บทที่ 716 ความกระอักกระอ่วนใจของนักบวชเต๋าจินเหลียน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 716 ความกระอักกระอ่วนใจของนักบวชเต๋าจินเหลียน

หยางกงและหลี่มู่ไป๋หันมาสบตากัน ฝ่ายหลังกล่าวว่า “พูดตามตรง เรื่องนี้รบกวนจิตใจข้ามานาน ข้ามักจะรู้สึกว่าระดับของกบฏอวิ๋นโจวไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ แต่ในแง่ของสถานการณ์ปัจจุบัน การพิชิตชิงโจวภายในหนึ่งเดือนนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน นอกจากเว่ยเยวียนจะยังมีชีวิตอยู่”

“ทุกท่านมีความเห็นอย่างไร?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกท่านก็เริ่มคาดเดาไปต่างๆ นานา “สถานการณ์ปัจจุบัน การที่กบฏอวิ๋นโจวต้องการโจมตีชิงโจวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก ดีไม่ดี…อืม หรือว่าพวกเขาอาจจะมีกองกำลังหลักอีกกลุ่มหนึ่งและวางแผนแบ่งกำลังออกไปโจมตีสถานที่อื่น? แต่ทางด้านชิงโจวกำลังไกล่เกลี่ยกับพวกเขาเพื่อเข้ามาพัวพันกับกองกำลังหลักของราชสำนัก”

“แต่แยกกันโจมตีในสถานที่อื่นเช่นนี้จะมีความหมายอะไร? น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จะกลายเป็นทหารเองที่สิ้นหวังในสถานการณ์อับจน โดนต้าฟ่งของพวกเรากำจัดทีละฝ่ายจนแตกพ่ายไม่ใช่รึ? ในหนังสือนำทัพของฆ้องเงินสวี่มีคำกล่าวว่า จงใช้ความสมานสามัคคีและความแปลกประหลาดในการทำสงคราม”

“หยางกง ข้ากลับรู้สึกว่าไม่แปลกประหลาด ไม่ใช่ว่าพวกเราประเมินกบฏอวิ๋นโจวสูงเกินไปและก็ไม่ใช่ว่ากบฏอวิ๋นโจวไม่มีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วเป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์ ทุกท่านลองคิดดูสิ หากไม่ใช่เพราะฆ้องเงินสวี่เชิญเผ่ากู่ที่อาจหาญมาผ่อนปรนแรงกดดันของชิงโจว ทำให้พวกเราได้พักหายใจเพื่อส่งกองกำลังทหารไปฟื้นฟูสถานการณ์ทั้งหมด แนวรบที่สองนี้ก็อาจจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะฆ้องเงินสวี่สร้างพันธมิตรกับปีศาจตอนใต้และได้ยับยั้งกองกำลังพันธมิตรแต่ละมณฑลในแดนประจิมและพระสงฆ์สำนักพุทธ สถานการณ์ในตอนนี้คือราชสำนักกำลังทำสงครามทั้งสองแนวรบ ไม่สามารถเสริมกำลังที่ชิงโจวได้ ไม่แน่แนวรบอาจจะถูกผลักไปยังพื้นที่ใจกลางที่ราบลุ่มกลางก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ว่ากบฏอวิ๋นโจวไร้ความสามารถ แต่ความจริงคือถนนทุกสายและแผนการทุกประเภทล้วนได้รับการแก้ไขและยับยั้งโดยการปฏิบัติการของฆ้องเงินสวี่ที่นอกราชสำนัก”

หลังจากวิเคราะห์เชิงลึกโดยละเอียดแล้ว แม้แต่หยางกงและหลี่มู่ไป๋ก็ยังยอมรับว่าคำพูดนี้ช่างสมเหตุสมผลจริงๆ

เพราะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านก็คิดไม่ออกเช่นกันว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นอีกหรือไม่

หลังจากการสนทนาจบลง หลี่มู่ไป๋ดื่มน้ำชาในถ้วยเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หันไปมองนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่เสนอวิธีการ ‘กินคน’ มาแก้ไขปัญหาขาดแคลนเสบียงของสัตว์บินก่อนหน้านี้ พลางยกกำปั้นขึ้นมาเคารพและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หลิงจาน เชิญออกมาคุยกันสักหน่อย”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีเคราแพะลุกขึ้นและออกไปข้างนอกพร้อมกับหลี่มู่ไป๋

ทั้งสองเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่เดินไปยังศาลว่าการของผู้ว่าการมณฑล จู่ๆ หลี่มู่ไป๋ก็กล่าวว่า “ข้ามีเรื่องอยากรบกวนศิษย์พี่หลิงจาน”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านนั้นยกกำปั้นขึ้นมาเคารพ “ศิษย์พี่ฉุนจิ้งมีเรื่องอันใดก็พูดมาเถิด”

หลี่มู่ไป๋พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าศิษย์พี่หลิงจานจะสามารถเขียนจดหมายไปที่อำเภอซงซาน บอกสวี่ฉือจิ้วดำเนินทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาในช่วงเวลาคับขัน แต่อย่าดำเนินการในนามของหยางกง”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการกล่าวเสียงหนักแน่นในฉับพลัน “หลิงจานรับทราบ”

เมืองหลวง วิหารหยางเสิน

ในช่วงบ่ายที่เงียบสงบ จักรพรรดิหย่งซิ่งตื่นขึ้นจากแท่นบรรทมด้วยความรู้สึกสดชื่น หลังจากที่ไม่ได้นอนหลับสนิทมานาน

สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากตื่นนอนคือเรียกขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นมาและสั่งกำชับว่า “ข้าจำได้ว่าอีกหนึ่งเดือนจะเป็นเทศกาลไหว้วสันต์แล้ว แจ้งผู้ช่วยศาลต้าหลี่ว่าต้องจัดให้ยิ่งใหญ่สักหน่อย ข้าต้องบูชาบรรพบุรุษและสวรรค์ให้ดี”

หลังจากเทศกาลไหว้วสันต์ ฤดูใบไม้ผลิก็จะหวนคืนสู่แผ่นดินอีกครั้ง

หายนะอันหนาวเหน็บที่เกือบจะทำลายล้างต้าฟ่ง ในที่สุดก็เสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว

ถึงฤดูกาลแห่งการฟื้นคืนสรรพสิ่ง ประการแรกคือความเหน็บหนาวไม่สามารถคุกคามประชาชนได้อีกต่อไป ประการต่อมา ถึงแม้จะยังขาดแคลนอาหารอยู่ แต่ทุ่งกว้างมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังมีภูเขาที่อยู่รอบๆ เพียงแค่ขุดดินก็จะสามารถหาของกินได้ตลอดเวลา

ไม่กี่วันก่อน มีการหารือกันในห้องทรงพระอักษร จากการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมของชิงโจว ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวไม่มีทางพิชิตชิงโจวได้ก่อนเทศกาลไหว้วสันต์

และจากช่องว่างของทั้งสองฝ่าย กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวยังคงทำพลาดซ้ำๆ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งเหนื่อยล้าขึ้นเรื่อยๆ ไฟลามทุ่งที่โหมกระหน่ำจึงค่อยๆ ดับลงจนกระทั่งดับลงไปอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ บรรยากาศจริงจังและหนักแน่นในเมืองหลวงละลายลงราวกับธารน้ำแข็งและผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน

สำนักราชเลขาธิการออกประกาศต่อเนื่องสามฉบับเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชน

ในขณะที่จ้าวเสวียนเจิ้นกำลังจะถอยออกไปถ่ายทอดคำสั่ง จักรพรรดิหย่งซิ่งก็โบกมือปฏิเสธอีกครั้งและกล่าวว่า “ช่างเถอะ แค่เรียกทุกคนมาหารือกันที่ห้องทรงพระอักษร”

เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “หารือเรื่องสถานการณ์ของชิงโจวต่อ”

ที่ตำหนักเฟิ่งชี ฮว๋ายชิ่งมาพร้อมกับนางกำนัลข้างกายสองคน ได้ก้าวเข้ามาในตำหนักอันเย็นยะเยือกเช่นนี้ แต่กลับเป็นพระราชอุทยานที่ผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนในวังหลังใฝ่ฝันถึง

ถ่านไฟกำลังลุกโชนให้ความอบอุ่น ผ้าม่านทิ้งตัวลงมาปิดหน้าต่าง ไทเฮาผู้มีบุคลิกสง่างามนั่งอยู่ที่โต๊ะ รับประทานขนมอบที่ตนเองทำไปพลางอ่านหนังสือไปพลาง

“เสด็จแม่!”

ฮว๋ายชิ่งกล่าวทักทายด้วยท่าทีเย็นชา

ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยความเฉยเมยว่า “ไม่กี่วันก่อน ฝ่าบาททรงประทานพิธีอภิเษกสมรสให้กับหลินอันและฆ้องเงินสวี่ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าที่ผ่านมาข้าละเลยงานแต่งงานของพวกเจ้า ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีประชนม์ชีพอยู่ พวกเจ้าก็เป็นหญิงสาวที่รอคู่หมั้นอยู่ในห้องส่วนตัว ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว อายุอานามของพวกเจ้าก็ไม่น้อย ให้รอคู่หมั้นอยู่แต่ในห้องส่วนตัวต่อไปก็คงไม่เหมาะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะอยากถามเจ้า ฮว๋ายชิ่งเจ้ามีคนที่ชื่นชอบแล้วหรือยัง?”

ฮว๋ายชิ่งเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังเย้ยหยันหรือดูถูก นางกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยเรื่องการอภิเษกของลูก หากเจอคนที่ชื่นชอบจริงๆ ข้าต้องแต่งงานเป็นแน่”

ไทเฮาพยักหน้าโดยไม่ขัดขืน “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

ฮว๋ายชิ่งแสดงความเคารพและออกไปจากตำหนักเฟิ่งชีพร้อมกับนางกำนัล

กำแพงวังอันสูงตระหง่านและหนักอึ้ง ปิดกั้นผู้คนจากความฝัน

จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็หยุดลงบนถนนเส้นหนึ่งพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม

คนที่ชอบ…นางพึมพำสามพยางค์นี้ในใจ

เมื่อกลับไปที่สวนเต๋อซิน จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ เดิมทีนางวางแผนจะงีบหลับครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็ใจสั่น นางถอยห่างออกมาจากนางกำนัลอย่างเงียบๆ และหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา

หมายเลขสอง ‘ข้าเห็นประกาศในเมืองว่าสถานการณ์โดยรวมที่ชิงโจวดีมาก กบฏเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลาย ดังนั้นข้าจึงหงุดหงิดมาก ไอ้พวกขุนนางชาติหมาที่ไร้ความสามารถเหล่านี้กำลังหลอกลวงประชาชน’

ฮว๋ายชิ่งที่กำลังอารมณ์ไม่ดีเกือบถูกทำให้หัวเราะ

เทพบุตรและเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์น่าจะบำเพ็ญเพียรทางด้านพรสวรรค์ หากเป็นด้านสติปัญญาละก็…พูดได้เพียงว่าพอใช้ได้

‘และกองทัพกบฏอวิ๋นโจวก็ถูกถ่วงเวลาอยู่ที่ชิงโจว ยิ่งถ่วงเวลานานเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งไร้อำนาจ แม้ว่าราชสำนักจะมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก แต่เส้นสนกลในก็ยังแข็งแกร่งกว่าอวิ๋นโจว’

หมายเลขเจ็ด ‘เช่นนั้นพวกเราก็ฝึกทหารไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ใช่รึ?’

เป็นพี่น้องและสหายร่วมนิกายเดียวกันอย่างที่คาด…ฮว๋ายชิ่งมองดูอย่างเงียบๆ โดยไม่เข้าร่วมการสนทนา

หมายเลขสี่ ‘ทำไมศิษย์พี่หลี่พูดเช่นนี้? กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวสะสมมายี่สิบปี แล้วจะจัดการกับพวกเขาง่ายๆ ได้อย่างไร ข้าบอกว่าหลังจากเทศกาลไหว้วสันต์ พวกเขาจะหมดอำนาจลง ไม่ได้บอกว่าหลังจากเทศกาลไหว้วสันต์ กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวจะพ่ายแพ้เสียหน่อย’

‘พวกเราต้องรีบเตรียมกองทัพให้เร็วที่สุดและรีบไปให้ถึงชิงโจวก่อนเทศกาลไหว้วสันต์ ซึ่งอาจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บดขยี้กลุ่มกบฏอวิ๋นโจว จะว่าไปแล้ว หากไม่มีกลยุทธ์การเมืองสามัคคีของสวี่หนิงเยี่ยนที่ทยอยแก้ไขภัยแฝงของเผ่ากู่และแดนประจิม เกรงว่าชิงโจวคงเสื่อมโทรมลงไปนานแล้วกระมัง’

‘อา จะให้ศิษย์พี่หยางเห็นประโยคนี้ไม่ได้เด็ดขาด…’ หลี่หลิงซู่ส่งข้อความว่า ‘ศิษย์น้องไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์และศิษย์พี่หยางก็อยู่ในหมู่บ้านข้า ศิษย์พี่หยางก็วางแผนจะรวบรวมผู้ลี้ภัย ช่วงชิงอำนาจการปกครองของที่ราบลุ่มกลาง กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์’

หมายเลขสอง ‘เพื่อปราบปรามสวี่ชีอันกระมัง’

หมายเลขสี่ ‘เพื่อแข่งขันกับหนิงเยี่ยนกระมัง’

หมายเลขหก ‘มุ่งเป้าไปที่ใต้เท้าสวี่กระมัง’

หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น และไต้ซือเหิงหย่วนส่งข้อความตามลำดับ

หลี่หลิงซู่เกือบจะปิดใบหน้า เดิมทีเขาอยากจะตำหนิหยางเชียนฮ่วนสักหน่อย แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจและกล่าวว่า ‘ศิษย์พี่หยางเป็นผู้ชำนาญอย่างแท้จริง แต่เขาและศิษย์น้องไฉ่เวยถูกท่านโหราจารย์เนรเทศออกมา’

หลังจากอธิบายสาเหตุที่หยางเชียนฮ่วนและฉู่ไฉ่เวยถูกเนรเทศออกมา เทพบุตรก็กล่าวสรุปว่า ‘พี่น้องคู่นี้ทำให้พูดไม่ออกจริงๆ’

เดิมทีทุกคนในพรรคฟ้าดินก็มีความรู้สึกลึกๆ ในใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นประโยคนี้ก็บ่นในใจอย่างเงียบๆ พี่น้องแห่งนิกายสวรรค์ของพวกเจ้าคู่นี้ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น

หมายเลขสอง ‘ไม่มีศิษย์ของท่านโหราจารย์คนใดเป็นปกติ’

ภายในพรรคฟ้าดินเงียบไปสองถึงสามวินาที ก่อนจะระเบิดขึ้น

หมายเลขสอง ‘อา นักบวชเต๋าจินเหลียน ในที่สุดท่านก็ออกจากการเก็บตัวแล้ว ท่านคงไม่รู้กระมัง ภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น’

‘ใช่ หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้อาตมาคิดว่าเก็บตัวมาสิบยี่สิบปีแล้ว…’ นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความด้วยความเศร้าใจ ‘อาตมาได้ยินจากลูกศิษย์ภายในแล้ว ฤดูวันผันเปลี่ยนราวกับความฝัน’

หมายเลขสี่ ‘ท่านนักบวชเต๋า สิ่งที่ท่านรู้เป็นเพียงเรื่องส่วนหนึ่งที่แพร่ออกไปยังภายนอก ภายในพรรคฟ้าดินยังมีความลับบางอย่างที่ท่านยังไม่รู้’

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความ

นักบวชเต๋าจินเหลียนใจสั่น เขารู้ว่าสวี่ชีอันก้าวสู่ระดับบรรลุธรรมแล้ว และยังมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่นนั้นเขาต้องเข้าถึงความลับระดับสูงจำนวนมากแน่นอน

แต่ด้วยอุปนิสัยของสวี่หนิงเยี่ยน ส่วนใหญ่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนในพรรคฟ้าดิน…ไม่ นี่ไม่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูล

นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความไปถามทันที

หมายเลขเก้า ‘มีข้อมูลวงในรึ?’

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความว่า หมายเลขสี่ ‘ข้าจะบอกบางเรื่องที่ข้าสามารถพูดได้ สำหรับความลับที่สวี่หนิงเยี่ยนประกาศต้องรอเขาอนุญาตก่อน พวกเราค่อยบอกท่านอีกที’

หลังจากฉู่จ้วงหยวนพาจินเหลียนไปเก็บตัว เว่ยเยวียนตายในสงคราม ทุกคนร่วมมือกันสังหารหยวนจิ่งและท่องไปในยุทธภพ สำหรับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารเทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธที่เจี้ยนโจวต้องเล่าโดยละเอียด

แต่ปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันและสวี่ผิงเฟิง และไม่ได้กล่าวถึงความลับที่ซ่อนไว้ของพระพุทธเจ้า

หมายเลขเก้า ‘เว่ยเยวียนสละชีวิตเพื่อรักษาความยุติธรรม ส่วนเรื่องเจินเต๋อต้องขอโทษจริงๆ นั่นมิใช่ความปรารถนาของอาตมา ทั้งหมดเป็นความผิดของเฮยเหลียน ทุกคนต้องช่วยข้ากำจัดสัตว์ร้ายตัวนี้’

นักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะผลักภาระไปให้ผู้อื่น

จากสถานการณ์ปัจจุบันของต้าฟ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนต้องแบกรับภาระครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งอยู่ที่สวี่ผิงเฟิง

ในตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะความคิดชั่วร้ายของนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ฉวยโอกาสสร้างความเดือดร้อนให้กับเจินเต๋อ ก็คงไม่มีผลร้ายตามมามากมายเช่นนี้

ทุกคนในพรรคฟ้าดินต่างก็เงียบและไม่ได้กล่าวเช่นนั้น อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องน่าขายหน้าและมีผลตามมาที่ร้ายแรง นับว่าเป็นแผลในใจที่ยากจะลบออกของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว

เมื่อเห็นว่าเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินไม่ได้ผูกใจเจ็บเรื่องนี้ จินเหลียนก็รู้สึกโล่งใจ

เวลานี้เอง ลี่น่าก็ส่งข้อความว่า

หมายเลขห้า ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านผิดพลาดที่ใดรึ?’

นักบวชเต๋าจินเหลียน “…”

นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านรับลี่น่าเข้าพรรคฟ้าดินตั้งแต่แรกทำไมกัน…สมาชิกพรรคฟ้าดินตำหนิในใจ

หมายเลขเก้า ‘เรื่องนี้พูดไปก็ยาว รอวันไหนได้พบกันข้าจะเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียด’

นักบวชเต๋าจินเหลียนทำได้เพียงบอกปัดเช่นนี้

หมายเลขเก้า ‘มีเรื่องหนึ่ง อาตมาคิดว่าทุกคนต้องระวัง เกี่ยวกับเรื่องสงครามชิงโจว’

………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท