“ชนแก้ว”
ในห้องพิเศษของโรงแรมระดับสูงที่ชื่อว่า ‘มังกรรัตติกาล’ ในเมืองส่วนนอกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสถาบัน พวกผมได้ชนแก้วเฉลิมฉลองชัยชนะในวันนี้
นอกจากญารินและองค์หญิงสโนว์แล้ว ยังมีฮีล อาร์ย่า พวกฟาลันและเพื่อนจากชั้นเรียนสายน้ำแข็ง
แต่ที่สามารถมากินอาหารที่นี่ได้ก็เป็นเพราะองค์หญิงสโนว์ ซึ่งก็คล้ายกับโลกเดิม คนที่ไม่มีฐานะอยากเข้าสถานที่ VIP แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้
แต่ว่า…
แนวคิดของโลกนี้ดูโอ้อวดเกินไปหน่อยไหม? แม้ว่าชั้นเรียนพวกเรามีสามสิบกว่าคน ก็ไม่จำเป็นต้องเอาห้องที่จุได้ร้อยกว่าคนให้พวกเราเลย โต๊ะสองตัว หนึ่งโต๊ะก็นั่งได้ห้าสิบคนแล้ว คุณอยากให้พวกเราเล่นสามก๊กหรือแวร์วูล์ฟเหรอ?
ทว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทุกคนแค่หยิบไพ่ครั้งเดียวเกมก็จบแล้ว…
แต่ถ้าให้ผมพูดตามตรงก็คือ…อาหารของโรงแรมระดับสูงช่างอร่อยจริงๆ เทียบกับร้านข้างนอกแล้วช่างต่างกันลิบลับ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนเอาแต่ถามผมเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างขยันขันแข็ง จนทำห้ผมกินได้คำหนึ่งก็ต้องพูดต่อยาวๆ
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับพวกเราได้เป็นแชมป์การแข่งขันชั้นปีแล้ว แต่ว่า มันกลับทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวล
แม้ว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ของฮิตจะผิดกฎ แต่อันที่จริง นั่นก็เป็นแค่สถานการณ์ส่วนน้อย
ถ้าอีกฝ่ายมีอุปกรณ์ที่อยู่ในขอบเขตที่อนุญาตจะเป็นยังไงล่ะ?
นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องใส่ใจ ยังไงซะสนามแรกของผมก็ทำให้ผมต้องแสดงพลังออกมาแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะไม่อาจรู้กำลังทั้งหมดของผม แต่คนที่จะสู้กับผมครั้งหน้าต้องจัดการผมอย่างเต็มกำลังตั้งแต่เริ่มแน่ๆ
ลองคิดดูแล้ว ถ้าฮิตใช้ ‘อาทิตย์อัสดง’ โจมตีผมอย่างเต็มกำลังตั้งแต่ตอนแรกที่ผมยังชะล่าใจ ผมที่ยังไม่เข้าสู่สถานะต่อสู้คงสู้ได้ลำบาก
“เจ้าคิดอะไรอยู่ บอกหน่อยสิว่าเจ้าหลบการโจมตีพวกนั้นได้อย่างไร”
“อ่า…อืม ได้”
ช่วยไม่ได้ ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ไว้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน
งานเลี้ยงสิ้นสุดตอนกลางดึก ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินไปยังที่พักของตัวเอง
เดิมทีหอพักชายและหญิงก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นในชั้นของพวกผมก็มีคนที่ไม่ใช่ลูกหลานชนชั้นสูงอยู่น้อยมาก หอพักที่พวกเขาอยู่ย่อมต่างกับผมเป็นธรรมดา
นับประสาอะไรกับผมที่ไม่ต้องการพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เลยเลือกห้องที่ถูกที่สุดเป็นธรรมดา
เดินไปเรื่อยๆ บนถนนก็เหลือเพียงผมคนเดียวที่เดินไปทางหอพัก
แต่หอพักของสถาบันเวทมนตร์ไม่มีเวลาปิดประตู จะกลับไปตอนไหนก็ไม่เป็นไร
หอพักที่ผมอยู่เป็นหอพักที่ห่างไกล เวลานี้ทุกคนต่างก็กลับไปไม่ก็ไม่กลับไปที่พัก ดังนั้นไม่นานรอบๆ ก็ค่อยๆ เงียบลง
แต่ผมก็ไม่ถึงกับรู้สึกเบื่อ ยังไงผมก็ยังมองเห็นชื่อของคนบริเวณนี้ที่อยู่ถัดไปจากกำแพงได้
การล้อชื่อหรือฉายาของคนอื่นค่อนข้างสนุกทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยังสามารถรู้เรื่องราวมากมายได้ผ่านฉายาของพวกเขา
อย่างเช่นคนทางขวาที่ชื่อว่า ‘มาแดร์’ ในฉายามี ‘คนขี้เหนียว’ กับ ‘นักเดินทาง’ เบื้องต้นก็ทำให้สันนิษฐานได้ว่าหมอนี่เป็นคนทำธุรกิจซื้อของมาขายต่อเพื่อเก็งกำไร และยังไม่ใช่นักธุรกิจที่แท้จริง ในฉายาเลยไม่ปรากฏคำที่เกี่ยวกับนักธุรกิจ
แล้วยังมีคนที่อยู่ข้างหลังที่ชื่อว่า ‘แดน’ ทำไมชื่อแปลกแบบนี้…
…
เดี๋ยวก่อน ชื่อว่าแดนเหรอ?
ผมเคยเห็นชื่อนี้ในความทรงจำ แล้วยังเป็นเรื่องไม่นานมานี้
เพราะว่ามีอีกคนหนึ่งที่ชื่อสอดคล้องกับเขา ชื่อว่าดูอัล ที่ผมจำได้ว่าเป็นสาวแกร่งบึกบึนอายุ 17 ปี…
เอาเถอะ นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือทำไมผู้คุ้มกันขององค์หญิงสโนว์ถึงตามผมมาด้วย
ผมมองดูรอบด้าน ดูเหมือนจะไม่เห็นชื่อขององค์หญิงสโนว์
ยัยนั่นใช้อุปกรณ์ล่องหน? เป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งผู้คุ้มกันก็ไม่ได้ใช้ ยัยนั่นจะใช้ได้ยังไง?
สิ่งเดียวที่อธิบายได้ก็คือ…หมอนี่มาหาผมคนเดียว?
“มาหาฉันมีเรื่องอะไร? กลับไปที่หอพักฉันคุยไปด้วยดื่มชาไปด้วย หรือว่าพวกเราแค่คุยกันข้างนอกก็แก้ปัญหาได้?”
“…”
ผมมองทางแดนอยู่ครู่หนึ่ง หมอนั่นดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกมาจากในเงามืด
อุ๊บ หมอนี่สวมเสื้อสีดำทั้งตัว นี่คิดจะทำอะไรน่ะ?
ฉันไม่ได้ชอบผู้ชายนะ
“ฟีลเจ้าไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เห็นข้าที่สะกดรอยได้ แม้ว่าข้าไม่ได้จงใจซ่อนตัว แต่คนธรรมดาก็ยากที่จะมองเห็นข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสะกดรอยตามเลย เจ้าไม่ต้องตั้งใจดูว่ามีคนสะกดรอยตามหรือไม่ แต่เห็นข้าทันทีที่หันมาได้โดยบังเอิญ ดูแล้วความแข็งแกร่งของเจ้าคงไม่ได้อยู่ในระดับทีมชั้นต้นของสถาบัน”
“…ปกติที่นายไม่พูดเป็นเพราะอยากแกล้งทำเป็นไม่มีปากใช่ไหม? พูดเยอะแยะได้ในลมหายใจเฮือกเดียวขนาดนี้ทำให้ฉันตั้งตัวไม่ทันจริงๆ”
“ไม่มี? ปาก? คืออะไร?”
“ไม่ต้องสนใจหรอก ช่างเถอะ จะตอบคำถามของนายแล้วกัน ฉันแค่เป็นคนมองออกว่ามีใครซ่อนตัวอยู่รอบๆ หรือไม่เท่านั้น แล้วนายก็ไม่ได้ใช้ทักษะสะกดรอย ฉันก็ต้องจับได้อยู่แล้ว”
“งั้นเหรอ? นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถแบบนี้”
“ช่างมันเถอะ นายใส่ชุดดำตามฉันมาข้างหลังกลางดึกแบบนี้มีแผนอะไร คงไม่ได้คิดจะทำอะไรฉันหรอกนะ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าเป็นถึงผู้คุ้มกันมืออาชีพขององค์หญิงสโนว์ และองค์หญิงยังต้องอาศัยเจ้าคว้าชัยชนะในการแข่งขันชั้นปี ข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก”
ผมไม่เห็นท่าทางของเขา แม้รู้สึกว่าหมอนี่ดูผ่อนคลาย แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีการขึ้นลงจนทำให้ผมรู้สึกแย่
“แล้วมาทำไม?”
“เพราะมีคนอยากให้เจ้าหลีกทางจากองค์หญิงสโนว์ เลยอยากมาคุยกับเจ้าตรงๆ”
“…”
บ้าอะไรเนี่ย ทำไมเวลาของเควสต์ลับชอบปรากฏกลางดึกทุกที ให้โอกาสผมนอนหลับบ้างได้ไหม?
คุณก็เห็นว่าผมเหนื่อยมาทั้งวัน ให้ผมนอนหลับหน่อยเถอะ
“บอกฉันได้ไหม ว่าเป็นใคร?”
ถึงการนอนหลับจะสำคัญ แต่ผมก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องที่อาจทำให้ได้ของดีแบบนี้
“เจ้ามากับข้าก็รู้เอง เชื่อข้า และเชื่อองค์หญิงสโนว์ พวกเราจะไม่ทำร้ายเจ้าแน่”
ทำร้ายฉันแล้วจะทำไม? ผมตายในเมืองนี้ก็สามารถคืนชีพได้อยู่ดี นายจะทำอะไรฉันได้?
“ก็ได้ นำทางไปเถอะ”
อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วหมุนตัวเดินไปในซอย
ผมถอนหายใจ เดินตามชื่อเขาไป
ผลคือหลังจากหมอนี่เข้าซอยไป ก็กระโดดไปบนหลังคาทันที!
พระเจ้า! ไอ้นี่ทำเหมือนผมบินได้รึไง?
ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา กดที่ ‘เบาเหมือนขนนก’ กับ ‘เร่งความเร็ว’ โดดครั้งเดียวผมก็โดดไปถึงชั้นสอง แล้วใช้แรงถีบระเบียงทีละก้าวโดดขึ้นไป
“ขอร้องล่ะ อย่าให้นักเวททำเรื่องที่นักรบทำเลย!”
“เจ้าก็ตามมาแล้วนี่?”
“…”
หมดคำพูด ชอบทำให้ผมโมโหจริงๆ
แต่เพื่อเควสต์ลับที่อาจจะมี ผมจะทน!
เดินบนหลังคากับเขาอยู่หลายนาที พวกเราก็กลับถึงย่านการค้า
แม้ว่าถึงเวลานอนหลับแล้ว แต่ก็ยังมีบางร้านที่เปิดอยู่
แดนกระโดดสองสามครั้ง ตกลงบนระเบียงร้านที่ไม่รู้จัก จากนั้นเดินเข้าไป
ผมก็ตามเข้าไป
“เข้าคือฟีลสินะ? แข็งแกร่ง…อย่างที่คิด!”
คนตรงหน้าทำให้ผมตกใจแทบแย่ เพราะว่าผมเคยเห็นคนคนนี้จากเทอร์มินัลในห้องสมุด!
เฮอ เอส อะฟังกัส!
จักรพรรดิของอาณาจักรเอส!
แล้วก็…พ่อขององค์หญิงสโนว์
*ผู้แปลไม่ได้มีเจตตาเหยียดเพศแต่อย่างใด ผู้แปลเพียงแปลตามต้นฉบับเท่านั้น หากทำให้ผู้อ่านไม่พอใจต้องขออภัยด้วยค่ะ