บทที่ 708 หยั่งเสียง (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 708 หยั่งเสียง (2)

จวนอ๋อง

หลินอันเดินเล่นกับหวางซือมู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลังด้วยอารมณ์แจ่มใส ทั้งสองดื่มชาร้อนและกินขนมอบ ทั้งยังสวมเสื้อคลุมตัวหนา ทำให้ไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย

หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง หวางซือมู่ก็เอ่ยพลางยิ้มก้ำกึ่งว่า

“พระองค์ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไฉนกลับดูไม่มีความสุขเลย”

หลินอันเข้าใจความหมายของนางดี หลังมองไปยังสวนดอกไม้รกร้างด้านหนึ่งพลางคิดแล้วจึงเอ่ยว่า

“ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วย่อมจะดีใจ เพียงแต่สมรสพระราชทาน…”

นางต้องดีใจอยู่แล้ว หาไม่วันนั้นคงไม่ตอบรับทันทีด้วยใจเต้นรัวเพราะความยินดีหรอก

ทว่านับตั้งแต่จิตใจอันละเอียดอ่อนของสตรีผู้หนึ่งปรากฏออกมา เจตนารมณ์ของการสมรสพระราชทานก็กลับมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา

สมรสพระราชทานที่นางต้องการคือการสู่ขอของสวี่ชีอันกับเสด็จพี่จักรพรรดิ และเสด็จพี่ก็ประทานสมรสด้วยความยินดี ให้นางแต่งเข้าสกุลสวี่

หาใช่เพราะผลประโยชน์

ที่นางต้องการคือความพร้อมใจในการแต่งงานของสวี่ชีอัน มิใช่ ‘ถูกบังคับ’ กระทั่งจะแบ่งรับแบ่งสู้ยังไม่ได้ เนื่องจากความรู้สึกที่นางมีต่อสวี่ชีอันนั้นบริสุทธิ์ ไม่มีจุดประสงค์เคลือบแฝง เช่นเดียวกับตอนที่เขายังเป็นฆ้องทองแดงและฆ้องเงินตัวเล็กๆ

ช่องว่างทางสถานะมิได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนาง

ทว่า หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายเพียงนี้ นิสัยดื้อดึงเอาแต่ใจของนางก็ลดทอนลงหลายส่วนและเติบโตขึ้นไม่น้อย

หวางซือมู่ยิ้มพลางว่า

“ได้แต่งงานกับคนที่ตนมีใจถือเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว จะด้วยเหตุผลใด จุดประสงค์แบบไหน ก็ไม่ต้องไปคำนึงให้มาก คนที่แผนการมากเกินไปล้วนมีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว

“ท่านพ่อของข้าเคยกล่าวไว้ แก่นแท้ของการเมืองคือการประนีประนอม เมื่อเป็นมนุษย์ก็ต้องประนีประนอมอย่างเหมาะสมด้วย”

“ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาวิเคราะห์หลักการยิ่งใหญ่พวกนี้หรอก” หลินอันเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยต่อว่า

“ทว่า ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทาน แม้หัวหน้ากองพันสวี่จะรับปาก แต่เขาจะทำตามหรือไม่ก็ยังไม่รู้”

“พระองค์วางใจเถิด ฆ้องเงินสวี่ได้รับการเลี้ยงดูจากอารองและอาสะใภ้ตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่ใช่บิดามารดาแต่กลับยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน เดิมก็เป็นคำสั่งของบิดามารดา วาจาของแม่สื่ออยู่แล้ว ตามความเข้าใจที่ข้ามีต่อบ้านสกุลสวี่ คำรับปากของใต้เท้าสวี่นั้นมีผลทีเดียว”

หลินอันลอบดีใจ พร้อมส่งเสียง ‘อืม’ อย่างสงวนท่าที

เวลานั้นเอง นางก็ได้ยินหวางซือมู่ถอนหายใจ

“ท่านเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เดิมทีไม่ว่าจะแต่งกับใครก็ล้วนมีหน้ามีตา สูงสง่าเกรียงไกร มีเพียงการแต่งเข้าสกุลสวี่เท่านั้นที่เกรงว่าสถานะองค์หญิงนี้ของท่านจะไร้ความหมายแล้ว”

ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือการบำเพ็ญตบะของสวี่ชีอันในปัจจุบัน แค่ฐานันดรศักดิ์ขององค์หญิงย่อมมิอาจพันธนาการเขาไว้ได้

พูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า เด็กสาวผู้โง่เขลาผู้นั้นของสกุลสวี่จะเดินกร่างในวังหลวง และองค์ชายองค์หญิงก็ต่างไม่กล้าไปหาเรื่อง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากองค์หญิงหลินอันแต่งเข้าจวนสกุลสวี่ ตราบใดที่ฆ้องเงินสวี่ไม่แยกครอบครัวมาจากอาและน้าสะใภ้ เช่นนั้นนางก็จะถูกกดขี่จากนายหญิงของสกุลสวี่

หลินอันก็หาได้โง่เขลา จึงฟังความนัยของหวางซือมู่ออก

“ซือมู่พูดมาตามตรงเถอะ”

หวางซือมู่เอ่ยเสียงเบาว่า “นายหญิงสกุลสวี่ฝีมือร้ายกาจ หากเข้าไปสกุลสวี่แล้วอย่าได้ปะทะกับนาง เพียงเป็นสะใภ้ตัวน้อยผู้เชื่อฟังจึงจะเป็นการดี หากถูกกฎระเบียบหรือถูกกลั่นแกล้ง อดทนได้ก็ให้อดทน”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หลินอันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกหนักใจอย่างอธิบายไม่ถูก ก่อนเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า

“ท่านกลัวเพียงนี้เชียวหรือ”

หวางซือมู่ถอนหายใจ

“ความสามารถอันน้อยนิดของข้ายังห่างชั้นจากนางนัก ท่านเคยพบสวี่หลิงเยวี่ยหรือไม่”

หลินอันนึกถึงวันที่มีวาสนาได้พบกับสวี่หลิงเยวี่ยครั้งหนึ่งที่หอดูดาว จึงพยักหน้า

“เฉลียวฉลาดรู้ความ กระชดกระช้อย ดูบอบบางอ่อนแอยิ่งนัก”

หวางซือมู่ยิ้มเย็นพลางว่า

“ทั้งหมดนั่นเป็นการเสแสร้งเพื่อหลอกลวงผู้คน สาวน้อยคนนั้นเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ จริงสิ นางหลงใหลในตัวฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นพี่ชายอย่างมาก ในอนาคตเมื่อท่านแต่งเข้าจวนสกุลสวี่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือร่วมมือกับข้า เพื่อทำให้นางแต่งออกไปเสีย หาไม่แล้วจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นความทุกข์ร้อน”

หลินอันราวกับกำลังครุ่นคิด

หวางซือมู่เอ่ยต่อว่า

“ข้าปะทะกับนางในที่ลับหลายครั้งแต่หาได้รับประโยชน์ใด การที่สั่งสอนบุตรสาวเช่นนี้ออกมาได้ นายหญิงสกุลสวี่จะเป็นตะเกียงไม่กินน้ำมันได้หรือ เอ้อร์หลางพรสวรรค์โดดเด่น ว่ากันว่าเพราะนายหญิงสกุลสวี่เป็นผู้เคี่ยวเข็ญให้เขาร่ำเรียนเขียนอ่านตั้งแต่ยังเด็ก

“ท่านต้องรู้ว่าอารองสวี่เป็นเพียงทหารผู้หนึ่ง มิอาจสั่งสอนเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาชนเช่นเอ้อร์หลางออกมาได้ อีกอย่างนะ ข้าได้ยินว่าเมื่อครั้งที่ฆ้องเงินสวี่ยังเด็ก หาได้มีความสมานฉันท์กับอาสะใภ้ เขาถูกนางบังคับขู่เข็ญจนได้แต่ไปอาศัยอยู่เรือนเล็กในละแวกบ้าน ชีวิตลำบากยากแค้นนัก”

หลินอันตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะมีช่วงอดีตที่ไม่น่าจดจำเช่นนี้ด้วย

นางรู้จักสวี่ชีอันดี เขาดื้อรั้นไม่ฟังใครตั้งแต่เป็นมือปราบเล็กๆ แห่งอำเภอฉางเล่อ จนกระทั่งเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่จะกดข่มเขาได้

บุคคลเช่นนี้ถึงกับถูกขับไปอยู่เรือนเล็กเมื่อครั้งเยาว์วัย

หวางซือมู่เอ่ยเสียงเข้มว่า

“แน่นอนว่าเวลานั้นฆ้องเงินสวี่ยังไม่มีอำนาจบารมีจึงต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น ทว่าองค์หญิง หลังจากที่ฆ้องเงินสวี่ประสบความสำเร็จและได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันคิดบัญชีอะไรก็กลับไว้เนื้อเชื่อใจอาสะใภ้ของเขาตลอดจนทั้งครอบครัวเสียอย่างนั้น

“ตอนนี้ท่านทราบแล้วกระมังว่านายหญิงสกุลสวี่ควบคุมคนไว้ในกำมือได้ร้ายกาจเพียงใด”

เวลานี้หลินอันตื่นตระหนกไปครึ่งร่าง สีหน้าหวาดกลัวและเอ่ยตะกุกตะกักว่า

“ข้า ข้าอยู่ดีๆ จะไปยั่วยุนางทำไม แล้วข้าก็ไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วย…”

…หวางซือมู่อ้าปาก อันที่จริงนางอยากกล่าวต่อว่า คิดจะรับมือกับนายหญิงสกุลสวี่ก็ไม่ยาก ขอเพียงพวกเราร่วมมือ และท่านทำตามคำสั่งข้า…

ทว่าเมื่อเห็นองค์หญิงหลินอันไม่ได้ความเช่นนี้แล้ว คำพูดพวกนี้ก็พลันพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น

การเดินเล่นจบลงและได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ทว่าหลินอันผู้หวาดกลัวนายหญิงสกุลสวี่กลับขึ้นนั่งบนรถม้าคันหรูด้วยความในใจเต็มอก และกลับวังหลวงท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเพลาล้อ

ยามนี้ใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว นางไม่ได้กลับตำหนักเส้าอิน แต่ไปยังที่พำนักของพระมารดา

เฉินไท่เฟยจัดสำรับเต็มโต๊ะด้วยอาหารอันโอชะ และกำลังรอให้บุตรธิดาทั้งคู่เข้ามาทานมื้อกลางวัน เมื่อเห็นหลินอันเข้ามาจึงพยักหน้าเล็กน้อย

ความสัมพันธ์ระหว่างสองแม่ลูกค่อนข้างเย็นชาอยู่บ้าง เฉินไท่เฟยดื่มชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า

“หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ไม่ฟังคำพูดข้ามากขึ้นทุกที ข้าในฐานะมารดากลับมิอาจก้าวก่ายได้กระทั่งเรื่องแต่งงานของบุตรสาวตัวเอง”

ตามธรรมเนียมแล้ว เดิมทีท่านก็มิอาจจัดการเรื่องแต่งงานของข้าได้…หลินอันพึมพำในใจพร้อมกับขมวดคิ้ว

“หากเสด็จแม่ไม่พอใจเรื่องการแต่งงานของข้าก็ไปชี้แจงกับเสด็จพี่สิเพคะ มาบอกข้าเพื่ออะไร”

เฉินไท่เฟยแค่นเสียงเย็น

“ไม่จำเป็นหรอก ยายหนูเช่นเจ้ามีใจให้เขา แม่รู้”

เฉินไท่เฟยเพียงแต่ติดใจเรื่องคดีของพระสนมฝูในตอนนั้น ที่เจ้าหนูนั่นเปิดโปงแผนการของนางโดยไม่ไว้หน้าหลินอันเลย ทำให้นางถูกจักรพรรดิองค์ก่อนลดขั้น

“ข้าได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าเขาไม่ได้อยู่ชิงโจว ทั้งไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง บัดนี้ที่ราบตอนกลางโกลาหลหนัก เขาไม่ได้ลงแรงเพื่อราชสำนักแต่กลับวิ่งไปทั่วเพื่ออะไร”

เฉินไท่เฟยบ่น

ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ฝ่าบาทให้เจ้าแต่งกับเขา จะมัดใจเจ้าเด็กแสบนั่นได้หรือไม่…เฉินไท่เฟยพึมพำในใจ หากมิได้เอ่ยออกมาต่อหน้าบุตรสาว

นางยังคงรักทะนุถนอมหลินอัน

ขณะที่พูดจ้ำจี้จ้ำไชอยู่นั้น อาหารก็ลงโต๊ะครบแล้ว สองแม่ลูกรออยู่ครู่หนึ่ง จักรพรรดิหย่งซิ่งก็ไม่มา

เฉินไท่เฟยขมวดคิ้วพลางสั่งว่า

“ฝ่าบาทยังไม่เสด็จมาเสวยพระกระยาหาร ให้คนไปแจ้งตำหนักอันเสินหน่อย”

ขันทีที่รับใช้ในวังขานรับแล้วถอยออกไป หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อก็รีบร้อนกลับมาแล้วเอ่ยว่า

“ฝ่าบาททรงกำลังหารือกับเหล่าขุนนาง บ่าวไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินไท่เฟยหัวใจจมดิ่ง “รู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”

ยามนี้เป็นช่วงอ่อนไหวลมเพลมพัด นางกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

ขันทีเอ่ยว่า

“ได้ยินขันทีที่ตำหนักอันเสินบอกว่า ไม่นานนี้ท่านโหราจารย์ส่งโหรจากสำนักโหราจารย์มาบอกข่าวในวัง ว่าทางทักษิณโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่โชคชะตาพลิกผัน ปีศาจทักษิณยึดคืนภูเขาสือว่านและสร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นใหม่พ่ะย่ะค่ะ”

อาณาจักรหมื่นปีศาจ…เฉินไท่เฟยพลันนึกถึงการมีอยู่ของอาณาจักรหมื่นปีศาจทันที ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ยังคงทรงเสน่ห์ฉาบลอยด้วยความสุข

“ก็คือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ผูกพันธมิตรกับราชสำนักใช่หรือไม่”

ขันทีพยักหน้า

“ดี ดีจริง…”

ใบหน้าเฉินไท่เฟยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางมองมาทางหลินอันแล้วเอ่ยว่า “ไม่นานมานี้ฝ่าบาทยังตรัสว่า หากปีศาจทักษิณผู้นั้นทำไม่สำเร็จ แผนการยับยั้งสำนักพุทธก็ยากจะเป็นจริงได้ สถานการณ์ในที่ราบลุ่มตอนกลางก็จะน่าเป็นห่วง”

หลินอันคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม “ดูจากตอนนี้แล้ว ความกังวลของเสด็จพี่จักรพรรดิคงไม่เกิดขึ้นแล้ว”

เฉินไท่เฟยยินดียิ่งนัก

“สวรรค์คุ้มครองต้าฟ่ง สวรรค์คุ้มครองฝ่าบาท”

หลังจากรออีกเกือบครึ่งชั่วยาม จักรพรรดิหย่งซิ่งก็ย่างกรายมาถึงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อารมณ์ดีอย่างยิ่ง

เฉินไท่เฟยซึ่งกินอิ่มไปครึ่งทางแล้วยืนขึ้นพร้อมยิ้มบาง

“กำลังจะอุ่นสุราอาหารให้ฝ่าบาทพอดีเพคะ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มพลางว่า

“วันนี้ควรค่าแก่การดื่มอย่างสบายใจสักสองสามจอก หลินอันเอ๋ย เจ้าก็ดื่มกับข้าหน่อย”

เขาตบไหล่น้องสาวเบาๆ ท่าทีของเขาแสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับหลินอันเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นดังนั้น เฉินไท่เฟยจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหยั่งเชิงว่า

“ฝ่าบาท ได้ยินว่าซินเจียงตอนใต้เกิดเรื่องหรือเพคะ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มพลางว่า “จะว่าไปแล้ว การที่ปีศาจทักษิณยึดคืนภูเขาสือว่านและตรึงกำลังสำนักพุทธได้ ฆ้องเงินสวี่มีความดีความชอบมากทีเดียว หากไม่ได้เขาเป็นผู้นำ ปีศาจทักษิณคิดจะยึดคืนภูเขาสือว่านก็ไม่ง่ายถึงเพียงนั้นแล้ว”

หลินอันตาเป็นประกาย

เป็นเขาสินะ…เฉินไท่เฟยเกิดความรู้สึกซับซ้อน เมื่อเหลือบมองใบหน้าสดใสของบุตรสาวจึงพลันกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

นิกายสวรรค์

ภูเขาเซียนซานตั้งตระหง่านปกคลุมด้วยเมฆมงคล เสียงกระเรียนวานรดังไพเราะกังวาน

ตำหนักวังหลายแห่งซ่อนเร้นอยู่ระหว่างเมฆหมอกและป่าเขา ในบางครั้งก็มีเสียงระฆังดังผิวแผ่วมาจากวิหารเซียนประหนึ่งสรวงสวรรค์แห่งนี้

เหนือทะเลเมฆา สัตว์ประหลาดซึ่งเป็นอาชาเทพสูงใหญ่ตัวหนึ่งโผล่หัวลงมา

มันก้มมองภูเขาเซียนซานครู่หนึ่ง ก่อนเดินออกมาจากทะเลเมฆา

ร่างกายของมันเหมือนกวางซึ่งปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะสีขาว บนหัวมีเขาคู่หนึ่ง กีบเท้าเกือกม้า หางเป็นงู

รูม่านตาทั้งคู่เป็นขีดตั้ง สีฟ้าครามราวมหรรณพ

……………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท