บทที่ 711 แผนที่อันไร้ค่า

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 711 แผนที่อันไร้ค่า

สำหรับคำถามของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ไป๋ตี้มิได้ตอบทันที เพราะรอช่วงจังหวะของตนเอง

“ข้าไปสักการะเทพเจ้ากู่มาแล้ว เทพเจ้ากู่บอกกับข้าว่า บางทีปรมาจารย์เต๋าคงร่วงหล่นไปแล้ว

“ข้าคิดว่าสิ่งนี้คงไม่เหมาะกับทักษะและความสามารถของปรมาจารย์เต๋า ครั้นไปเยือนที่นิกายสวรรค์มาหนหนึ่ง จึงได้เห็นวิธีการฝึกพลังภายในของนิกายสวรรค์ทั้งหมด ข้าเลยพลันตระหนักได้ว่า บางทีปรมาจารย์เต๋าอาจร่วงหล่นไปแล้ว

“ทั้งเขาและเทพกู่บรรพกาลต่างเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ร่วงหล่นในย่างก้าวสุดท้าย”

ด้านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มีสีหน้าสงบนิ่ง ไร้ข้อสงสัยและไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ดวงตาสีฟ้าดุจทะเลของไป๋ตี้พินิจมองไปที่เขา ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า

“เจ้ารู้ความลับมากมายตามที่คิดไว้จริงๆ ด้วย”

หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายไป๋ตี้ก็ตอบคำถามเมื่อครู่

“จิ่วโจวจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และโลกนี้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่อดีตกาลมา นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองแล้ว

“จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งก่อน ที่ยุคสมัยของเทพมารได้จบสิ้นลง นอกจากเทพเจ้ากู่แล้ว ก็ไม่มีเทพมารองค์ใดที่เกิดขึ้นแล้วจะสามารถอยู่รอดได้

“การเปลี่ยนแปลงเป็นทั้งภัยพิบัติและโอกาส เป็นโอกาสที่พันปีก็ยากจะพบ แต่หากคิดอยากจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายกลางภัยพิบัติ พวกเราก็จำเป็นต้องหาผู้เฝ้าประตู”

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วเอ่ย “ผู้เฝ้าประตู?”

เขาไม่คุ้นชินกับคำนี้ จึงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

ไป๋ตี้พยักหน้า “ถูกต้อง ผู้เฝ้าประตู!

“ยามอดีตกาล ข้าติดตามบิดาท่องยุทธภพไปทั่วจิ่วโจว และได้สักการะเทพมารองค์หนึ่ง รูปลักษณ์ของพระองค์เหมือนดั่งเต่างู งูสามารถมองเห็นจิตใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ส่วนเต่าก็สามารถทำนายความลับสวรรค์ได้ หึๆ วิชาพยากรณ์ในสำนักพ่อมดของพวกเจ้า เกินครึ่งก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระองค์นี่แล”

เดิมทีเผ่ามนุษย์ในสมัยโบราณก็เป็นดั่งมดแมลงที่แสนต่ำต้อย ทว่าภายหลังกลับขยันขันแข็งไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้ จึงค่อยๆ เข้าใจพลังของฟ้าดินทีละก้าว จนริเริ่มสร้างสองแนวทางแห่งการบำเพ็ญอย่างจอมยุทธ์และลัทธิเต๋าขึ้นมา

ในช่วงระหว่างนั้น เทพมารที่เกิดมาพร้อมกับพลังอันน่าหวาดหวั่น ก็กลายเป็นเป้าหมายที่เอาไว้เรียนรู้และศึกษา

ดังตามตำนานที่กล่าวไว้ว่า ช่วงที่จักรพรรดิในอดีตจัดการปัญหาน้ำท่วมนั้น ก็เห็นเทพเจ้าเต่าตนหนึ่งลอยปรากฏบนผิวน้ำ โดยบริเวณกระดองมีลวดลายดูลึกลับพิศวง

และแล้วจักรพรรดิองค์นั้นก็ได้รับการอวยพรเพิ่มพูนปัญญา จนสามารถคิดวิชาพยากรณ์ที่ใช้ในการทำนายเสี่ยงโชคออกมาได้

เผ่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ค่อยๆ เรียนรู้ทีละนิด ค่อยๆ ศึกษาอย่างเจาะลึกทีละก้าว จนถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะแนวทางการบำเพ็ญใดก็ล้วนมีอยู่บนโลก

ส่วนเทพพ่อมดก็ได้สร้างแนวทางการบำเพ็ญของพ่อมดขึ้นมา ทว่าวิชาที่สำนักพ่อมดครอบครองอยู่นั้น เทพอู่หาได้สร้างขึ้นเองทั้งหมดไม่ หรือพูดได้ว่า เทพพ่อมดใช้ประสบการณ์กับวิชาจากบรรพบุรุษ เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและต่อยอด จนสร้างแนวทางการบำเพ็ญของสำนักพ่อมดได้

ก็เหมือนกับปรมาจารย์เต๋า คนรุ่นหลังต่างเรียกเขาว่าเป็นผู้ก่อตั้งแนวทางการบำเพ็ญลัทธิเต๋า ซึ่งแท้จริงแล้วก่อนหน้าปรมาจารย์เต๋า เดิมทีแนวทางการบำเพ็ญวิชาในลัทธิเต๋าก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีผู้ทำการรวบรวมด้านนี้ จึงไม่เคยปรากฏคุณูปการชั้นยอดออกมา

“ยามนั้นเลยเป็นช่วงสิ้นสุดของเทพมาร เทพมารองค์นี้เคยกล่าวไว้ว่า หากการเปลี่ยนแปลงครานี้ไร้ซึ่งผลลัพธ์ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ในครั้งถัดไปก็จะปรากฏผู้เฝ้าประตูขึ้น”

จากนั้นไป๋ตี้ก็เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “หากเจอตัวผู้เฝ้าประตู ก็ฆ่าผู้เฝ้าประตูเสีย ถึงจะกลายเป็นผู้ชนะกลางภัยพิบัติได้”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ ไป๋ตี้ก็พลันหยุดชะงัก แล้วมองไปทางซ่าหลุนอากู่อย่างนิ่งเงียบ

คนดังกล่าวลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเอ่ยว่า

“ถึงข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องการมีอยู่ของผู้เฝ้าประตูมาก่อน แต่เจ้าคาดการณ์ผิดแล้ว เวลาของ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ถูกต้อง มันคือเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีที่แล้วต่างหาก”

ภายในดวงตาสีฟ้าของไป๋ตี้ เป็นรูม่านตาเหมือนดั่งแมวที่เมื่อเจอแสงจ้าก็จะหรี่แคบโดยพลัน

“ความหมายของเจ้าคือ…”

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้ากล่าว “ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทำการปิดผนึกขั้นสูง และได้เลื่อนเวลาของ ‘การเปลี่ยนแปลง’ เมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนเอาไว้ ผู้เฝ้าประตูที่เจ้าว่าคงตายจากไปแล้วกระมัง”

ไป๋ตี้เปิดเผยอารมณ์ผ่านสีหน้าทันใด

“หลังจากกลับแผ่นดินใหญ่ สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เหตุใดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ต้องทำการปิดผนึกขั้นสูงเอาไว้ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว และก็เข้าใจอีกว่าไฉนเทพเจ้ากู่ถึงกล่าวว่า เขาเคยคิดว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คือผู้เฝ้าประตู”

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ไป๋ตี้ก็เอ่ยต่อว่า

“ข้าได้กำจัดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์เต๋าไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งจิ่วโจวในแผ่นดินใหญ่ที่เหลือ ใครคนไหนที่มีความน่าจะเป็นผู้เฝ้าประตูมากที่สุด ข้าก็คิดตัดสินไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังขาดหลักฐาน สาเหตุที่ข้ามาหาเจ้าถึงที่นี่ ก็ต้องการจะพูดเหตุผลมากมายเช่นนี้”

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วขาวเล็กน้อย

“มีสิ่งใดก็ว่ามา”

ไป๋ตี้จึงกล่าวตรงประเด็น

“ข้ากำลังสงสัยว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคือผู้เฝ้าประตู ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ของเจ้าด้วย”

ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าตอบ

“เขาก็เหมือนกับปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ต่างเป็นคนตายไปแล้ว”

“สิ่งนี้แหละที่ข้ากำลังสงสัย เดิมทีข้าอยากจะลองตรวจสอบท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง แต่กลับพบว่าข้อมูลทุกอย่างของเขาได้ถูกท่านโหราจารย์คนปัจจุบันลบทิ้งเสียหมด หากอยากจะคลายข้อสงสัย ก็มีแต่เพียงต้องมาหาเจ้า”

ไป๋ตี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แนวทางการบำเพ็ญคืนชีพของโหรที่มีต่อพ่อมด ในบางแง่มุม ก็ถึงขั้นไว้ใช้สำหรับควบคุมพวกพ่อมด ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเป็นลูกศิษย์เจ้า เจ้ามีความเห็นต่อเขาว่าอย่างไร”

ซ่าหลุนอากู่มองไปยังที่ห่างไกล โดยมีสีหน้าสะเทือนใจเล็กน้อย

“เก่งกาจดั่งเทพประทานพรเชียวล่ะ เขาถึงขั้นสามารถสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหรได้ ซึ่งมันเกินที่ข้าคาดหมายเอาไว้ และข้าก็งงงวยอยู่หลายปีเลย”

ไป๋ตี้พยักหน้าพลางฟังไปด้วย “จากมุมมองของเจ้า มีพรสวรรค์แต่ไม่เพียงพอต่อการก่อตั้งนิกาย จึงสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหรขึ้นแทน และแน่นอนว่า พรสวรรค์ไม่อาจแทนทุกสิ่ง ความสำเร็จของคนคนหนึ่ง ย่อมเกี่ยวพันกับประสบการณ์ที่จะได้รับในอนาคตด้วย”

“สวี่ผิงเฟิงบอกว่า เขาเคยนำพวกพ่อมดในสำนักพ่อมดไปต่อสู้ชิงอำนาจกับจักรพรรดิที่ก่อตั้งต้าฟ่งด้วย”

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้า

“ตอนนั้นปีศาจเดินเท้าเจอเด็กนั่นเป็นครั้งแรกที่จงหยวน เป็นมิตรภาพที่ไม่เลวเลยทีเดียว ต่อมาเจ้าเด็กนั่นคิดอยากจะทำสงคราม แต่ก็ประสบกับความพ่ายแพ้ จนแทบเอาตัวไม่รอด แล้วเขาก็มาขอความช่วยเหลือปีศาจเดินเท้าถึงหน้าประตู โดยบอกว่าขอเพียงสำนักพ่อมดช่วยเขาโค่นล้มต้าโจว และขึ้นปกครองจงหยวน เขาก็จะให้สำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ

“ทั้งยังจะให้สำนักพ่อมดครอบครองชะตากรรมของจงหยวนแต่เพียงผู้เดียว ในตอนนั้นข้าและปรมาจารย์น่าหลันอวี่ต่างก็เห็นด้วยกับความคิดเช่นนั้น จึงตกลงเข้าร่วมกับเขา

“ทว่าเมื่อเขาโค่นล้มฝ่ายนั้นสำเร็จ และก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งได้ ข้าก็ขอให้เขาทำตามสัญญา ที่ว่าให้สำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เขากลับปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ทั้งยังส่งจดหมายมาต่อว่าข้าว่าเป็นคนหน้าหนาไร้ยางอายถึงสามฉบับ

“พูดว่าตัวเองเป็นชาวจงหยวนผู้มีเกียรติ จะทำข้อตกลงกับชนเผ่าอื่นให้เหล่าบรรพบุรุษอับอายได้อย่างไร ข้าจึงเดือดดาลในทันที และเขียนจดหมายติเตียนเด็กหนุ่มที่ไร้ศีลธรรมนั่น จากนั้นเขาก็ตอบกลับมาให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบจัดการเอาเอง”

ไป๋ตี้ถามต่อ “แล้วจากนั้นล่ะ?”

“จากนั้นข้าก็คัดเลือกยอดฝีมือจำนวนสองแสนคนไปจัดตั้งกองกำลังที่ชายแดน หมายจะเคลื่อนทัพบุกเมืองหลวงต้าฟ่ง แต่ถูกปีศาจเดินเท้าขัดขวาง เขาในเวลานั้นระดับพลังได้ก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเริ่มสร้างแนวทางการบำเพ็ญโหรอีก ภายในดินแดนจงหยวนทั้งปวง กระทั่งตัวข้าเองก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

ซ่าหลุนอากู่มองย้อนกลับไปยังในอดีต ช่วงเวลาหกร้อยปีที่ผ่านมา ก็ไม่เหลือความเป็นศัตรูตั้งนานแล้ว มีเพียงแต่ความรู้สึกสะท้อนใจและน่าขบขันเท่านั้น

“สถานการณ์ชัดเจนไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว สำนักพ่อมดสูญเสียอย่างหนักจนตกอยู่สภาวะพูดไม่ออก และทำได้เพียงเท่านี้”

ไป๋ตี้ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า

“ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่รู้สักนิดเลยหรือว่าเขาได้ริเริ่มสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหร? ตอนที่เขาโค่นล้มสำเร็จแล้วก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งกับจักรพรรดิเกาจู่ ก็น่าจะมีพฤติกรรมที่ดูแปลกไปจากเดิมบ้างสิ”

ซ่าหลุนอากู่นึกย้อนความทรงจำที่แสนยาวนาน หกร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายละเอียดต่างๆ หากมิได้ตั้งใจจะจำ แม้มีพลังขั้นหนึ่ง ก็ยากที่จะนึกออกได้ในทันที

“ในปีที่สามของการทำสงคราม เขาเคยเขียนจดหมายมาหาข้า ถามหลายคำถามที่ดูแปลกๆ ซึ่งมีอยู่คำถามหนึ่งที่ทำให้ข้าในตอนนั้นถึงกับประหลาดใจขีดสุด เขาพูดว่า บรรดาจักรพรรดิแห่งดินแดนจงหยวนในอดีตล้วนนำดวงชะตาติดตัวทั้งสิ้น แล้วเคยมีใครเคยนำชะตาบ้านเมืองติดตัวบ้างหรือไม่?”

ซ่าหลุนอากู่กล่าวเสียงเคร่งขรึม

“การบำเพ็ญของสำนักพ่อมดจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาอยู่แล้ว เขาไม่น่าจะถามคำถามเช่นนี้ ข้าจึงเขียนจดหมายหาเขาว่าเหตุใดถึงถามเช่นนี้ เขาก็บอกว่าตอนนั้นได้พูดคุยประเด็นนี้กับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อในเชิงลึก เลยตื่นเต้นจนแสดงอาการออกมาเท่านั้น จนถึงตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือไม่ แต่นั่นคงเป็นครั้งแรกที่เขาปะติดปะต่อปัญหาเกี่ยวกับโชคชะตาได้

“หลังจากนั้น ข้าก็ได้ยินมาว่าเขาสามารถสร้างวิชาหลอมอาวุธได้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวเรื่องนี้มากขนาดนั้น เพราะด้วยความสามารถของเขา จะสร้างสิ่งใดสำเร็จก็มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

ไป๋ตี้ก็พูดขึ้นว่า

“วิชาหลอมอาวุธนั่น ก็คือวิชาเล่นแร่แปรธาตุในปัจจุบันสินะ เวลานั้นเขาคงสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหรสำเร็จไปแล้ว”

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้าตอบไร้เสียง

“สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกงงงวยมานานหลายปี การเปลี่ยนไปของเขารวดเร็วมาก มากเสียจนดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

ไป๋ตี้เอ่ยด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าเก่า

“ดังนั้นแล้ว ข้าจึงคาดเดาว่าเขาคือผู้เฝ้าประตูไงเล่า เขาได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ถึงสามารถสร้างแนวทางบำเพ็ญของโหรได้ในระยะสั้นๆ เพียงสิบปี และยังก้าวเข้าสู่ระดับพลังขั้นหนึ่งอีก ทุกครั้งที่จักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งทำสงครามล่าอาณาเขต พลังของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“หากเขาคือผู้เฝ้าประตู เช่นนั้นก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้แล้ว ตั้งแต่ปรมาจารย์เต๋าหายตัวไป ผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นหรือยอดฝีมือเหนือมนุษย์ก็เปลี่ยนไปในแต่ละยุค มีแต่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคนเดียวเท่านั้นที่ดูผิดแปลกเป็นพิเศษ”

ภายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของซ่าหลุนอากู่พลันสั่นไหว ก่อนจะส่ายหน้าตอบว่า

“แต่เจ้าไม่มีคำอธิบายว่าเหตุใดเขาถึงตายแล้วหายสาบสูญไป ซึ่งข้าก็มั่นใจแน่นอนว่าเขาตายจริงๆ”

ไป๋ตี้จ้องมองเขา แล้วกล่าว

“ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะได้คำตอบไปแล้วนะ”

ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ

“เจ้าคลายข้อสงสัยที่รบกวนข้ามานานหลายปีแล้วล่ะ”

ไป๋ตี้กล่าวเสียงทุ้ม “ข้าเองก็เช่นกัน”

มันพยักหน้าให้ซ่าหลุนอากู่เล็กน้อย ก่อนจะเปล่งแสงดุจยามกลางวันแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้า หลบเข้าหมู่เมฆและหายตัวไป

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ณ ชิงโจว ค่ายทหารกลุ่มก่อกบฏ

สวี่ผิงเฟิงกำลังก้มลงมองแผนที่จงหยวนกับชีก่วงป๋อ ทันใดนั้นก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงนำเกล็ดสีขาวหนึ่งแผ่นออกจากแขนเสื้อ

เกล็ดนี้มีรุปร่างดั่งโล่ มันวาวอย่างโลหะ และดูแข็งแรงทนทาน โดยมันกำลังกะพริบเปล่งแสงสีขาวจางๆ

สวี่ผิงเฟิงวางเกล็ดบนฝ่ามือ แล้วพูดขึ้นว่า “ว่าไง?”

เกล็ดสีขาวส่องแสงสีขาวกะพริบวูบวาบ แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำของไป๋ตี้ดังลอดออกมา

“ข้าตกลงกับคำขอของเจ้า”

เมื่อกล่าวจบ แสงบนเกล็ดก็บรรจบเข้าหากันที่จุดรวม และแปรสภาพดูเรียบๆ ไร้ซึ่งความโดดเด่น

สวี่ผิงเฟิงก็เก็บเกล็ดที่ได้มาจากวัดไป๋ตี้ที่อวิ๋นโจว หันไปหาชีก่วงป๋อ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“โอกาสมาแล้ว!”

ชีก่วงป๋อยิ้มแย้ม ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือประหลาดใจ ราวกับว่าทุกอย่างได้อยู่ในการควบคุมของเขา

สวี่ชีอันที่กำลังบังคับเรือล่องอยู่กลางมหาสมุทร ด้านมู่หนานจือก็นั่งอยู่ตรงหัวเรือ โดยให้กระโปรงบานดั่งบุปผา พลางเอาสองมือวางทาบบนแก้ม ขมวดคิ้วกล่าว “เบื่อหน่อยๆ แล้ว”

จะให้ตกปลาไปตลอดก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเบื่อเอา

“เช่นนั้นเจ้าก็เล่นหมากรุกกับไป๋จีสิ”

สวี่ชีอันถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือพลาง ‘หยอกเอิน’ หลี่เมี่ยวเจินและเอาใจมู่หนานจือในเวลาเดียวกัน

มู่หนานจือเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ความหมายของข้าก็คือ เจ้าเร่งกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ? เห็นชัดๆ ว่าสามารถเหาะบินได้ แล้วเหตุใดจึงไม่บิน”

สวี่ชีอันมองด้านข้างนางปราดหนึ่ง บริเวณเรือไม้ปรากฏต้นอ่อนแตกหน่อออกมาสองสามต้น

“เบื่อถึงขนาดที่ให้ต้นอ่อนแตกหน่อเลยหรือ?”

เทพดอกไม้กลอกตาอย่างอารมณ์ไม่ดี แม้จะมีแสดงท่าทางไม่พอใจก็ยังดูงามกว่าสิ่งใดในโลก

“โลกโลกีย์สับสนวุ่นวาย ไม่ง่ายที่จะสงบใจลงได้ ข้ากำลังคิดใคร่ครวญอยู่ว่าในอนาคตพวกเราจะไปอยู่เมืองหลวง หรือหาดินแดนในอุดมคติสักแห่ง แล้วใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่าย”

มู่หนานจือใบหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะรีบอุทาน ‘ถุย’ ออกมา แล้วแสร้งทำเป็นโกรธ

“ใครมันจะอยากไปใช้ชีวิตเรียบง่ายกับเจ้ากัน”

ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันนั่งลงกะทันหัน พร้อมทำสีหน้าน่าเกลียดนิดหน่อย

มู่หนานจือตกใจ “เจ้า เจ้าจะทำอะไร…”

สวี่ชีอันโบกมือ “เจ้าอย่าเพิ่งพูด”

เขาทำสีหน้าจริงจังพลางเขียนข้อความ

‘เมี่ยวเจิน เจ้าไม่เข้าใจลายเส้นเหล่านั้นที่ข้าบอกกับเจ้าเลยหรือ? ’

จากนั้นสวี่ชีอันก็อธิบายเรื่องแผนที่ของตระกูลไฉให้นางฟัง

หมายเลขสอง ‘ทำไมข้าต้องเข้าใจด้วยล่ะ แปลกพิลึกน่างงงวยแบบนี้ เจ้าหลี่หลิงซู่หมายเลขสอง เจ้าอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับเมืองหลวงมาแต่งงานกับองค์หญิงหลินอัน’

สวี่ชีอันไม่สนใจนาง แล้วจบบทสนทนาส่วนตัวนี้ลง

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มบทสนทนาส่วนตัวกับหลี่หลิงซู่ ทว่าหลี่หลิงซู่ชักช้าไม่ยอมคุย จนทนเสียงหึ่งๆ ที่ดังก้องอยู่ในสมองไม่ไหว จึงจำใจคุยด้วย

หมายเลขเจ็ด ‘มีเรื่องอะไร!’

เทพบุตรทำท่าทีหงุดหงิดอย่างจำใจ ไม่ยินดีจะคุยส่วนตัวกับเขา

หมายเลขสาม ‘เจ้าเข้าใจภูมิลักษณ์หรือเปล่า?’

หมายเลขเจ็ด ‘พอเข้าใจอยู่ นิกายสวรรค์มีความเกี่ยวข้องกับตำราจดบันทึก แต่ภูมิลักษณ์ที่พูดถึง นิกายปฐพีเข้าใจมากที่สุด’

ความรู้ของหลี่หลิงซู่มีมากกว่าหลี่เมี่ยวเจิน ในช่วงแรกที่สวี่ชีอันรวบรวมภูมิลักษณ์ เทพบุตรก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะเขารู้ว่าภูมิลักษณ์เป็นสิ่งของแบบใด

หมายเลขสาม ‘จินเหลียนเจ้าบ้านั่น ปิดกั้นนานขนาดนี้ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้า…’

ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็อธิบายเรื่องแผนที่ตระกูลไฉให้หลี่หลิงซู่ฟังอย่างละเอียด ถึงขั้นวาดภาพในหนังสือปฐพีสองสามรูป

หมายเลขเจ็ด ‘นี่คือภูมิลักษณ์แห่งฟ้าดินหรือ? อืม…เจ้าไม่พูดให้มันชัดเจนเล่า เทพบุตรยังไม่เข้าใจเลย’

จากนั้นสวี่ชีอันก็จบบทสนทนาส่วนตัวไปอย่างเงียบๆ

ทั้งมังกรหลับและหงส์อ่อน[1]แห่งนิกายสวรรค์ต่างยังไม่รู้เลย แล้วทำไมหัวหน้าเผ่าซือกู่คนก่อนถึงเดาออกว่าสัญลักษณ์ลายเส้นเหล่านี้คือภูมิลักษณ์แห่งฟ้าดิน…สวี่ชีอันนวดคลึงหว่างคิ้ว

สวี่ผิงเฟิงเคยไปเผ่าพันธุ์กู่มาก่อน และเคยเห็นม้วนแผนที่ในมือของเผ่าซือกู่

สวี่ชีอันคาดเดาออกมาโดยพลัน ซึ่งเขาทำการคาดเดาจากสัมพันธไมตรีระหว่างผู้เฒ่าเทียนกู่และสวี่ผิงเฟิง

ด้วยสัมพันธไมตรีระหว่างเขากับผู้เฒ่าเทียนกู่ หากจะขอยืมแผนที่ มีหรือที่หัวหน้าเผ่าซือกู่คนก่อนจะปฏิเสธ?

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากคาดเดาตามช่วงลำดับเหตุการณ์ สวี่ผิงเฟิงคงเห็นแผนที่ในมือเผ่าซือกู่ก่อน จากนั้นก็ไปตามหาม้วนแผนที่ยังตระกูลไฉ

บ้าเอ๊ย! ม้วนแผนที่นี้ไร้ค่าเสียจริง

………………………………………….

[1] มังกรหลับและหงส์อ่อน เป็นคำที่ปรากกฎขึ้นในวรรณกรรมสามก๊ก เปรียบเทียบว่าผู้มีความคิดสติปัญญาเฉียบแหลม ซึ่งมังกรหลับเป็นฉายาของขงเบ้ง และหงส์อ่อนเป็นฉายาของบังทอง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท