บทที่ 696 การอภิเษก

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ณ ห้อง​ทรง​พระ​อักษร​

จักรพรรดิ​หนุ่ม​หย่ง​ซิ่ง นั่ง​หน้า​เคร่งขรึม​อยู่​หลัง​โต๊ะ​ขนาดใหญ่​ปู​ด้วย​ผ้าไหม​สีเหลือง​ ฟังสมุห​ราชเลขาธิการ​ที่​เพิ่ง​รับ​ตำแหน่ง​มาใหม่​ ถวาย​รายงาน​จาก​เฉียน​ชิงซูปราชญ์​มหา​สำนัก​ประจำ​ตำหนัก​อู่​อิง​

หลัง​จาก​หวาง​เจิน​เห​วิน​พักฟื้น​จาก​อาการ​เจ็บป่วย​ ภายใน​ราชสำนัก​ได้​มีการผลักดัน​ ผ่าน​การช่วงชิง​จาก​ฝ่าย​ต่างๆ​ มากมาย​ ตำแหน่ง​สมุห​ราชเลขาธิการ​จึงตกเป็นของ​เฉียน​ชิงซู ปราชญ์​มหา​สำนัก​ประจำ​ตำหนัก​อู่​อิง​

ยังคง​เป็น​พรรคพวก​จาก​พรรค​หวา​ง

“เกิด​การปล้น​ชิงทรัพย์​เหล่า​ตระกูล​ขุนนาง​ทั่ว​ทุกหนทุกแห่ง​ ทั้ง​ใน​เจียง​โจว​และ​เจี้ยน​โจว​ แม้กระทั่ง​ผู้​คนใน​เมือง​เอง​ก็​รู้เห็นเป็นใจ​สมรู้ร่วมคิด​กับ​พวก​นอกรีต​,นอกรีตนอกรอย​ เปิด​ประตูเมือง​จาก​ด้านใน​ ปล่อย​ให้​พวก​โจร​เข้ามา​ปล้นสะดม​

“เรื่อง​แบบนี้​เกิดขึ้น​ได้​ทุกที่​”

เฉียน​ชิงซูผู้​มีเคราแพะ​สีขาว​กล่าว​เสียง​ขรึม​

“ฝ่าบาท​ โปรด​ส่งกองกำลัง​ไป​ปราบ​กองโจร​โดยเร็ว​ มิเช่นนั้น​ความโกลาหล​อาจ​มาเยือน​” หาก​เรา​ไม่รักษา​เสถียรภาพ​แนวหลัง​ไว้​ได้​ สถานการณ์​ใน​ชิงโจว​คง​ถึงคราว​วิกฤต​”

เหล่า​พรรค​หวา​งทั้งหลาย​ต่าง​เริ่ม​เห็นด้วย​ทีละ​คน​

สมาชิก​พรรค​หวา​งทั้งสองฝ่าย​แบ่ง​แยกกัน​ โดย​ครึ่งหนึ่ง​นิ่งเงียบ​ อีก​ครึ่ง​เห็นด้วย​

การปล้น​ชิงทรัพย์​บรรดา​ชนชั้นสูง​ เป็น​เพียง​การ​ปั่น​ประสาท​พวก​ราชนิกุล​ชนชั้นสูง​อย่าง​ไม่ต้องสงสัย​

“ฝ่าบาท​ทรง​ไตร่ตรอง​ด้วย​พ่ะย่ะค่ะ​!”

ท่ามกลาง​เสียง​ตะโกน​เซ็งแซ่ ห​ลิง​หง​รองหัวหน้า​สำนัก​ตรวจสอบ​ฝ่ายซ้าย​จึงก้าว​ออกมา​ พลาง​โค้ง​คำนับ​

“สงคราม​ใน​ชิงโจว​นั้น​เปรียบเหมือน​ไฟลามทุ่ง​ ทาง​ราชสำนัก​ควร​กระทำ​ทุก​วิถีทาง​เพื่อ​ช่วย​หยาง​กง​หยุดยั้ง​กลุ่ม​กบฏ​ใน​ชิงโจว​” แต่​ราชสำนัก​ขาดแคลน​ทั้ง​กำลัง​ทรัพย์​และ​เสบียง​ จะใช้กำลัง​ของ​ชาติ​ต่อกร​กับ​พวก​กลุ่ม​กบฏ​ได้​อย่างไร​

“แต่​คน​พวก​นั้น​เป็น​เพียง​พวก​หัวมังกุท้ายมังกร​ที่​รวมตัวกัน​ ยาก​จะขยาย​วงกว้าง​”

อดีต​สมาชิก​พรรค​เว่ย​รีบ​เอ่ย​เสริม​ สนับสนุน​ข้อ​กล่าวโทษ​ของ​หลิว​หง​หัวหน้าพรรค​คน​ปัจจุบัน​ทันที​

ทันใดนั้น​สมาชิก​ใน​พรรค​หวา​งก็​พรวดพราด​ออกมา​โต้กลับ​ทันควัน​

“พวก​หัวมังกุท้ายมังกร​งั้น​หรือ​? ทุกวันนี้​เหล่า​คน​พลัดถิ่น​กลับ​กลายเป็น​มหันตภัย​ ต่าง​หันมา​ปล้นทรัพย์​และ​เสบียง​ ย่อม​เป็น​กองกำลัง​ที่​ควร​พึงระวัง​อยู่แล้ว​ หาก​ปล่อย​ไว้​ แม้น​กลุ่ม​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ยัง​มาไม่ถึงเมืองหลวง​ แต่​กองโจร​นอกรีต​,นอกรีตนอกรอย​เหล่านั้น​ต้อง​เข้ามา​ก่อน​เป็นแน่แท้​”

ทั้งสองฝ่าย​เริ่ม​โต้เถียง​กัน​ การหารือ​ใน​ห้อง​ทรง​พระ​อักษร​กลายเป็น​ ‘ประชุม​ราชสำนัก​ขนาดย่อม​’ หละหลวม​ไม่ได้​เข้มงวด​เท่า​ประชุม​ราชสำนัก​ช่วง​เช้า การ​ถกเถียง​จึงกลายเป็น​สงคราม​อัน​ดุเดือด​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งทอดพระเนตร​ด้วย​แววตา​เย็นเยียบ​ ตั้งแต่​เว่ยเยวียน​วาย​ชีพ​และ​สมุห​ราชเลขาธิการ​หวา​งล้ม​ป่วย​กระทั่ง​จวบจน​ทุกวันนี้​ สถานการณ์​ภายใน​ราชสำนัก​ยังคง​แบ่ง​เป็น​สอง​ฝักฝ่าย​ และ​ทั้งสองฝ่าย​ก็​สร้าง​ความวุ่นวาย​ไม่น้อย​

เขา​กวาด​มอง​เหล่า​ข้าหลวง​ ก่อน​สายตา​หยุด​อยู่​ที่​ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล​ต้าห​ลี่​ พลาง​ตรัส​เสียง​ราบเรียบ​

“ใต้เท้า​ผู้พิพากษา​มีความเห็น​อย่างไร​”

ทุก​สายตา​ของ​บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​จึงพุ่ง​ไป​ทาง​ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล​ต้าห​ลี่​อย่าง​หลีกเลี่ยง​ไม่ได้​

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล​ต้าห​ลี่​อายุ​อา​นาม​มากกว่า​ห้าสิบ​ปี​ แต่​ระหว่าง​เส้น​ผม​และ​หนวดเครา​ไร้​สีขาว​ ดู​ราวกับ​บำรุงรักษา​อย่าง​ดี​

“ฝ่าบาท​ กระหม่อม​คิด​ว่า​ เรา​ควร​ใช้ยุทธวิธี​รักษา​ความ​สงบสุข​จาก​กลุ่ม​โจร​พลัดถิ่น​ โดย​ประทาน​ตำแหน่ง​ข้าหลวง​ให้​หัวหน้า​กองโจร​ เพื่อให้​นำ​พ่าย​พล​เหล่านี้​ไป​ต่อกร​กับ​กลุ่ม​กบฏ​ใน​ชิงโจว​”

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล​ต้าห​ลี่​กล่าว​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งแน่​เงียบ​ไม่เอ่ย​วาจา​ จน​ผ่าน​ไป​ครู่หนึ่ง​ จึงค่อยๆ​ เอื้อนเอ่ย​

“เรื่อง​นี้​ต้อง​พัก​ไว้​ก่อน​”

เสียง​ชะงัก​ครู่หนึ่ง​ ก่อน​เอ่ย​เสียง​ขรึม​

“แนว​ป้องกัน​ชั้นแรก​ใน​ชิงโจว​ถูก​พวก​กลุ่ม​กบฏ​ยึดครอง​แล้ว​ การ​โจมตี​พวก​กลุ่ม​กบฏ​ของ​หยาง​กง​ล้มเหลว​อย่าง​มหันต์​ อ้าย​ชิงทั้งหลาย​มีผู้ใด​บอก​เรา​ได้​บ้าง​ว่า​ ชิงโจว​แห่ง​นี้​สามารถ​เฝ้าระวัง​ได้​หรือไม่​? มัน​จะอยู่​ได้​นาน​เท่าใด​?”

ไม่มีผู้ใด​ตอบ​

พระพักตร์​เคร่งขรึม​ของ​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่ง หัน​มอง​เจ้ากรม​ทหาร​และ​เจ้ากรม​การคลัง​

“อ้าย​ชิงทั้งสอง​ ที่​เรา​สั่งให้​พวก​เจ้าส่งกำลัง​พล​และ​เสบียง​สนับสนุน​ชิงโจว​ มีความคืบหน้า​อย่างไรบ้าง​?”

เจ้ากรม​การคลัง​ก้าว​ออกมา​ โค้ง​คำนับ​พร้อม​กล่าว​

“เรื่อง​นี้​ต้องการ​เวลา​ ขอ​ฝ่าบาท​โปรด​ให้​เวลา​อีก​ชั่ว​ยาม​หนึ่ง​พ่ะย่ะค่ะ​”

เดิมที​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งต้องการ​ตำหนิ​กล่าวโทษ​ หาก​แต่​เมื่อ​มอง​ไป​ยัง​ใบหน้า​ซีดเซียว​ของ​เจ้ากรม​การคลัง​ จึงทำได้​แต่​ถอนหายใจ​ ไม่ได้​สร้าง​ความ​ลำบากใจ​อะไร​อีก​

จากนั้น​จึงหัน​มอง​เจ้ากรม​ทหาร​ แล้ว​ตรัส​เสียง​เรียบ​

“จ้าว​จวิ้น​หรู​ผู้​ที่​เจ้ากรม​สวี่​แนะนำ​มาให้​ ถวาย​ฎีกา​ให้​แก่​เรา​ แนะนำ​ให้​นำ​กองทัพ​เข้า​สนับสนุน​ชิงโจว​ เขา​จะนำพา​อ้อม​ไป​โจมตี​อวิ๋น​โจว​ ทำลาย​ฐาน​ที่มั่น​ของ​กลุ่ม​กบฏ​ ช่างเป็น​ขุนพล​ที่​หา​ได้​ยาก​เสีย​จริง​”

เจ้ากรม​ทหาร​สั่น​ไหว​ใน​ใจ มอง​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งด้วย​ใบหน้า​แย้มยิ้ม​ หาก​แต่​แวว​ตากลับ​เย็นยะเยือก​ เหงื่อ​ชื้น​ผุด​บน​ขมับ​ เอ่ย​อย่าง​ร้อนรน​

“กระหม่อม​มีตา​หา​มีแวว​ไม่ ฝ่าบาท​โปรด​ลงโทษ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งเมินเฉย​ ปล่อย​ให้​เขา​ยืน​โค้ง​คำนับ​ กวาด​มอง​บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ด้วย​สีหน้า​ยาก​จะคาดเดา​

“หาก​ต้องการ​เสบียง​ก็​ไม่มี ต้องการ​กำลัง​ไว้​สู้รบ​ก็​ไม่มีอีก​ ราชสำนัก​เลี้ยงดู​ทั้งพวก​เจ้าและ​กำลัง​พล​กลุ่ม​นี้​มาตั้ง​หกร้อย​ปี​มิใช่หรือ​? ดี​แค่​ไหน​แล้ว​ที่​เมือง​แดน​ประจิม​ไม่ได้​ยก​กองกำลัง​เข้า​มาตี​เมืองหลวง​ เพียงแต่​ก่อกวน​แถบ​ชายแดน​เห​ลย​โจว​เท่านั้น​

“หาไม่​แล้ว​ เวลานี้​กองทัพ​จาก​แดน​ประจิม​คง​ยกทัพ​มาตี​เมืองหลวง​แล้ว​กระมัง​”

เมื่อ​เอ่ยถึง​ช่วง​ท้าย​ จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งจึงแผดเสียง​ก้องกังวาน​

บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​แน่นิ่ง​ รู้​ว่า​เขา​กำลัง​ตำหนิ​ที่​เตรียม​เงิน​และ​เสบียง​ไม่ทัน​กาล​ และ​ไม่สามารถ​ส่งกองกำลัง​ล่วงหน้า​ไป​ยัง​ชิงโจว​ได้​

แต่​ถ้าคลัง​หลวง​มีกำลัง​ทรัพย์​มาก​พอ​ กองกำลัง​เสริม​คง​ยก​ค่าย​พล​ไป​ชิงโจว​เสีย​ตอนนี้​

ใน​ช่วง​ระยะเวลา​อัน​สั้น​นี้​ กรม​การคลัง​ได้​จัด​เก็บภาษี​และ​ความมั่งคั่ง​จาก​น้ำพักน้ำแรง​ของ​ราษฎร​ ด้วย​สิ่งนี้​ทาง​ราชสำนัก​จึงกระทำ​อย่าง​หลีกเลี่ยง​ไม่ได้​ใน​ยาม​ศึกสงคราม​ และ​เป็น​เช่นนี้​มาทุก​ราชวงศ์​

การกระทำ​เช่นนี้​จึงส่งผล​ให้​ราษฎร​สะสมความ​ขุ่นข้องหมองใจ​ พลอย​ทำให้​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​ชาติ​บ้านเมือง​อ่อนกำลัง​ลง​

หาก​สงคราม​ยุติ​ลง​ ก็​สามารถ​กล่าว​ได้​ว่า​ เมื่อ​ทาง​ราชสำนัก​ปราชัย​ ราษฎร​หัน​กลับมา​ตอบโต้​ ตาม​ด้วย​ชะตากรรม​ของ​ประเทศ​ถึงคราว​สูญสลาย​ในทันที​

“สถานการณ์​ใน​สนามรบ​มีการเปลี่ยนแปลง​อย่าง​รวดเร็ว​ กองกำลัง​แนวหน้า​กำลัง​ต่อสู้​อย่าง​สุด​ชีวิต​ หาก​ไม่ได้​เตรียม​กำลัง​ทรัพย์​ เสบียง​และ​กองกำลัง​ไว้​แต่​เนิน​ เจ้ารู้​ไหม​ว่า​จะทำให้​ล่าช้า​เพียงใด​?”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งบริภาษ​ครั้ง​ใหญ่​

บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ยังคง​นิ่งเงียบ​

เวลานี้​เอง​ เกิด​แสงรำไร​เกิดขึ้น​ เงาร่าง​ผู้​หนึ่ง​ปรากฏ​ระหว่าง​องค์​จักรพรรดิ​และ​บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ นั่น​ก็​คือ​จ้าว​โส่ว​

เขา​สวม​ชุด​คลุม​ขงจื๊อ​สีขาวนวล​ถัก​ทอ​อย่าง​พิถีพิถัน​ ผมหงอก​ขาว​ปล่อย​สยาย​ลงมา​อย่าง​สบาย​ๆ รูปลักษณ์​โดยรวม​ดูเหมือน​บัณฑิต​ที่​ตกอับ​หรือ​บัณฑิต​ชราภาพ​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งและ​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ประหลาดใจ​ครู่หนึ่ง​ คาดไม่ถึง​ว่า​จ้าว​โส่วจะ​ ‘บุกรุก​’ เข้ามา​ใน​วังหลวง​

“ฝ่าบาท​!”

จ้าว​โส่ว​ฉีก​ยิ้ม​พร้อม​โค้ง​คำนับ​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งนิ่งเฉย​ ทรง​แย้ม​พระ​โอษฐ์​พอเป็นพิธี​

“เจ้าสำนัก​ศึกษา​ หาก​ไม่มีเรื่อง​อัน​ใด​เจ้าคง​ไม่ปรากฏ​”

จ้าว​โส่ว​เอ่ย​ด้วย​รอยยิ้ม​

“เรื่อง​ที่ว่า​อยู่​หน้า​โต๊ะ​ฝ่าบาท​แล้ว​พ่ะย่ะค่ะ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งก้ม​พระพักตร์​ด้วย​ความ​งุนงง​ เห็น​ว่า​บน​โต๊ะ​มีฎีกา​ฉบับ​ใหญ่​ เขา​หยิบ​มัน​ขึ้น​มาด้วย​ความประหลาดใจ​ และ​เมื่อ​เงย​พระพักตร์​ขึ้น​มอง​อีกครั้ง​ จ้าว​โส่ว​ก็​หาย​ไป​เสียแล้ว​

ข้าราชการ​ชั้นสูง​ต่าง​มอง​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่ง รอ​พระองค์​ตรัส​วาจา​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งคลี่​ฎีกา​ออก​ ขณะ​กำลัง​อ่าน​ สีหน้า​ของ​เขา​แปร​เปลี่ยนไป​อย่าง​มาก​ เริ่ม​จาก​ตกตะลึง​ ตาม​ด้วย​หน้านิ่วคิ้วขมวด​ หลังจาก​อ่าน​หน้า​ท้าย​ๆ ดวง​เนตร​ก็​เบิก​กว้าง​ ดู​ไป​แล้ว​เหมือน​เห็น​บางสิ่ง​ที่​น่า​ประหลาดใจ​

จากนั้น​ความประหลาดใจ​ก็​ผัน​เปลี่ยน​เป็นความ​ปีติ​ยินดี​

“ดี​ ดีมาก​!”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งอารมณ์ดี​ “มีกองกำลัง​ติดอาวุธ​จาก​เผ่า​กู่​เข้ามา​เพิ่ม​ ชะลอ​เรื่อง​เร่งด่วน​อย่าง​ชิงโจว​ไป​ได้​ ฆ้อง​เงิน​สวี่​ทำให้​เรา​ประหลาดใจ​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​เสีย​จริง​”

กองกำลัง​ติดอาวุธ​จาก​เผ่า​กู่​? ฆ้อง​เงิน​สวี่…​บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ต่าง​มองหน้า​กันและกัน​

แววตา​เฉียน​ชิงซูวาว​โรจน์​ครู่หนึ่ง​

“ฝ่าบาท​ ทรง​มีเรื่อง​น่ายินดี​บ้าง​หรือไม่​พ่ะย่ะค่ะ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งไม่ได้​ตอบกลับ​ เพียง​มอง​จ้าว​เสวียน​เจิ้น​ ขันที​กุม​ตรา​ลัญจกร​ใต้​บัลลังก์​แล้ว​ตรัส​ด้วย​รอยยิ้ม​

“แจ้งข่าว​แก่​ขุนนาง​”

จ้าว​เสวียน​เจิ้น​รับ​มัน​ด้วย​ความเคารพ​ แม้น​ใน​ใจจะอยากรู้อยากเห็น​เต็มประดา​ แต่​ไม่กล้า​แง้มดู​เนื้อหา​ ก่อน​จะส่งฎีกา​ต่อให้​เฉียน​ชิงซู สมุห​ราชเลขาธิการ​คน​ใหม่​

เฉียน​ชิงซูมีสีหน้า​สงบ​ หาก​แต่​ความว่องไว​ใน​การ​รับ​ฎีกา​นั้น​รวดเร็ว​ เขา​คลี่​ฎีกา​ออก​อ่าน​อย่าง​ละเอียด​ หลังจากนั้น​ต่อมา​ก็​สูด​ลม​หายใจเข้า​ลึก​

“เจ้ากรม​หลิว​นอน​หลับสนิท​ได้​แล้ว​ล่ะ​”

เจ้ากรม​หลิว​ตั้งแต่​แก่​ขึ้น​กว่า​เดิม​หลาย​ปี​ ตั้งแต่​ภัย​หนาว​โหม​ซัด​เข้ามา​ ทำเอา​ตีนผม​หน้าผาก​ของ​เจ้ากรม​การคลัง​ขยับ​ขึ้นไป​หลาย​เซนติเมตร​

เมื่อ​ได้ยิน​เช่นนี้​ เจ้ากรม​หลิว​แหงน​มอง​ทันที​ พลาง​รีบ​เอ่ย​

“หมายความว่า​อย่างไร​? เร็ว​สิ ให้​ข้า​ดู​ด้วย​เร็ว​เข้า​”

ข้า​ไม่ใช่พวกพ้อง​เจ้าเสียหน่อย​…เฉียน​ชิงซูส่งฎีกา​ให้​เจ้ากรม​อาญา​ซุน​ด้านหลัง​ด้วย​สีหน้า​เรียบ​เฉย​

เมื่อ​เจ้ากรม​ซุน​อ่าน​จบ​ ใบหน้า​จึงสะท้อน​ความ​ซับซ้อน​ ทั้ง​ดีใจ​และ​ประหลาดใจ​

รู้สึก​เสียใจ​ที่​แต่ก่อน​เจ้าเด็ก​คน​นั้น​เคย​ถูก​มองว่า​เป็น​ตะปู​ใน​ตา​ หนาม​ใน​เนื้อ​ บัดนี้​กลับกลาย​เป็นยอด​ฝีมือ​อันดับ​ต้น​ๆ ของ​จิ่ว​โจว​ บุคคล​ผู้​ที่​ยาก​จะเอื้อม​ถึง

ฎีกา​ถูก​หมุนเวียน​เปลี่ยนมือ​ส่งต่อ​ใน​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ ใบหน้า​ชราภาพ​ดู​โล่งใจ​และ​ชื่นชมยินดี​ ผู้​ที่​ตื่นเต้น​ที่สุด​เห็นจะ​เป็น​เจ้ากรม​หลิว​

“ถ้าเป็น​เช่นนี้​ สถานการณ์​ใน​ชิงโจว​ต้อง​คลี่คลาย​ลง​อย่าง​แน่นอน​ ข้า​ค่อย​หาย​ใจหาย​คอ​โล่ง​หน่อย​ หลับ​สบาย​แล้ว​สินะ​…” เจ้ากรม​หลิว​มีความสุข​ล้น​น้ำตา​แทบ​ไหล​

“ฆ้อง​เงิน​สวี่​ทำให้​เผ่า​กู่​และ​ต้าฟ่ง​เป็น​พันธมิตร​ต่อกัน​ได้​ ไม่น่าเชื่อ​เลย​ ไม่น่าเชื่อ​จริงๆ​ “

น้ำเสียง​ใน​การ​เอ่ย​ชมสรรเสริญ​เยินยอ​ไม่ได้​ปกปิด​สักนิด​

เสียง​กระซิบกระซาบ​จาก​เหล่า​ข้าราชการ​ชั้นสูง​ดัง​ขึ้น​

“ใช้กำลัง​ทรัพย์​น้อย​เพียงนี้​จ้างคน​เผ่า​กู่​ไป​รบ​ เขา​ทำได้​อย่างไร​กัน​?”

“เผ่า​กู่​กับ​ต้าฟ่ง​ของ​เรา​มีความเกลียดชัง​ที่​ฝังลึก​ต่อกัน​ ตอนนี้​ไม่ได้​เป็น​พันธมิตร​กับ​อวิ๋น​โจว​ แต่​เป็น​กับ​ต้าฟ่ง​ของ​เรา​อย่าง​งั้น​หรือ​?”

“เขา​สร้าง​ความประทับใจ​ให้​กับ​ผู้คน​เสมอ​ แม้น​เขา​จะไม่เหมือน​เว่ยเยวียน​ แต่​สามารถ​เป็น​ผู้นำ​กองทัพ​ทั้ง​สามได้​อย่าง​ไร้​เทียมทาน​” แต่​ใน​ฐานะ​จอม​ยุทธ​ นับ​ได้​ว่า​เขา​ก็​เป็น​บุคคล​ที่​ไม่ธรรมดา​เช่นกัน​”

“มีเขา​กับ​ท่าน​โหราจารย์​อยู่​ ต้าฟ่ง​ก็​มีความหวัง​อยู่​บ้าง​ไม่มาก​ก็​น้อย​…”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งทรง​แย้ม​พระ​โอษฐ์​ตรัส​ว่า​

“เรื่อง​ข้อ​สนธิสัญญา​ก็​ให้​สำนักราชเลขาธิการ​เป็น​ผู้​ร่าง​ บรรดา​อ้าย​ชิงย่อม​โต้แย้ง​ได้​”

บรรดา​ข้าราชการ​ชั้นสูง​กล่าว​

“ฝ่าบาท​ทรง​พระ​ปรีชา​”

หลังจาก​จบ​การประชุม​ หัวใจ​ที่​หนักอึ้ง​ของ​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งก็​ผ่อนคลาย​ลง​เล็กน้อย​ เรื่อง​เผ่า​กู่​เชื่อม​สัมพันธไมตรี​กับ​ต้าฟ่ง​ เป็น​ข่าวคราว​ที่​สร้าง​กำลังใจ​ให้​อย่าง​ไม่ต้องสงสัย​

แต่​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งยังมี​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ติดอยู่ในใจ​

“ฝ่าบาท​ เฉียน​ชิงซูขอ​เข้าเฝ้า​พ่ะย่ะค่ะ​”

จ้าว​เสวียน​เจิ้น​ก้าว​เข้ามา​ใน​ห้อง​บรรทม​

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งขมวดคิ้ว​พร้อม​กล่าว​ “ให้​เขา​เข้ามา​”

ใน​เมื่อ​ไม่ได้​พูด​ตอน​หารือ​ใน​ห้อง​ทรง​พระ​อักษร​ นั่น​ก็​แสดงว่า​เฉียน​ชิงซูมีเรื่อง​ต้อง​การคุย​เพียงลำพัง​เป็นการ​ส่วนตัว​

เฉียน​ชิงซูผู้​ไว้หนวด​เคราแพะ​สีขาว​ เดินตาม​ขันที​กลับ​ไป​ยัง​ห้อง​ทรง​พระ​อักษร​

“สมุห​ราชเลขาธิการ​มีเรื่อง​อัน​ใด​ต้อง​หารือ​กับ​เรา​เพียงลำพัง​งั้น​หรือ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งตรัส​ถามเสียง​ราบเรียบ​

เฉียน​ชิงซูเอ่ย​เสียง​ขรึม​

“ฝ่าบาท​ กองโจร​มีทั่ว​ทุกหน​แห่ง​ หาก​ยัง​ไม่ส่งกองกำลัง​กวาดล้าง​ อาจ​นำไปสู่​ความหายนะ​ไม่ช้าก็เร็ว​ ใน​ตอนนี้​ความกดดัน​ใน​ชิงโจว​ก็​ลดลง​แล้ว​ เรา​ควร​จัดสรร​กองกำลัง​เข้า​ล้อม​พื้นที่​พ่ะย่ะค่ะ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งนิ่งเงียบ​

เฉียน​ชิงซูกล่าว​เสียง​สูงต่อว่า​

“ฝ่าบาท​ กระหม่อม​เคารพ​เทิดทูน​ฝ่าบาท​ ขอ​พลีชีพ​ยอม​ตาย​เพื่อ​ฝ่าบาท​พ่ะย่ะค่ะ​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งขยับ​เล็กน้อย​

“ตกลง​ เช่นนั้น​ก็​ทำ​ตามที่​อ้าย​ชิงบอก​เถิด​”

คำ​ตอบรับ​ที่​มีความสุข​เช่นนี้​ กลับ​ทำให้​เฉียน​ชิงซูตกตะลึง​ ก่อน​ทำความเคารพ​ด้วยความยินดี​

“ฝ่าบาท​ทรง​พระ​ปรีชา​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งพยักหน้า​

“อ้าย​ชิงออก​ไป​ก่อน​ เรา​เหนื่อย​”

ระหว่าง​มองตาม​แผ่น​หลัง​เฉียน​ชิงซู จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งนั่ง​นิ่ง​ไม่ไหวติง​อยู่​นาน​

เรื่อง​ที่​ติดอยู่ในใจ​เขา​ก็​คือ​สวี่​ซินเหนียน​เคย​เสนอ​ ให้​ลอบ​ส่งยอด​ฝีมือ​ไป​จัดระเบียบ​พวก​คน​พลัดถิ่น​ เปลี่ยน​หญ้า​ให้​กลายเป็น​โจร​ ไล่​ปล้นสะดม​พ่อค้า​และ​ชนชั้น​ผู้​สูง กระตุ้น​วิกฤต​ผู้ลี้ภัย​ให้​ทวี​ความรุนแรง​มากขึ้น​

การตัดสินใจ​ทรยศ​ชน​ชั้นนี้​ หาก​ถูก​เปิดเผย​ อาจ​ทำให้​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งทรยศ​ต่อ​ราชสกุล​

ครั้งแล้วครั้งเล่า​เขา​เลือก​ที่จะ​ยอมแพ้​

แต่​ไม่คาดคิด​ว่า​ใน​ราชสำนัก​จะมีคน​ลอบ​นำ​กลยุทธ์​นี้​ไป​ใช้อย่าง​ลับ​ๆ และ​เก็บเกี่ยว​ผลลัพธ์​ที่​ยอดเยี่ยม​ พร้อมกับ​ขนาด​กลุ่มคน​ที่​เพิ่มขึ้น​ทุกเมื่อเชื่อวัน​

“ศัตรู​ของ​เรา​ ไม่ได้​มีเพียง​กลุ่ม​กบฏ​อวิ๋น​โจว​เสียหน่อย​”

จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งทรง​พึมพำ​

ศัตรู​ผู้​นั้น​คือ​ใคร​ เขา​ย่อม​รู้ดี​แก่​ใจ

เวลา​เดียวกัน​นี้​ เขา​เอง​ก็​ลอบ​ตัดสินใจ​ จะไม่ชะลอ​การ​อภิเษก​ที่​เป็นเรื่อง​กระชั้นชิด​เจียน​ตัว​อีกต่อไป​

สวี่​ซินเหนียน​ตัดสินใจ​แปรพักตร์​ ลักลอบ​พึ่งพา​บารมี​อดีต​องค์​ชาย​สี่ เหยียน​ชิน​อ๋อง​คน​ปัจจุบัน​ใน​ตอนนี้​

และ​การตัดสินใจ​ของ​เขา​จะส่งผลกระทบ​ต่อ​สวี่​ชีอัน​อย่าง​หลีกเลี่ยง​ไม่ได้​

หาก​สวี่​ชีอัน​อยู่​ภายใต้​อาณัติ​เหยียน​ชิงอ๋อง​ บัลลังก์​ของ​เขา​ต้อง​สั่นคลอน​เป็นแน่​

สวี่​ชีอัน​ได้รับ​การ​เลื่อนตำแหน่ง​จาก​เว่ยเยวียน​ และ​เว่ยเยวียน​กับ​ฮองเฮา​ก็​เป็น​เพื่อนเก่า​กัน​และ​เป็น​ผู้สนับสนุน​องค์​ชาย​สี่มาอย่าง​เหนียวแน่น​ ทั้งนี้ทั้งนั้น​สวี่​ชีอัน​กับ​ฮว๋าย​ชิ่งก็​มีความสัมพันธ์​ที่​ดี​ต่อกัน​

ตอนนี้​มีสวี่​ซินเหนียน​คอย​ให้ท้าย​องค์​ชาย​สี่อยู่​ด้วย​…

หนึ่ง​ใน​วิธีการ​ที่​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งคิดได้​นั้น​ คือ​การ​ให้​หลิน​อัน​น้อง​หญิง​ของ​ตน​อภิเษก​กับ​สวี่​ชีอัน​

เช่นนี้​แล้ว​ บัลลังก์​ก็​จะมั่นคง​

ณ ตำหนัก​เต๋อ​ซิน​

เมื่อไม่นานมานี้​ ฮว๋าย​ชิ่งปรับปรุง​ห้อง​ตำรา​ใน​ระดับ​หนึ่ง​ โดย​เคลื่อนย้าย​ใน​กระบะ​ทราย​เป็น​แผนที่​เมือง​ชิงโจว​ นอกจากนี้​หนังสือ​บน​โต๊ะ​เต็มไปด้วย​ตำรา​การทหาร​ รวมถึง​ ‘ตำรา​พิชัยสงคราม​ซุน​จื่อ’​ ที่​เขียน​ขึ้น​โดย​สวี่​ชีอัน​

สวี่​ชีอัน​อ้างว่า​ตำรา​เล่ม​นี้​เขียน​ขึ้น​โดย​หลานชาย​ แต่​ฮว๋าย​ชิ่งรู้​ว่า​หลานชาย​ของ​เขา​มาจาก​ไหน​

ปั้น​เรื่อง​หลอก​ทั้งนั้น​

ใน​ฐานะ​องค์​หญิง​ ไม่ง่าย​เลย​ที่จะ​มากังวลใจ​เกี่ยวกับ​สงคราม​ใน​ชิงโจว​ตอนนี้​

ฮว๋าย​ชิ่งไม่มีความ​เชี่ยวชาญ​ใน​เทคนิค​ทางทหาร​ การ​จัด​ขบวน​ทัพ​จึงกลาย​เป็นเรื่อง​ไม่ถนัด​ แต่​หลาย​วัน​มานี้​ การ​ปิดประตู​อ่าน​ตำรา​การทหาร​ ซ้อม​วางหมาก​บน​กระบะ​ทราย​ทำให้​ก้าวหน้า​ได้​อย่าง​รวดเร็ว​

แน่นอน​ว่า​นี่​เป็น​เพียง​ความคืบหน้า​ในแง่​ของ​สถานการณ์​โดยรวม​ การ​จัด​กองทหาร​จริง​ต้อง​ใช้ประสบการณ์​พอสมควร​ การหารือ​ผ่าน​กระดาษ​นั้น​มีความสำคัญ​เพียง​เล็กน้อย​

องค์​หญิง​ใหญ่​แสน​เย็นชา​นั่ง​อยู่​หลัง​โต๊ะ​หนังสือ​ สวม​ชุด​กระโปรง​ยาว​เรียบง่าย​ นิ้ว​หยก​ยาว​เรียว​บรรจง​คลี่​กระดาษ​โน้ต​ออก​

หมายเหตุ​เขียน​กล่าว​อยู่​สอง​สิ่ง

ประการ​แรก​ เผ่า​กู่​ถูก​ควบคุม​ให้​เป็น​พันธมิตร​กับ​ต้าฟ่ง​โดย​สวี่​ชีอัน​ เพื่อ​ส่งกองกำลัง​ไป​ช่วย​ชิงโจว​

ประการ​ที่สอง​ จ้าว​โส่วจะ​เป็น​คน​ส่งสาส์น​กราบทูล​ด้วย​ตนเอง​

สำหรับ​ข้อความ​แรก​ ใน​ใจฮว๋าย​ชิ่งไม่ได้​ลุกลี้ลุกลน​แต่อย่างใด​ เพราะ​เป็นอัน​รู้กัน​อยู่แล้ว​

แต่​ข้อความ​ที่สอง​ ชวน​ให้​นาง​เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน​อยู่​พักใหญ่​

เกิด​แสงรำไร​จาก​ปาก​ประตู​ครู่หนึ่ง​ นางกำนัล​ด้านนอก​ห้อง​ตำรา​ เอ่ย​เสียง​กระซิบ​ว่า​

“องค์​หญิง​ใหญ่​ เหยียน​ชิน​อ๋อง​เสด็จ​มาเพคะ​”

ฮว๋าย​ชิ่งสอด​แผ่น​กระดาษ​ไว้​ใน​แขน​เสื้อ​ ก่อน​ลุกขึ้น​ เดิน​นำ​นางกำนัล​เข้าไป​ยัง​โถงด้านใน​

ภายใน​โถงด้านใน​ เหยียน​ชิน​อ๋อง​ใน​ชุด​สีม่วง​พร้อม​เข็มขัด​หยก​ดู​องอาจ​ห้าวหาญ​ ใน​มือถือ​ถ้วย​ชาด้วย​ท่าทาง​เคร่งขรึม​

“เสด็จ​พี่​สี่ว่าง​มาหา​ข้า​ถึงสวน​เต๋อ​ซิน​ได้​อย่างไร​กัน​?”

ฮว๋าย​ชิ่งเอ่ย​เสียง​เรียบ​

หลังจาก​จักรพรรดิ​หย่ง​ซิ่งขึ้น​ครองราชย์​ บรรดา​พี่น้อง​ทุกคน​จึงถูก​ ‘ขับไล่​’ ออกจาก​วังหลวง​เหลือ​แต่​น้อง​หญิง​ที่​ไม่ได้​ออกจาก​ตำหนัก​ และ​ยัง​คงอยู่​ใน​วัง​ได้​

ยาม​ว่าง​เหล่า​ชิน​อ๋อง​จึงไม่ไม่สามารถ​เข้ามา​ใน​วัง​ได้​

เหยียน​ชิน​อ๋อง​โบกมือ​ไล่​นางกำนัล​ให้​ออกจาก​โถง พลาง​เอ่ย​เสียง​ขรึม​

“ข้า​ได้ยิน​มาว่า​สวี่​ชีอัน​กับ​เผ่า​กู่​เป็น​พันธมิตร​กัน​ ขอให้​ส่งไพร่พล​ติดอาวุธ​จาก​เผ่า​กู่​ไป​ช่วย​ชิงโจว​ ด้วย​ค่า​จ้างวาน​ราคา​แสน​ถูก​”

ฮว๋าย​ชิ่งเอ่ย​ด้วย​น้ำเสียง​เย็นชา​

“ถือ​เป็นเรื่อง​ดี​นี่​”

เหยียน​ชิน​อ๋อง​พยักหน้า​

“อันที่จริง​ก็​เป็นเรื่อง​ดี​ เพียงแต่​สำหรับ​ข้า​ไม่อาจ​บอก​ได้​ว่า​เป็นเรื่อง​ดี​ แต่​ก็​ไม่ใช่เรื่อง​แย่​นัก​ อย่าง​มาก​ก็​คง​แค่​เฝ้ารอโอกาส​อีกครั้ง​ เหตุผล​ที่​พี่​มาใน​วันนี้​ เป็น​เพราะ​เรื่อง​อื่น​”

“เสด็จ​พี่​สี่เชิญตรัส​”

เหยียน​ชิน​อ๋อง​เอ่ย​เสียง​ขรึม​

“วันนี้​จ้าว​โส่ว​เข้ามา​ใน​วังหลวง​ ตั้งแต่​โหราจารย์​สั่งระงับ​สำนัก​อวิ๋น​ลู่​สอง​ร้อย​ปี​ จ้าว​โส่ว​เข้ามา​ใน​วัง​เพียง​สอง​ครั้ง​ ครั้งแรก​เขา​มาให้​เสด็จ​พ่อ​ต้องโทษ​สำนึก​ตน​ แล้วก็​ครั้งนี้​

“ฮว๋าย​ชิ่ง เจ้าคิด​ว่า​ท่าน​โหราจารย์​หมายความว่า​อย่างไร​”

เข้า​วัง​ครั้งก่อน​นั้น​เป็นเรื่อง​สมควร​แล้ว​ แต่​ครั้งนี้​ ทำ​เพียง​ถวาย​ฎีกา​ฉบับ​เดียว​น่ะ​รึ​?

ฮว๋าย​ชิ่งยก​มือขึ้น​ ปล่อย​ให้​แขน​เสื้อ​กว้าง​ร่น​ลง​เล็กน้อย​ เพื่อ​ไม่ให้​เป็น​อุปสรรค​ต่อ​การ​ยก​ถ้วย​ชาขึ้น​มาค่อยๆ​ จิบ​ พลาง​เอ่ย​ราบเรียบ​

“เสด็จ​พี่​สี่คาดเดา​สิ่งใด​ได้​งั้น​หรือ​”

เหยียน​ชิน​อ๋อง​ขานรับ​ “อืม​” พลาง​พยักหน้า​แล้ว​เอ่ย​

“ใน​ช่วงเวลา​วิกฤต​นี้​ โหราจารย์​อาจ​ต้อง​ประนีประนอม​กับ​สำนัก​อวิ๋น​ลู่​ ทำให้​จ้าว​โส่ว​เข้ามา​เป็น​ขุน​นางใน​ราชสำนัก​ ยอด​ขุนพล​ขั้น​สามสูงสุด​ ควรค่า​แก่​การ​ให้​ท่าน​โหราจารย์​ยอม​คุกเข่า​

“ครั้งนี้​ที่​พี่​สี่มาหา​เจ้า ก็​เพื่อ​อยาก​ไป​ภูเขา​ชิงอ​วิ๋น​กับ​เจ้า เยี่ยมเยียน​เจ้าสำนัก​ศึกษา​จ้าว​โส่ว​เสียหน่อย​”

พูด​ตามตรง​ก็​คือ​ฮว๋าย​ชิ่งเป็น​ศิษย์​ครึ่งหนึ่ง​จาก​สำนัก​อวิ๋น​ลู่​ โดย​เคย​ศึกษา​ใน​สำนัก​เป็นเวลา​หลาย​ปี​

ต่อหน้า​นาง​ จ้าว​โส่ว​มิอาจ​ปฏิเสธ​ได้​

ฮว๋าย​ชิ่งพยักหน้า​

“ต่อให้​เสด็จ​พี่​สี่จะไม่มาหา​ข้า​ ข้า​ก็​จะไปหา​เขา​”

เหยียน​ชิน​อ๋อง​ยก​ยิ้ม​ “น้องสาว​แสน​ดี​ของ​ข้า​”

ณ ตำหนัก​เฟิ่งชี

หลิน​อัน​เดิน​นำ​นางกำนัล​สอง​นาง​ ตัดผ่าน​ลาน​กว้าง​ เข้า​มายัง​ตำหนัก​เฟิ่งชีอัน​ร่มรื่น​สะอาด​ตา​

นาง​ก้าว​ข้าม​ธรณี​ประตูเข้า​มายัง​โถงด้านใน​ ก่อน​จะพบ​ว่า​ภายใน​ห้องโถง​และ​ลาน​กว้าง​นั้น​ว่างเปล่า​เหมือนกัน​ จำนวน​นางกำนัล​และ​ห​มัว​มัว​เอง​ก็​บางตา​เป็น​ที่สุด​

หลิน​อัน​รู้ดี​ ท่าน​แม่กำลัง​สร้าง​ความ​ลำบากใจ​ให้​แก่​ฮองเฮา​

อย่างไรก็ตาม​ ตั้งแต่​เสด็จ​พี่​จักรพรรดิ​ครอง​บัลลังก์​ ฮองเฮา​ก็​ไม่แสดง​อารมณ์​เลย​ ไม่ว่า​ท่าน​แม่จะรังแก​รังควาน​สัก​แค่​ไหน​ ฮองเฮา​ก็​ไม่สนใจ​แม้แต่น้อย​

หลิน​อัน​คิด​เอา​ว่า​นี่​คง​เป็น​วิธี​ประนีประนอม​ของ​ฮองเฮา​ ทว่า​ครั้งหนึ่ง​เคย​ได้ยิน​ท่าน​แม่พูดจา​เสียดสี​ไว้​ว่า​ หลัง​เว่ยเยวียน​จากไป​ นาง​แพศยา​ผู้​นี้​ก็​หมดอาลัยตายอยาก​เหมือน​คนตาย​อีก​คน​

โถงด้านใน​ที่​หรูหรา​และ​เรียบง่าย​ ฮองเฮา​ใน​ชุด​เรียบง่าย​นั่ง​อยู่​ข้าง​โต๊ะ​ มอง​มาที่​นาง​ด้วย​สีหน้า​เรียบ​เฉย​ไร้​การแสดงออก​

หลิน​อัน​ไม่ได้​เห็น​ฮองเฮา​มาหลาย​ปี​แล้ว​ แต่​ใน​ความประทับใจ​นั้น​ ทั้ง​ฮองเฮา​และ​ฮว๋าย​ชิ่งเหมือนกัน​ไม่มีผิว​เพี้ยน​ สงบ​เยือกเย็น​ ไม่แสดง​ความ​สนิทสนม​กับ​ผู้ใด​ แต่​ไม่ใช่อย่าง​ที่​เป็นอยู่​ใน​ตอนนี้​ นอก​เสีย​จาก​ชินชา​หรือ​เมินเฉย​แล้ว​

“คารวะ​เสด็จ​แม่”

หลิน​อัน​คารวะ​ผู้​เป็น​มารดา​ในนาม​ด้วย​ความเคารพ​

ฮองเฮา​เป็น​หญิง​รูปงาม​อย่างยิ่ง​ แม้น​วัยเยาว์​ของ​นาง​จะล่วงเลย​ไป​ แต่​ดูเหมือนว่า​กาลเวลา​ก็​มิอาจ​ทำลาย​ความงาม​ของ​นาง​ลง​ได้​ รูปโฉม​อัน​งดงาม​เสีย​จน​ล่ม​เมือง​ยังคง​ไร้​ริ้วรอย​ใดๆ​ แม้จะผ่าน​ไป​หลาย​ชันษา​

“ฝ่าบาท​เพิ่ง​แวะ​มาหา​ข้า​”

ฮองเฮา​ทอดพระเนตร​มอง​คน​ตรงหน้า​ ใบหน้า​รูปไข่​ ดวงตา​ลูก​ท้อ​มีเสน่ห์​ชวน​หลงใหล​ ดู​เป็น​หญิง​ที่​คว้า​ใจผู้​นั้น​ได้​โดย​ไม่ต้อง​เอ่ย​ถ้อยคำ​อัน​ใด​

ในทางกลับกัน​ ฮว๋าย​ชิ่ง ธิดา​ของ​นาง​ แม้รูปร่างหน้าตา​จะไม่ได้​ด้อย​ไป​กว่า​กัน​ แต่กลับ​เย็นชา​เหลือเกิน​

“เสด็จ​พี่​จักรพรรดิ​รึ​เพคะ​?”

หลิน​อัน​รู้สึก​แปลกใจ​เล็กน้อย​

พระ​มเหสี​พยักหน้า​เล็กน้อย​ ตรัส​ด้วย​สุรเสียง​ราบเรียบ​

“หลิน​อัน​ เจ้าเอง​ก็​ถึงวัย​อภิเษก​แล้ว​ ฝ่าบาท​เสด็จ​มาที่นี่​ก็​เพื่อ​การ​อภิเษก​ของ​เจ้า”

สีหน้า​หลิน​อัน​แปรเปลี่ยน​ฉับพลัน​

……………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท