใน​ห้อง​ที่​มืดมิด​และ​รู้สึก​ว่า​มีอะไร​บางสิ่งบางอย่าง​กัด​แขน​เขา​อยู่​

เมื่อ​หันหน้า​ไป​มอง​ ก็​เห็น​สวี่ห​ลิง​อิน​กำลัง​แทะ​แขน​เขา​อยู่​ แทะ​ทั้งๆ ที่​ยัง​หลับ​ เห็น​นาง​ขมวดคิ้ว​เล็กน้อย​ ราวกับ​นาง​สงสัย​ว่า​ทำไม​ถึงแทะ​คา​กิ​ไม่เข้า​

สุด​จะทน​จริงๆ​ ข้า​มีน้องสาว​ที่​โง่เง่าและ​ตะกละตะกลาม​อย่าง​เจ้าได้​อย่างไร​…สวี่​ชีอัน​ดึง​แขน​ตัวเอง​ออก​และ​บีบ​จมูก​เล็ก​ๆ ของ​สวี่ห​ลิง​อิน​ สิบ​วินาที​ต่อมา​ นาง​ก็​ขยี้ตา​และ​งัวเงีย​ตื่นขึ้น​อย่าง​งุนงง​

“เจ้าหิว​หรือไม่​”

สวี่​ชีอัน​ถาม

“หม้อ​เบ้อเริ่ม​เลย​ ข้า​ฝัน​ถึงของกิน​อร่อย​ๆ เต็มไปหมด​”

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​เต้น​เร่า​ๆ สะบัด​แขน​สะบัด​ขา​และ​พูด​น้ำเสียง​เกิน​จริง​

แล้วก็​เปลี่ยนเป็น​เสียง​ละห้อย​ทันที​ “แต่​ข้า​แทะ​ไม่เข้า​”

ถ้าเจ้าเชี่ยวชาญ​พลัง​เทพ​วชิระ​สมัย​มหายาน​ เจ้าสามารถ​ลง​ไป​ที่​เหว​ลึก​จี๋เยวียน​เพื่อ​กิน​เทพเจ้า​กู่​ได้​…สวี่​ชีอัน​ชี้ไป​ยัง​รอย​กัด​เล็ก​ๆ ที่อยู่​บน​มือขวา​นาง​

“ดู​สิ เจ้าแทะ​มือ​ตัวเอง​ด้วย​”

ยังมี​รอย​ฟัน​จางๆ อยู่​บน​มือขวา​ของ​นาง​แต่​น้ำลาย​ระเหย​ไป​หมด​แล้ว​ สวี่​ชีอัน​คิด​ว่า​ต้อง​เจ็บ​บ้าง​ตอน​แทะ​มือ​ตัวเอง​ ด้วย​สัญชาตญาณ​นาง​เลย​ไม่ได้​แทะ​แรง​

เมื่อ​แทะ​แล้ว​ สวี่ห​ลิง​อิน​ก็​พยายาม​ดูด​ด้วย​

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​มอง​ไป​ที่​มือขวา​ของ​นาง​ มีรอย​กัด​อยู่​จริงๆ​ นาง​ผงะ​เล็กน้อย​ ดวงตา​เบิก​กว้าง​ทำท่า​เหลือเชื่อ​

“ใคร​อยาก​กินมือ​ข้า​”

“เป็น​ลี่​น่า​!” สวี่​ชีอัน​บอก​

พอ​เสี่ยว​โต้​ว​ติง​ได้ยิน​เรื่อง​นี้​ นาง​ก็​ตื่นตัว​ทันที​ เงียบ​ไป​ชั่วขณะ​แล้ว​พูด​เสียงดัง​

“นาง​ตะกละ​อยาก​กินเนื้อที่​ข้า​กิน​ไป​เมื่อคืน​แน่​”

สวี่​ชีอัน​ใช้เวลา​หลาย​วินาที​เพื่อ​ทำความเข้าใจ​ว่า​นาง​หมายถึง​อะไร​

ลี่​น่า​ต้อง​การขโมย​เนื้อที่​นาง​กิน​ไป​เมื่อคืน​ด้วย​การ​กิน​นาง​กลับ​

“ข้า​เพิ่ง​เอาชนะ​นาง​มา” สวี่​ชีอัน​พูด​ปลอบ​

“ขอบคุณ​หม้อ​ใหญ่​…”

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​รู้สึก​โล่งใจ​ หาก​ท่าน​อาจารย์​ต้องการ​กิน​นาง​ นาง​ก็​ไม่มีทางเลือก​อื่น​นอกจาก​ต้อง​ยอมตาม​ เพราะ​ท่าน​อาจารย์​แข็งแกร่ง​กว่า​นาง​

สวี่ห​ลิง​อิน​เพิ่ง​เลื่อน​ระดับ​จึงมีความอยาก​อาหาร​มาก​ นาง​เลย​รู้สึก​หิว​ แต่​เนื่องจาก​นาง​ง่วง​มากเกินไป​ นาง​จึงไม่สามารถ​ตื่น​มานั่ง​หิว​ได้​ นาง​เลย​มีพฤติกรรม​แทะ​ ‘คา​กิ’​ ตอน​นอนหลับ​

สวี่​ชีอัน​ออก​ไป​เจอ​น่อง​ของ​ตัว​อะไร​ไม่รู้​ใน​ครัว​ จึงเอา​มาหั่น​แล้ว​ทอด​เป็น​อาหาร​จาน​เนื้อ​ให้​สวี่ห​ลิง​อิน​

ใน​ห้อง​ที่​มีแสงเทียน​สลัว​ๆ ที่​โต๊ะ​ เขา​มอง​ไป​ยัง​เด็กหญิง​ตัวเล็ก​ๆ ที่​มีคราบ​มัน​เต็มปาก​ แต่​จิตใจ​ของ​เขา​กลับ​ล่องลอย​ไป​ที่อื่น​

เทพ​มาร​เคย​ครอบงำ​ทั้ง​สวรรค์​และ​พิภพ​แต่​จวบจน​วันนี้​ไม่มีใคร​บอก​ได้​ว่า​เทพ​มาร​น่ากลัว​เพียงใด​

แต่​ด้วย​พลัง​ลูกหลาน​เทพ​มาร​ เพียงแค่​มอง​เสือดาว​จาก​ท่อ​ไม้ไผ่​ก็​สามารถ​เข้าใจ​อะไร​ได้​สัก​อย่าง​สอง​อย่าง​แล้ว​

คน​เถื่อน​และ​จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​ที่​ครอบครอง​ภาคเหนือ​ใน​ตอนนี้​ ตลอดจน​สัตว์​วิญญาณ​ทรงพลัง​บาง​ตัว​บน​แผ่นดินใหญ่​จิ่ว​โจว​และ​สัตว์​วิญญาณ​โพ้น​ทะ​เลก็ล้วน​เป็น​ลูกหลาน​ของ​เทพ​มาร​ทั้งสิ้น​

จากนี้​ก็​สามารถ​คาดเดา​ได้​ว่า​เทพ​มาร​ใน​สมัยโบราณ​มีพลัง​มาก​พอที่จะ​ทำให้​ผู้คน​สั่นสะท้าน​อย่าง​แน่นอน​

ลูกหลาน​เผ่าพันธุ์​ผู้​บำเพ็ญพรต​รุ่น​ต่อ​ๆ มาโต้เถียง​กัน​ไม่รู้​จบเรื่อง​เหตุผล​ที่​เทพ​มาร​ถึงกาล​อวสาน​

แนวคิด​กระแส​หลัก​ที่​แพร่หลาย​ที่สุด​คือ​กำเนิด​ของ​เผ่าพันธุ์​มนุษย์​และ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​มีชัย​เหนือ​เทพ​มาร​ที่​ปกครอง​ทวีป​โบราณ​และ​เข้า​ครอบงำ​สัตว์โลก​

หลังจาก​เทพ​มาร​สิ้นชีพ​ ลูกหลาน​ของ​พวก​มัน​ก็​เข้า​ต่อสู้​กับ​ปีศาจ​ยาวนาน​หลาย​พันปี​และ​ในที่สุด​ก็​ถูก​กำจัด​ออก​ไป​

“ใน​ภาพ​ที่​ข้า​เห็น​ ไม่มีมนุษย์​ ไม่มีเผ่าพันธุ์​ปีศาจ​…”

“ถ้าไม่เกิดเหตุ​ไม่คาดฝัน​ขึ้นกับ​รูปภาพ​เหล่านี้​ เจ็ด​ยอด​กู่​ก็​ควร​ ‘ส่ง’ รูป​มาให้​ข้า​ ส่วนใหญ่​เจ็ด​ยอด​กู่​จะเป็น​วิธีการ​ช่วย​ให้​เทพเจ้า​กู่​หลุดพ้น​จาก​ผนึก​ หรือ​อีกนัยหนึ่ง​ รูปภาพ​เหล่านี้​อาจ​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ใน​ความทรงจำ​ของ​เทพเจ้า​กู

“ถ้าไม่ใช่มนุษย์​ แล้ว​สิ่งมีชีวิต​ชนิด​ใด​ที่​สามารถ​ฆ่าเทพ​มาร​ได้​? เทพเจ้า​กู่​รอด​มาได้​อย่างไร​ ดูเหมือน​ใจเขา​จะเต้น​แรง​จน​แทบ​สำลัก​”

สวี่​ชีอัน​นึกถึง​ ‘ผู้เฝ้าประตู​’

เขา​เฝ้าประตู​แบบ​ไหน​? ไม่สิ ‘ประตู​’ น่าจะ​หมายถึง​อย่าง​อื่น​

“ไป๋​ตี้​ไม่ได้​ถามเรื่อง​การ​ล่มสลาย​ของ​เทพเจ้า​กู่​และ​เทพ​มาร​ ซึ่งหมายความว่า​เขา​รู้​ความจริง​อยู่แล้ว​ ว่า​ผู้เฝ้าประตู​สังหาร​เทพ​มาร​ ทำไม​เขา​จึงถามเรื่อง​อื่น​อีก​?

“เทพเจ้า​กู่​บอ​กว่า​ เดิมที​เขา​คิด​ว่า​ผู้เฝ้าประตู​เป็น​ปราชญ์​ศักดิ์สิทธิ์​ขงจื๊อ​ แต่​ปราชญ์​ศักดิ์สิทธิ์​ขงจื๊อ​เป็น​คน​เมื่อ​พัน​ปีก่อน​ จาก​เรื่อง​นี้​จะเห็น​ได้​ว่า​ผู้เฝ้าประตู​ไม่น่า​เป็น​ฆาตกร​ที่​เข่นฆ่า​เทพ​มาร​ ทั้ง​ยัง​มีเหตุผล​อื่น​อีก​ที่​ทำให้​เทพ​มาร​ตาย​

“ไป๋​ตี้​ถามก่อน​เลย​ว่า​ปรมาจารย์​เต๋า​อยู่​ที่ไหน​ เพราะ​รู้​ว่า​ปรมาจารย์​เต๋า​อาจ​ถูกโค่น​ จึงถามว่า​ใคร​เป็น​ผู้เฝ้าประตู​ นี่​หมายความว่า​ไป๋​ตี้​สงสัย​ว่า​ปรมาจารย์​เต๋า​เป็น​ผู้เฝ้าประตู​มิใช่หรือ​?

“เมื่อ​มหาศักราช​สิ้นสุดลง​ จะขาด​เขา​ไป​มิได้​ หึ​ นี่​อาจ​เป็น​เหตุผล​ว่า​ทำไม​ปราชญ์​ศักดิ์สิทธิ์​ขงจื๊อ​จึงปิดผนึก​ระดับ​สุดยอด​ทั้งหมด​ไว้​”

ด้วย​เหตุผล​เชิงตรรกะ​ที่​ระมัดระวัง​ยิ่ง​ เขา​ย่อม​ได้​ข้อสรุป​ที่​เป็นประโยชน์​

“อ่า​ แต่​เว่ยกง​เคย​กล่าว​ไว้​ใน​จดหมาย​ลาตาย​ของ​เขา​ว่า​ โลก​นี้​โหดร้าย​กว่า​ที่​เขา​คิด​ไว้​มาก​ เขา​รู้​ความลับ​หรือ​เป็น​แค่​การ​คาดเดา​? ถ้าเป็น​เช่นนั้น​ สถานการณ์​ของ​เว่ยกง​ก็​มิได้​จำกัด​อยู่​แต่​ใน​ราชสำนัก​อีกต่อไป​”

ในเวลานี้​ สวี่ห​ลิง​อิน​เลีย​จาน​กระเบื้อง​ด้วย​ความตั้งใจ​ที่​ไม่ค่อย​อภิรมย์​เท่าไหร่​และ​พูดว่า​

“ข้า​อิ่ม​แล้ว​”

สติสัมปชัญญะ​ของ​สวี่​ชีอัน​กลับมา​อยู่​กับ​เนื้อ​กับ​ตัว​แล้ว​จ้อง​มองดู​จาน​ที่​แทบ​ไม่ต้อง​ล้าง​

“อิ่ม​จริง​หรือ​?”

“ถ้ามีอีก​จาน​ก็​คง​ดี​”

สวี่ห​ลิง​อิน​ได้คืบจะเอาศอก​

“พอแล้ว​ ตอนกลางคืน​อย่า​กิน​เยอะ​”

สวี่​ชีอัน​อุ้ม​นาง​ขึ้น​และ​โยน​ลง​บน​เตียง​ “ไป​นอน​เถอะ​”

“แต่​ถ้าข้า​กิน​ไม่อิ่ม​ ข้า​นอนไม่หลับ​”

เสี่ยว​โต้​ว​ติง​ดิ้นรน​ต่อสู้​อย่าง​หนัก​และ​อีก​ไม่กี่​นาที​ต่อมา​…

“ค​ร่อ​ก​ ค​ร่อ​ก.​..”

นาง​ก็​หลับ​เป็น​ตาย​

สวี่​ชีอัน​ผสาน​ตัว​เข้ากับ​เงามืด​และ​ออกจาก​ลานบ้าน​ของ​ท่าน​หัวหน้า​เผ่า​

การ​นอน​เป็น​ความเพลิดเพลิน​อย่างหนึ่ง​สำหรับ​เขา​ แต่​ไม่ใช่สิ่งที่​เขา​ต้องการ​ ปริมาณ​ข้อมูล​ที่​ได้รับ​ใน​วันนี้​มีมากเกินไป​ทำให้​เขา​หมดอารมณ์​ที่จะ​นอน​

หลังจาก​เดิน​ไป​รอบ​ๆ ภูเขา​ป๋อ​ เขา​ก็​พบ​สระน้ำ​ใสแจ๋ว​แห่ง​หนึ่ง​

จึงตัดสินใจ​ไป​อาบน้ำ​และ​ซักผ้า​ข้างทาง​

วันนี้​ทั้ง​ต่อสู้​กับ​หัวหน้า​เผ่าพันธุ์​กู่​และ​ไป​ที่​เหว​ลึก​จี๋เยวียน​อี​กรอบ​เนื้อตัว​ย่อม​ไม่สะอาด​

“ตั้งแต่​ก้าว​เท้า​เข้าไป​ใน​แม่น้ำ​และ​ทะเลสาบ​ แนวคิด​เรื่อง​สุขอนามัย​ของ​ข้า​ก็​ย่ำแย่​ลง​เรื่อยๆ​ ข้า​มักจะ​เข้านอน​โดย​ไม่อาบน้ำ​ไม่แปรงฟัน​…”

แม้ว่า​สุขอนามัย​จะไม่ใช่เรื่องสำคัญ​สำหรับ​ผู้​แข็งแกร่ง​เหนือ​มนุษย์​

‘จ๋อ​ม…’

เขา​ถอดเสื้อผ้า​และ​โดด​ลง​ไป​ใน​น้ำ​เย็นฉ่ำ​ชื่นใจ​สบาย​เนื้อ​สบาย​ตัว​

น้ำ​ใน​สระ​ลึก​แค่​เอว​ของ​เขา​เท่านั้น​ เมื่อ​ยืน​อยู่​ใน​สระ​น้ำเย็น​ๆ กล้ามเนื้อ​ร่างกาย​ส่วน​บน​ก็​กระชับ​ได้สัดส่วน​และ​สวยงาม​ เส้นสาย​เรียบ​ลื่น​เปี่ยม​ไป​ด้วย​พละกำลัง​ ไม่เหมือน​กล้ามเนื้อ​ตายซาก​น่า​เหลือเชื่อ​พวก​นั้น​

ประกอบ​กับ​ใบหน้า​หล่อเหลา​สมเป็น​ชาย​ แม้จะหมอง​คล้ำ​ไร้​รัศมี​ แต่​ก็​ยัง​เป็น​เรือนร่าง​ที่​เย้ายวนใจ​สำหรับ​อิสตรี​

“จุ๊ จุ๊! ทันทีที่​ข้า​เห็น​ร่าง​ของ​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ ข้า​ก็​หิว​จน​เดิน​ไม่ไหว​”

เสียงหัวเราะ​มีเสน่ห์​ดัง​มาจาก​ริมฝั่ง​

ภายใต้​แสงจันทร์​ สตรี​รูปร่าง​สูงสง่ายืน​อยู่​ริมฝั่ง​ สวม​เสื้อ​เกาะ​อก​สีขาว​ กางเกงขายาว​สีขาว​และ​ชุด​กระโปรง​บาน​

ท่อ​นขา​ของ​นาง​เรียว​กระชับ​ เอว​เล็ก​รับ​กับ​เสื้อ​ตัว​ใน​ หน้าอก​อวบ​อิ่ม​เด่นชัด​และ​ใบหน้า​ของ​นาง​ก็​มีเสน่ห์​ชวนมอง​

“เจ้ามาทำ​อะไร​ที่นี่​?”

สวี่​ชีอัน​พูด​ด้วย​ความไม่พอใจ​ “แม้ข้า​สัญญาว่า​จะอยู่​กับ​เจ้าเป็นเวลา​สามเดือน​ แต่​ตอนนี้​ยัง​ไม่ใช่เวลา​นั้น​”

หลวนอวี้​ปิดปาก​และ​แย้มยิ้ม​เล็กน้อย​ ยก​มือขึ้น​แตะ​ไหล่​ที่​มีกลิ่นหอม​จรุง​ของ​นาง​และ​ชุด​กระโปรง​ก็​เลื่อน​หลุด​ออก​ นาง​ค่อยๆ​ เดิน​เข้าไป​ใน​สระ​ น้ำเย็น​ๆ ใน​สระ​ไหล​อาบ​ขา​เรียว​ยาว​และ​เอว​เล็ก​ๆ ของ​นาง​…

นาง​เดิน​ไปหา​สวี่​ชีอัน​และ​ขยิบตา​ให้​

“ช่วง​กลางวัน​ ข้า​ซึมซับ​พิษ​เสน่หา​ของ​นัง​ฉุน​เยียน​ไว้​ พิษ​เสน่หา​ที่​สะสมไว้​ทำให้​ข้า​รู้สึก​คัน​ที่​หัวใจ​เล็กน้อย​ ดังนั้น​ข้า​จึงคิดถึง​ฆ้อง​เงิน​สวี่​มาก​เป็นพิเศษ​”

แน่ใจ​หรือว่า​คัน​ที่​หัวใจ​…สวี่​ชีอัน​พูด​เสียง​เย็นชา​ “เจ้ากลับ​ไป​เถอะ​”

หลวนอวี้​เม้มริมฝีปาก​สีแดง​ของ​นาง​พลาง​เอ่ย​วาจา​ฉุนเฉียว​ “พวก​ท่าน​ชอบ​พูด​ปาก​อย่างใจ​อย่าง​ ถ้าไม่ใช่เพื่อ​พบปะ​เป็นการ​ส่วนตัว​กับ​ข้า​ ท่าน​มาทำ​อะไร​ที่นี่​ อย่า​บอก​นะ​ว่า​ท่าน​ไม่รู้​ว่า​ข้า​สะกดรอย​ตามมา​”

สวี่​ชีอัน​ถอนหายใจ​ “ข้า​ไม่ได้มา​ที่นี่​เพื่อ​พบ​เจ้าเป็นการ​ส่วนตัว​ แต่​เป็น​คนอื่น​”

หลวนอวี้​เปลี่ยน​สีหน้า​เล็กน้อย​ “นัง​ตัวแสบ​ฉุน​เยียน​นั่น​น่ะ​หรือ​?”

สวี่​ชีอัน​ส่าย​หัว​ “มอง​ไป​ข้างหลัง​!”

หลวนอวี้​มอง​กลับ​ไป​ด้วย​ความสงสัย​ ภายใต้​แสงจันทร์​ บน​ฝั่งริม​สระน้ำ​ มีสตรี​สวม​ชุด​ขนนก​นาง​หนึ่ง​ยืน​อยู่​ที่นั่น​ นาง​สวมมงกุฎ​ดอกบัว​ไว้​บน​หัว​ สะพาย​ดาบ​โบราณ​ไว้​กลาง​หลัง​และ​ถือ​ไม้ปัดฝุ่น​ไว้​ที่​ข้อพับ​แขนขวา​ของ​นาง​

ใบหน้า​ของ​นาง​มีลักษณะ​สวยงาม​อย่างยิ่ง​และ​นาง​ก็​โด่งดัง​ไป​ทั่วประเทศ​ มีชาด​เล็ก​ๆ แต้ม​อยู่​ตรงกลาง​หว่าง​คิ้ว​ของ​นาง​ ทำให้​บรรยากาศ​รอบข้าง​เย็นสบาย​และ​งดงาม​

ลมกระโชก​แรง​ยามค่ำคืน​พัดผ่าน​มา ขนนก​ปลิว​ว่อน​ ราวกับว่า​พวก​มัน​จะใช้ประโยชน์​จาก​ความว่างเปล่า​เพื่อ​ทะยาน​ขึ้นไป​ได้​ทุกเมื่อ​

คน​ผู้​นี้​สามารถ​บุกรุก​เข้ามา​ภายใน​รัศมี​ห้า​จั้งของ​นาง​อย่าง​เงียบเชียบ​ หลวนอวี้​เลิกคิ้ว​ขึ้น​และ​ตะโกน​

“เจ้าเป็น​ใคร​!”

มีความกลัว​แฝงอยู่​ใน​ดวงตา​ของ​นาง​ แต่​นาง​มั่นใจ​พอ​เพราะ​มีสวี่​ชีอัน​อยู่​ข้างๆ​

รอยยิ้ม​ของ​ลั่วอวี้เหิง​เย็น​จัด​ดั่ง​แอ่งน้ำ​และ​ดวงตา​ของ​นาง​ยิ่ง​แจ่มชัด​

“คน​ที่​ต้อง​การสังหาร​เจ้า!”

ใน​ชั่วพริบตา​ โลก​ทั้ง​ใบ​ก็​เต็มไปด้วย​ปราณ​กระบี่​ ฟาดฟัน​ไป​ทาง​หลวนอวี้​จาก​ทั่ว​ทุกทิศทาง​

‘กริ๊ง​ กริ๊ง​ กริ๊ง​…’

ปราณ​กระบี่​เบาบาง​ราวกับ​ขน​วัว​ แต่​หนาแน่น​ดัง​ห่า​ฝน​ ถูก​ปิดกั้น​ด้วย​ชั้น​แสงสีทอง​

สวี่​ชีอัน​เปิดม่าน​ปราณ​พลัง​เทพ​วชิระ​สกัดกั้น​ความโกรธ​ของ​ลั่วอวี้เหิง​ ทำให้​หลวนอวี้​รอดพ้น​วิกฤต​ที่จะ​ถูก​ศร​นับ​พัน​ดอก​แทง​ทะลุ​ร่าง​

“ท่าน​ราชครู​ นาง​เป็น​หัวหน้า​เผ่า​ฉิงกู่​แห่ง​เผ่าพันธุ์​กู่​และ​เป็น​พันธมิตร​ของ​ราชวงศ์​ต้าฟ่ง​ ดังนั้น​โปรด​เมตตา​”

สวี่​ชีอัน​รีบ​บอก​

จากนั้น​เขา​ก็​หันไป​อธิบาย​ให้​หลวนอวี้​ฟัง “นาง​เป็น​ราชครู​ของ​ราชวงศ์​ต้าฟ่ง​และ​ยัง​เป็น​สหาย​คู่​บำเพ็ญ​ของ​ข้า​ด้วย​”

ลั่วอวี้เหิง​ชำเลือง​มอง​เขา​เล็กน้อย​คล้าย​ดูแคลน​ แต่​ดูดซับ​ปราณ​กระบี่​จาก​ทั่ว​ฟ้า

“ไป​ก่อน​เถอะ​!”

เขา​ผลัก​หลวนอวี้​ ผลัก​นาง​ออกจาก​สระ​และ​ลอย​ไป​ไกล​

ลั่วอวี้เหิง​ไม่ได้​ห้าม​เขา​

หลังจาก​ไล่​ไฟฟ้าแรงสูง​ออก​ไป​แล้ว​ สวี่​ชีอัน​ก็​หัวเราะ​และ​พูดว่า​ “ตอนนี้​ข้า​มาทำ​ธุระ​อยู่​ที่​ชายแดน​ตอน​ใต้​ ค่อนข้าง​ห่างไกล​จาก​ราชวงศ์​ต้าฟ่ง​ จึงไม่ได้​ติดต่อ​ท่าน​ราชครู​มาระยะ​หนึ่ง​แล้ว​”

ลั่วอวี้เหิง​ยังคง​ไม่แสดงท่าที​อะไร​ “ข้า​ไป​ชิงโจว​เพื่อ​ตามหา​ซุน​เสวียน​จีและ​เขา​บอก​ข้า​ว่า​เจ้าอยู่​ทาง​ชายแดน​ตอน​ใต้​”

หลังจาก​มาถึงชายแดน​ตอน​ใต้​ก็ตาม​ความรู้สึก​ของ​ยันต์​คุ้ม​กา​ยา​ตลอดทาง​จน​มาพบกัน​ที่นี่​

สวี่​ชีอัน​จ้องมอง​นาง​เป็นเวลา​นาน​และ​พูดว่า​ “ท่าน​ราชครู​สามารถ​ดับไฟ​แห่ง​กรรม​ได้​แล้ว​หรือ​?”

ลั่วอวี้เหิง​พยักหน้า​ “ไฟแห่ง​กรรม​อ่อน​ลง​เล็กน้อย​เมื่อ​เทียบ​กับ​เดือน​ที่แล้ว​”

ดังนั้น​จึงกำราบ​ไว้​จน​สามารถ​มาถึงที่นี่​ตอนนี้​สินะ​? สวี่​ชีอัน​รีบ​แสดงความยินดี​ “ขอแสดงความยินดี​ ท่าน​ราชครู​เข้าใกล้​เซียน​ครอง​พิภพ​ไป​อีก​ก้าว​หนึ่ง​แล้ว​”

อันดับ​หนึ่ง​ของ​ลัทธิ​เต๋า​เรียก​ว่า​เซียน​ครอง​พิภพ​

จากนั้น​ลั่วอวี้เหิง​ก็​ยิ้ม​เล็กน้อย​ ทันใดนั้น​บัว​หิมะ​ก็​สว่าง​ขึ้น​

นาง​มอง​ไป​รอบ​ๆ และ​ขมวดคิ้ว​เล็กน้อย​

“ใน​ดินแดน​อนารยชน​ทาง​ชายแดน​ตอน​ใต้​ ข้า​หา​โรงเตี๊ยม​ไม่ได้​เลย​ ข้า​จะพา​เจ้ากลับ​ไป​ยัง​ที่ราบลุ่ม​ภาค​กลาง​”

การ​บำเพ็ญ​คู่​ต้อง​ใช้ความรู้สึก​ของ​พิธีกรรม​ด้วย​รึ​? สวี่​ชีอัน​มอง​ไป​รอบ​ๆ แล้ว​พูด​ไป​ยิ้ม​ไป​ “ที่นี่​ดีมาก​ ไม่มีใคร​อยู่​ ไม่มีใคร​มารบกวน​ท่าน​หรอก​”

ใบหน้า​งดงาม​ของ​ลั่วอวี้เหิง​จ้องมอง​เขา​อย่าง​เย็นชา​คล้าย​เคลือบ​ทา​ด้วย​น้ำแข็ง​

สวี่​ชีอัน​เดิน​ไป​ที่​ริมฝั่ง​และ​ดึง​แขน​เสื้อ​กว้าง​ของ​นาง​

ลั่วอวี้เหิง​ทำ​สีหน้า​เย็นชา​ดึง​แขน​เสื้อ​กลับ​และ​ไม่พูด​สิ่งใด​

สวี่​ชีอัน​ดึง​กลับมา​ทว่า​ลั่วอวี้เหิง​ก็​ดึง​กลับ​ไป​

หลังจาก​พัวพัน​กัน​อยู่​ครู่หนึ่ง​ ลั่วอวี้เหิง​ก็​นิ่วหน้า​แล้ว​ถูกลาก​ลง​ไป​ใน​น้ำ​

อำเภอ​ซงซาน​

ด้านบน​กำแพงเมือง​ สวี่​ซินเหนียน​สวม​เครื่องแบบ​ทหาร​ถือ​คบเพลิง​ไว้​ใน​มือ​ เดิน​ไป​บน​เส้นทาง​ม้าที่​เต็มไปด้วย​รอยร้าว​และ​หลุม​บ่อ​ นับ​อาวุธ​ป้องกัน​ทีละ​ชิ้น​

กองทหาร​รักษาการณ์​สอง​สามกลุ่ม​รวมตัวกัน​อยู่​บน​กำแพงเมือง​ กำลัง​ยุ่ง​อยู่​กับ​การซ่อมแซม​กำแพงเมือง​ที่​ทรุดโทรม​

อำเภอ​ซงซาน​อยู่​ติดกับ​ยอดเขา​อันต​รายทาง​ตอน​ใต้​ ภูมิประเทศ​บริเวณ​นั้น​สูงมาก​และ​กำแพงเมือง​ยัง​สูงตระหง่าน​ใหญ่​กว่า​เมือง​ใน​มณฑล​ทั่วๆ ไป​ แม่น้ำ​ซงที่อยู่​ทาง​ทิศตะวันตก​เป็น​ป้อมปราการ​ธรรมชาติ​ที่​สามารถ​ปิดกั้น​การ​ชุมนุม​ขนาดใหญ่​ของ​กองทัพ​ข้าศึก​ศัตรู​ได้​

ดังนั้น​ประตูเมือง​ที่​ต้อง​รักษา​อย่าง​เคร่งครัด​จึงเป็น​ประตู​ทิศตะวันออก​และ​ประตู​ทิศเหนือ​

นี่​คือ​ข้อได้เปรียบ​ทาง​ภูมิศาสตร์​ตาม​ธรรมชาติ​ของ​อำเภอ​ซงซาน​ นอกจากนี้​อำเภอ​ซงซาน​ยัง​พัฒนา​การค้า​ใน​พื้นที่​ที่​ครอบคลุม​การขนส่ง​ทางน้ำ​ ทั้ง​ยังมี​ดินแดน​ที่​อุดมสมบูรณ์​ควบคู่​ไป​กับ​เงินตรา​อาหาร​และ​ธัญพืช​สำรอง​เต็ม​คลัง​

เหตุผล​ข้างต้น​ทำให้​เมือง​นี้​เป็นหนึ่ง​ใน​สามเมือง​ที่​สำคัญ​ที่สุด​ใน​แนว​ป้องกัน​ปราการ​ที่สอง​ของ​หยาง​กง​

สวี่เอ้อร์​หลา​งได้รับ​ความไว้วางใจ​จาก​หยาง​กง​ให้​ทำ​ภารกิจ​สำคัญ​ใน​การปกป้อง​เขต​อำเภอ​ซงซาน​

“เมือง​อยู่​คน​อยู่​ เมือง​ตาย​คน​ก็​ตาย​”

นั่น​คือ​สิ่งที่​เขา​ตอบ​ในเวลานั้น​

เมื่อวาน​นี้​ ทหาร​กบฏ​หก​พัน​นาย​เข้า​ประชิด​เมือง​และ​ต่อสู้​อย่าง​ดุเดือด​กับ​กองทหาร​รักษาการณ์​ที่​ทำหน้าที่​รักษา​เมือง​

กองพัน​ทหารปืนใหญ่​ฝ่าย​กบฏ​นำ​ปืนใหญ่​สี่สิบ​กระบอก​ออกมา​เผชิญหน้า​กับ​ปืนใหญ่​สิบสอง​กระบอก​บน​กำแพงเมือง​

ภายใต้​การ​กำบัง​ของ​ปืนใหญ่​ ทหารราบ​ได้​เข้า​โจมตีเมือง​

ทั้งสองฝ่าย​ต่อสู้​กัน​จน​พลบค่ำ​ ฝ่าย​กบฏ​ล่าถอย​ทิ้ง​แปด​ร้อย​ศพ​ไว้​เบื้องหลัง​

ทัพ​หลัง​เสีย​ทหาร​ไป​สามร้อย​นาย​

“เจ้าบอ​กว่า​ลูกหลาน​เต่า​พวก​นั้น​จะโจมตี​ใน​ตอนกลางคืน​”

สุ้มเสียง​เอ้อระเหย​ลอยชาย​ดัง​มาจาก​ด้านหลัง​

สวี่เอ้อร์​หลา​งหัน​ไปดู​และ​เห็น​ว่า​คน​ที่​พูด​คือ​ชายหนุ่ม​หน้าตา​ธรรมดา​ มือ​ข้าง​หนึ่ง​ถือ​ดาบ​และ​มือ​อีก​ข้าง​หนึ่ง​ถือ​แผ่น​แป้ง​ทอด​

เขา​สวม​ชุด​เกราะ​เบา​ที่​มีรอยบาก​จาก​ดาบ​แล้ว​เดิน​สบาย​ๆ เข้ามา​

“การ​โจมตี​ตอนกลางคืน​ใน​การ​สู้รบ​แบบ​ปิดล้อม​ เป็น​การเคลื่อนไหว​ที่​โง่เขลา​ที่สุด​”

สวี่เอ้อร์​หลา​งพูด​เบา​ๆ “พี่​เหมียว​ อย่า​ใส่ใจเรื่อง​นี้​เลย​”

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท