บทที่ 714 ลมปราณที่คุ้นเคย

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 714 ลมปราณที่คุ้นเคย

ดวงตาหลี่หลิงซู่พร่างพราว เขาถูมืออย่างตื่นเต้น

“พี่หยางมีแผนดีอะไรรึ?”

สำหรับทางด้านคนสนิทชิดเชื้อ หลี่หลิงซู่กลับรู้สึกสิ้นหวังชั่วขณะ แม้นองค์หญิงแห่งวังหลวงผู้งามเพริศพริ้งไม่ได้เอื้อนเอ่ย แต่ลำพังหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งและลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ ก็ทำให้เขายอมสงบปากสงบคำได้แล้ว

เมื่อได้ยินหยางเชียนฮ่วนรำพึงรำพันถึงการปราบปรามสวี่ชีอัน เทพบุตรจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้าง

หยางเชียนฮ่วนยกถ้วยชา พลางเชยม่านหมวกเหวยเม่า ทั้งฉู่ไฉ่เวยและหลี่หลิงซู่โน้มตัวเข้าหากันทันที พยายามลอบมองใบหน้าที่แท้จริงของเขา

…หยางเชียนฮ่วนค่อยๆ วางถ้วยชาลง ไม่ยอมจิบชาอีก

‘แค่กๆ!’ เทพบุตรจึงกระแอมไอ “เชิญพี่หยางต่อเถิด”

ความรู้สึกเสียดายสะท้อนผ่านสีหน้าเขาและฉู่ไฉ่เวย

แม่นางทั้งสามด้านข้างมีสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจการกระทำของหลี่หลิงซู่และแม่นางชุดเหลือง

หยางเชียนฮ่วนหันหลังให้คนอื่นๆ พลางกล่าว

“จริงๆ แล้ว สิ่งที่สวี่ชีอันทำก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนฉาบฉวยเท่านั้น คนรุ่นข้า สนใจแต่ชื่อเสียงชั่วลูกชั่วหลาน หาใช่ชื่อเสียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่ ต่อให้พวกลัทธิขงจื๊อจะเกลียดชังเขา แต่พวกเขาก็มีคำพูดที่ดี

“สุภาพชนต้องเริ่มจากสร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์ รังสรรค์ถ้อยคำ เหล่านี้ต่างหากถึงเรียกว่าอมตะ แล้วเหตุใดข้าต้องมาชิงดีชิงเด่นกับสวี่หนิงเยี่ยนเพียงฉาบฉวยด้วย?

“ข้าต้องการถูกจดจำไปตลอดกาล เป็นบุคคลผู้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนเร่าร้อนขึ้นมา

“พี่หลี่ ตอนนี้ศูนย์กลางเกิดจลาจลครั้งใหญ่ กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวออกอาละวาด เหล่าคนพลัดถิ่นต่างลุกฮือทั่วทุกหนแห่ง ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนี้จะถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ หากข้าอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย จะรวบรวมคนพลัดถิ่นไล่ต้อนฝูงกวางออกจากใจกลางประเทศ

“หากปราบปรามกลุ่มกบฏได้ในที่สุด ก็จะคืนความสว่างไสวให้แก่ศูนย์กลาง ราชสำนักจะกลับมาสงบสุขและรุ่งโรจน์ นามของข้าหยางเชียนฮ่วนจะกดทับสวี่ชีอันหมาขโมยตัวนั้นอย่างแน่นอน”

“เพื่อให้สวี่หนิงเยี่ยนผู้ฉกฉวยโอกาสไปจากข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้รู้บ้าง ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง”

เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยกตนเป็นจักรพรรดิโดยตรงเลยเล่า หากปราบกบฏได้? เมื่อถึงเวลาอย่าว่าแต่สวี่ชีอันเลย ท่านโหราจารย์อาจารย์ของข้าก็คงไม่ทัดเทียมเจ้าได้…หลี่หลิงซู่รู้สึกวูบโหวงในท้อง

เมื่อจ้าวซู่ซู่ได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจในทันที ศิษย์พี่หยางจากสำนักโหราจารย์ผู้นี้กับฆ้องสวี่เงินมีช่องโหว่ ดูเหมือนจะถูกฆ้องเงินสวี่ฉวยโอกาสไป

ดังนั้นพี่หยางจึงต้องการแก้แค้น

แต่พอฟังแล้วก็แปลกๆ ถ้าต้องการแก้แค้น ไม่ใช่การจัดการกับฆ้องสวี่เงินหรอกรึ?

ฟังไปฟังมา มีแต่ต้องการโดดเด่นและมีชื่อเสียงมากกว่าฆ้องเงินสวี่ นี่เป็นการแก้แค้นแบบใดกันแน่?

จ้าวซู่ซู่มองศิษย์น้องทั้งสองคน ก็พบความสับสนเช่นเดียวกันสะท้อนในดวงตาของพวกนาง

“ถ้าหากสร้างชื่อเสียงและกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ห้าวหาญ ศิษย์พี่หยางก็จะถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์ มีชื่อเสียงตลอดไปตราบนานเท่านาน”

แม้นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางจ้าวซู่ซู่ยิ้มขณะเอ่ยประโยค

เรื่องที่นางพูดนั้นเป็นความจริง ตามโบราณกาล เหล่าผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะล้มเหลวอย่างหนักหรือประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ล้วนถูกจารึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์

‘แปะ แปะ แปะ!’

ฉู่ไฉ่เวยปรบมือ เลื่อมใสให้กับความปราดเปรื่องของศิษย์พี่ตน

หลี่หลิงซู่ลังเลเล็กน้อย

“แผนนี้ของพี่หยางไม่มีแย่ วีรบุรุษมักฉวยโอกาสจากความโกลาหล ด้วยการบำเพ็ญและวิธีการของพี่หยาง คิดจะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์นั้นไม่ยาก”

หยางเชียนฮ่วนฟังความเห็นชอบจากทุกคน ยิ่งยกยอสติปัญญาตนและมีความมั่นใจมากขึ้น

“อย่างไรก็ตาม หากคิดจะกำราบสวี่ชีอัน ก็ต้อง…” หลี่หลิงซู่สั่นหัวเบาๆ

“พี่หยางเจ้าอาจจะยังไม่รู้…”

หยางเชียนฮ่วนลอบคิดในใจ ‘รู้อะไร?’

หลี่หลิงซู่เอ่ย

“สวี่ชีอันร่วมมือกับปีศาจทักษิณ ขับไล่นิกายพุทธออกจากภูเขาสือว่าน เมื่อปีศาจทักษิณกลับสู่อาณาจักร อาณาจักรหมื่นปีศาจก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอที่จะถูกเขียนจารึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในจิ่วโจวและฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของศูนย์กลาง ถือเป็นผลงานที่ถูกกำหนดให้จารึกเป็นประวัติศาสตร์เพื่อจดจำไปตลอดกาล

“พี่หยางคิดจะกำราบเขา มันยากเหมือนแตะขอบฟ้าเลยนะ”

พูดจบ เขาก็พบว่าหยางเชียนฮ่วนนั่งเงียบงัน ความเงียบนั้นเหมือนกับเด็กน้อยน้ำหนักร้อยหกสิบจิน

พวกจ้าวซู่ซู่อีกทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไร บนใบหน้าสะท้อนความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าพวกนางจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของศิษย์พี่หยางผู้นี้ที่ไหลรินกลายเป็นกระแสน้ำ

ณ เกาะหนอนไหม

ท่ามกลางหุบเขา อบอวลด้วยหมอกควัน แสงแดดส่องไม่ถึง ลมทะเลไม่พัดผ่าน

“หนอนไหมเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมากชนิดหนึ่ง ใยไหมที่มันคายออกมา พันธนาการได้กระทั่งจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรม และเป็นพิษอย่างมาก”

สวี่ชีอันจับมือมู่หนานจือ เดินเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง พลางมองลงไปยังร่องลึกอันมืดมิด

“หนอนไหมชนิดใดกันที่กินขั้นเหนือมนุษย์ได้ ข้าว่าเจ้าคงมิวายปั้นเรื่อง เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานเท่านั้น” มู่หนานจือบึนปาก พร้อมกระชับกอดจิ้งจอกขาวตัวน้อย เขย่งปลายเท้ามองลงไปในหุบเหวลึก

แม้ปากจะพูดบ่นอย่างไม่เชื่อ แต่สีหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

สวี่ชีอันออกแรงฟาดบั้นท้ายงามงอน ทำให้นางเซจนเกือบตกลงไปในหุบเหวลึก

“สวี่หนิงเยี่ยน! มาสู้กับข้าสักตั้งเลยสิ…”

นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ สีหน้าตื่นตระหนกของมู่หนานจือเริ่มซีดเผือด ขณะโยนไป๋จีทิ้ง พลางแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขาพร้อมสู้ตาย

“อยากไปหลบในเจดีย์พุทธะรึ?”

สวี่ชีอันเชิดหน้าขึ้น ไม่ปล่อยให้นางคว้าใบหน้าตนพร้อมยิ้มตาหยีเอ่ยถาม

มู่หนานจืออารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางอยากจะหาเรื่อง แต่ก็กลัวเล็กน้อย

“ถ้าเห็นท่าไม่ดี ข้าจะจับเจ้าเข้าไปในเจดีย์”

“อ่า ก็ได้…”

สวี่ชีอันคว้าเอวคอดบางของเทพธิดาดอกไม้ กระโดดเข้าไปในหุบเขา

หมอกควันพิษลอยปะทะใบหน้าพวกเขา แต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งสองได้แม้แต่น้อย ตลอดทางเดิน สวี่ชีอันสูดดมควันพิษมากเกินไป จนตู๋กู่อิ่มเรียบร้อยแล้ว กระทั่งตอนนี้ก็เสียดายนิดหน่อย

เพราะควันพิษในหุบเขารุนแรงและซับซ้อนกว่าด้านนอก

อุ้งเท้าทั้งสองข้างของไป๋จียกขึ้นปิดจมูกสีชมพูไว้แน่น แม้ว่าร่างกายนางจะถูกฝังด้วยจื่อกู่จากตู๋กู่ จื่อกู่จึงดูดซับพิษแทนนาง

‘กร๊อบ!’

ทั้งสองค่อยๆ หยุดปลายเท้า ใต้ฝ่าเท้าเกิดเสียงกรอบแกรบดังขึ้นมา นั่นคือซากโครงกระดูกไม่น้อย

สวี่ชีอันกวาดมองรอบๆ ทั้งหุบเขามืดมิดเป็นสีดำ ซากกระดูกอันน่าอนาถมีอยู่ทั่วทุกแห่ง เหมือนกองขยะถูกทิ้งไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นซากนกและปลา ส่วนพวกสัตว์มีจำนวนน้อย

กระดูกมนุษย์แทบจะไม่เห็น บริเวณนี้ตั้งอยู่แทบทะเลซินเจียงตอนใต้ เดิมทีซินเจียงตอนใต้เป็นดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจ จะไม่มีเรือประมงของมนุษย์แล่นที่นี่

“ไหมอเวจีอยู่ที่ไหน?”

มู่หนานจือหันหน้ามอง รอบบริเวณเงียบสงัด แม้แต่เงาผีก็ไม่มี

ใบหูสวี่ชีอันขยับเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาแล้ว!”

เขาได้ยินเสียงดิ้นขลุกขลัก คืบคลานเข้ามาอย่างรุนแรง

ครู่ต่อมา ไอคลุ้งเหมือนหมอกควันด้านหน้า จู่ๆ ก็สั่นไหว ตามด้วยลำแสงสีดำพวยพุ่งผ่านหมอกออกมาจากส่วนลึก

‘ฟึ่บ!’

สวี่ชีอันดึงมู่หนานจือถอยมา ลำแสงสีดำนั้นยึดพวกเขาไว้บริเวณเดิม มันเป็นม้วนไหมเคลือบเมือกสีดำ ส่วนตัวเส้นไหมมีสีเทาอ่อน

ไม่น่าใช่อย่างที่คิด…สวี่ชีอันเหลือบมองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ใยไหมอเวจีที่ตนตามหา

เขาสูดลมเข้าลึกจนพวงแก้มป่องนูน ก่อนจะเป่าลมอย่างแรง

เพียงเป่าลมออกมาชั่วขณะ หมอกควันในหุบเขากระจายตัวในทันใด จากนั้นหมอกควันลอยโอนเอนในระยะไกลๆ ก็พัดกลับมาเติมเต็มช่องว่าง

จากทัศนวิสัยชัดแจ๋ว สวี่ชีอันและมู่หนานจือมองเห็นศัตรูตรงเบื้องหน้า มันเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหนอนสิบกว่าตัว

ผิวของพวกมันเป็นสีมืดคล้ำ ส่วนบนคือมนุษย์ ส่วนล่างเป็นลำตัวหนอนอันอวบอั๋น

ทั้งชายและหญิงต่างไม่ได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์

ใบหน้าไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์มากนัก แต่มีนัยน์ตาดุจอัญมณีสีดำ ไม่มีตาขาว ทั้งยังมีเขี้ยวเล็กๆ สองซี่ยื่นออกมา

หากแต่จะพูดถึงใบหน้าทั้งห้าประการล่ะก็ กลับกลายเป็นหนุ่มหล่อสาวสวย หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว

“เลือดข้นจัง!”

“ของอร่อยยกมาถึงหน้าประตูเลยนะ กรรซ์…”

“ข้าอยากกินเครื่องในเขา เครื่องในเขาต้องอร่อยที่สุดแน่”

“เอ๊ะ หญิงงามข้างกายเขาก็มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก”

“กินสิ กินเลย กินพวกเขาซะสิ ฮ่าๆๆ”

“ข้ากลับอยากเห็นพวกเขาร้องขอความเมตตาเสียมากกว่า”

ไหมอเวจีพูดคุยกันอย่างออกรส มองมาที่เหยี่อทั้งสองที่พาตัวเองติดอยู่บนใยไหม สำหรับไป๋จีที่รูปร่างเล็กจนเกินไปจึงถูกเมิน

แน่นอนว่าเสียงของพวกมัน ในโสตประสาทหูสวี่ชีอันและมู่หนานจือเป็นเพียงเสียงคำรามที่ไร้ความหมาย

ข้าคิดว่าไหมอเวจีจะเป็นหนอนชนิดหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นมนุษย์ครึ่งหนอน ถ้าอึเสร็จพวกมันจะหันกลับไปเช็ดก้นได้หรือเปล่า? แม้ว่าจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ ต้องมีความแข็งแกร่งที่มากกว่าอยู่เบื้องหลัง…สวี่ชีอันชี้นิ้วราวกับดาบ เคาะที่หว่างคิ้ว

เกิดแสงสีทองสว่างวาบ ก่อนว่ายวนเวียนอย่างรวดเร็ว ย้อมร่างทั้งร่าง

วงแหวนเพลิงด้านหลังปะทุขึ้น ตามด้วยไอร้อนระอุแผดเผา

“ไม่ธรรมดา นั่นมันพลังเหนือมนุษย์!”

ไหมอเวจีตัวตรงหน้ากรีดร้อง หันหัวแล้ววิ่งฉิว

ไหมอเวจีที่เหลืออยู่แตกฮือกลายเป็นนกและสัตว์ร้าย กระโจนหนีเข้าไปในส่วนลึกหุบเขา

“จะหนีไปไหนล่ะ?”มู่หนานจือกะพริบตาปริบๆ ผิดหวังเล็กน้อย

“นี่ไม่เหมือนกับที่เจ้าเคยบอกเลย หลอกข้าอีกแล้ว”

เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่ทำให้ตนกลัว นางจึงฟึดฟัดเตะสวี่ชีอันไปที

“อย่ารีบสิ ปล่อยเหยื่อตัวเล็ก หลอกล่อตัวใหญ่มาอย่างไรเล่า”

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ขณะพูด เขาจงใจปล่อยลมปราณระดับบรรลุธรรมออกมา วงแหวนแห่งเพลิงกำลังลุกโชน ปล่อยไอร้อนทำให้ช่องหุบเขาแตกกระจายเป็นเสี่ยง

มู่หนานจือเพียงแค่รู้สึกร้อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ตอบสนองต่อความกดดันจากจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ กลับกันไป๋จีซึ่งสั่นสะท้านราวกับนกกระทาที่หดตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง

คล้อยหลังชั่วสิบลมหายใจ มู่หนานจือก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้ฝ่าเท้า ตามด้วยเสียงการเคลื่อนไหวของก้อนหินขนาดใหญ่ที่ดังขึ้นในระยะไกล เหมือนภูเขาถล่ม

ภายใต้การรับรู้ของสวี่ชีอัน ลมปราณที่น่ากลัวและกดดันผุดลอยขึ้นจากพื้นดิน ตรงมาทางนี้

เมื่อหมอกหนาแยกตัวและรวมตัวกันอีกครั้ง เงาร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เงาจางค่อยๆ เด่นชัดขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคือสัตว์ประหลาดขนาดมหึมา ร่างกายท่อนบนเป็นหญิงชราที่มีผิวหนังหย่อนคล้อย

ส่วนท่อนล่างเป็นไหมอ้วนอวบ

แตกต่างจากไหมอเวจีสีเทาที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้ สีผิวของหนอนไหมตัวเขื่องนี้ดำมืดเหมือนคืนเดือนดับ

เมื่อเทียบกับไหมอเวจีตัวนี้ สวี่ชีอันและมู่หนานจือเล็กลงเหลือตัวเท่ามด

“เจ้าเป็นใคร?”

ไหมอเวจีพ่นสำเนียงแปลกๆ ออกมา เพื่อหยั่งเชิงสวี่ชีอัน

ในสายตาของมัน สวี่ชีอันนอกเสียจากเลือดเนื้อที่ทรงพลังแล้ว พลังปราณยากจะคาดเดาได้ ภายในร่างยังมีลมปราณที่คุ้นเคยด้วย

ดวงตาสีดำดุจอัญมณีคู่นั้น ตรึงไว้ที่สวี่ชีอันเป็นเวลานาน จากนั้นสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้น

“พวกกู่!”

ไหมอเวจีตัวนี้อยู่ระดับเหนือมนุษย์ แข็งแกร่งกว่าขั้นสาม แต่ไม่ถึงกับเข้าสู่ขั้นสอง…มันพูดภาษาอะไร? ฟังแล้วไม่เหมือนเสียงกู่ร้องที่ไร้ความหมาย…สวี่ชีอันรู้ว่านี่คือสิ่งที่จิ้งจอกเก้าหางบอก ไหมอเวจีตัวจริง

หนอนไหมที่กินสิ่งมีชีวิตระดับเหนือมนุษย์ได้

หากต้องการฆ่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นต้องให้มู่หนานจือและไป๋จีเข้าไปอยู่ในเจดีย์พุทธะเสียก่อน ทว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้มันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ สติปัญญาก็สูง หากทำการบุ่มบ่ามอาจล่มเรือในรางน้ำ…สวี่ชีอันคิด ขณะอัญเชิญเจดีย์พุทธะขึ้นมา

“เจ้าเป็นกู่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เรื่องระหว่างเจ้ากับเทพมาร ทำอะไรกับลูกหลานของเราไว้!”

ไหมอเวจีตวาดถามเสียงกร้าว เมื่อเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์นี้อัญเชิญเจดีย์เรืองแสงขึ้นมา มันงอตัวลงทันทีพร้อมกับท้องน้อยบวมเป่ง ราวกับว่ากำลังให้กำเนิดบางสิ่ง

สถานการณ์ทั้งสองฝ่ายต่างตึงเครียด

ขณะเดียวกันนี้ ไป๋จีในอ้อมกอดมู่หนานจือเอ่ยกระซิบ

“มันพูดภาษาเทพมาร”

ภาษาเทพมาร? สวี่ชีอันยังคงย่อตัวลง พลางเอ่ยถาม

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ไป๋จีเอ่ยตอบ “ข้าต้องรู้แน่นอน ข้าก็ใช้ภาษาเทพมารได้เหมือนกัน”

อย่าว่าแต่สวี่ชีอัน มู่หนานจือเองก็ตกใจเช่นกัน ในความทรงจำของนาง ไป๋จีคือจิ้งจอกตัวน้อยที่เอาแต่ร้องไห้ทั้งวัน

“องค์หญิงพูดภาษาเทพมารได้นะ ข้าเรียนรู้จากนางตอนข้าเพิ่งเกิด พวกพี่สาวคนอื่นๆ เรียนไม่ไหว มีแต่ข้านี่แหละที่เรียนเข้าใจ”

ไป๋จีเงยหน้าขึ้น

ดูซิ ทำให้เจ้าภูมิใจสินะ…สวี่ชีอันคิดครู่หนึ่ง พลางเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมันทีว่า ข้ามาเพื่อขอไหม ต้องใช้อะไรแลกเปลี่ยน?”

ถ้าหากใช้วิธีเจรจาเพื่อไหมอเวจี แบบนี้ต้องดีกว่าการเสียเลือดเสียเนื้อ

เมื่อไป๋จีได้ยิน นางพยักหน้ายืดคอเปล่งเสียงสำเนียงแปลกๆ ใส่ไหมอเวจี

ไหมอเวจีซึ่งพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ เมื่อได้ยินภาษาเทพมารที่คุ้นเคยก็รู้สึกประหลาดใจ หลังจากฟังอย่างอดทน มันก็เงียบไปชั่วขณะ แล้วกล่าว “แค่ไหมรึ? จิ้งจอกน้อย เจ้าให้เขาตอบข้าก่อนสิ เขาเกี่ยวอะไรกับกู่”

ไป๋จีแปลคำไหมอเวจี

“เจ้าบอกมัน ข้าเพียงแค่ได้รับพลังกู่มาเท่านั้น” สวี่ชีอันเอ่ย

หลังจากฟังคำแปลจากจิ้งจอกขาวตัวน้อย ไหมอเวจีจึงไม่ลังเลหยิบยื่นเงื่อนไขว่า

“ข้าต้องการแก่นโลหิตของเจ้า ไม่เยอะหรอก เพียงแค่สามหยดเท่านั้น”

เห็นได้ชัดว่ามันรู้ถึงความแข็งแกร่งของสวี่ชีอัน และคิดว่าหากใช้วิธีแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ต้องการ เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือสักนิด

หน้าท้องของไหมอเวจีบวมเหมือนลูกบอล ขยับขึ้นเล็กน้อยผ่านช่องอก ลำคอและในที่สุดก็พ่นออกมา

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ…เส้นไหมเรียวยาวสีดำบริสุทธิ์กระจัดกระจายทั่วท้องฟ้า ก่อนตกลงในหุบเขา ติดอยู่กับกำแพงหิน ปล่อยก๊าซพิษที่ฉุนออกมา

หลังจากคายเส้นไหมแล้ว มันหอบหายใจเบาๆ และใช้เวลาอยู่นาน

อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้ และไม่เกรงกลัวเผ่าพันธุ์มนุษย์จะกลับกลอก

เส้นไหมอเวจีมีสีเข้ม มีพิษรุนแรง เหนียวแน่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ สามารถใช้เป็นทางผ่านสู่ขุมนรก เพื่อเจอกับภูตผีได้ ในหัวสวี่ชีอัน ผุดความคิดแวบแรกเกี่ยวกับบันทึกของไหมอเวจี

สิ่งนี้มาจากเคล็ดลับ ‘วัสดุศาสตร์’ จากสำนักโหราจารย์

สวี่ชีอันแบฝ่ามือ เกิดลมพายุหมุนบนฝ่ามือ ดึงเอาเส้นไหมอเวจีลอยขึ้นมาในฝ่ามือ

เขาใส่เส้นไหมอเวจีลงในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จากนั้นจึงทำตามข้อตกลงด้วยการเรียกกระบี่สยบดินแดนออกมา กรีดข้อมือตน พลางบีบโลหิตศักดิ์สิทธิ์เทพอารักษ์สีทองอำพันออกมาสามหยด

ทันทีที่กระบี่สยบดินแดนปรากฏตัว ไหมอเวจีก็หรี่ตาโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เขาเลือกที่จะแลกเปลี่ยนแทนที่จะต่อสู้

“รับไว้สิ”

สวี่ชีอันขับเลือดออกมาสามหยด

ไหมอเวจีเคลื่อนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พลางอ้าปากอย่างรีบร้อนและรับแก่นโลหิตที่สวี่ชีอันขับออกมา

“อร่อยจังเลย…”

ตามด้วยเสียงครวญครางที่ผ่อนคลาย เนื้อยานหย่อนคล้อยของไหมอเวจีกระชับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ผิวหยาบกร้านกลายเป็นบอบบางแก้มเหี่ยวย่นดีดตึงอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ จากหญิงชราที่กำลังจะตายกลายเป็นหญิงสาวที่มีผิวขาวสวยและทรงเสน่ห์

มันมองไปที่มนุษย์สองคน รวมถึงสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ

“ข้าดำรงชีพมาตั้งแต่โบราณกาลจวบจนทุกวันนี้ และแม้ว่าช่วงชีวิตระดับเหนือมนุษย์จะไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเสื่อมสลายได้” แก่นโลหิตของระดับบรรลุธรรม สามารถซ่อมแซมพลังปราณที่เสื่อมสภาพของข้าได้”

ใช่เลือดจากสายเลือดเทพมารที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่อดีตกาลหรือไม่? สวี่ชีอันฟังคำแปลจากไป๋จีจบ หัวใจพลันเต้นโครมคราม

ในเวลานี้ ไหมอเวจีจ้องมู่หนานจือ หลุดเสียง ‘เอ๋’ แผ่วเบา

“ลมปราณบนตัวนาง…”

…………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท