บทที่ 718 พี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 718 พี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุด

‘แก๊ง แก๊ง แก๊ง…’

ในห้องโอสถบนชั้นเจ็ดของสำนักโหราจารย์ ซ่งชิงถกแขนเสื้อขึ้น มือถือค้อนสีม่วงทองขนาดใหญ่อันหนึ่งและคีมเหล็กที่มีสีเดียวกัน เขายืนหล่อหลอมเหล็กกล้าอยู่หน้าทั่งเหล็ก

เสื้อสีขาวบนตัวแปดเปื้อนไปด้วยขี้เถ้าสีดำ เหงื่อเม็ดใหญ่ย้อยลงบนหน้าผาก ประกอบกับรอยคล้ำสีดำเข้มใต้ดวงตาแล้ว ราวกับจะตายอย่างฉับพลันได้ตลอดเวลา

หลังจากหล่อหลอมสารที่ไม่บริสุทธิ์ออกมาแล้ว ซ่งชิงก็นำตะปูสีทองเข้มออกมาตัวหนึ่ง วางมันลงบนตัวอ่อนเหล็กแล้วใช้ค้อนใหญ่ตอกหัวตะปูอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงดังแสบแก้วหู ตะปูสีทองเข้มเจาะทะลุตัวอ่อนเหล็ก

“เทียบไม่ได้เลย เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง…”

ซ่งชิงส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ตะปูตอกวิญญาณหลอมมาจากวัสดุอะไรกันแน่ โลกนี้มีธาตุโลหะนี้จริงๆ หรือ”

ตะปูตอกวิญญาณในมือของเขาคือตะปูที่ซุนเสวียนจีนำกลับมา ซึ่งได้รับการไหว้วานจากสวี่หนิงเยี่ยนผู้วิเศษด้านการเล่นแร่แปรธาตุให้นำตะปูตอกวิญญาณมามอบให้ซ่งชิง

คุณชายสวี่สมกับเป็นผู้วิเศษที่ยอมอุทิศทุกอย่างให้กับวิชาเล่นแร่แปรธาตุเสียจริง นำอาวุธเทพสำคัญเช่นนี้มอบให้สำนักโหราจารย์ทำการศึกษา ช่างเป็นคนที่รู้ใจซ่งชิงเสียจริง

ข้อเสนอที่คุณชายสวี่มอบตะปูตอกวิญญาณให้นั้นมีแค่อย่างเดียว นั่นก็คือหวังว่าบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุจะสามารถเลียนแบบตะปูตอกวิญญาณได้

บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุตื้นตันใจจะแย่อยู่แล้ว

คุณชายสวี่ไม่เพียงแต่มอบอาวุธเทพเท่านั้น ยังมอบภารกิจใหญ่ให้พวกเขาด้วย

ขณะนั้นเอง โหรอาภรณ์ขาวเดินเข้าห้องโอสถอย่างรวดเร็ว และกล่าวเสียงสูง

“ศิษย์พี่ซ่ง ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ท่านนำกล่องใบนี้ไปส่งที่หอใต้ดิน มอบมันให้กับศิษย์พี่จง”

‘ท่านอาจารย์โหราจารย์…’ ซ่งชิงรับกล่องไม้มาด้วยความงุนงง และถามขึ้นมา

“คือสิ่งใดกัน”

โหรอาภรณ์ขาวผู้นั้นส่ายหน้า “ท่านอาจารย์โหราจารย์บอกว่า ศิษย์พี่จงเปิดได้แค่คนเดียวเท่านั้น”

ซ่งชิงเป็นศิษย์ที่มีข้อคิดเห็นส่วนตัว (พฤติกรรมขัดแย้ง) พอได้ยินก็ลงมือเปิดกล่องทันที แต่ไม่สามารถเปิดได้

“เอาเถอะ!”

ซ่งชิงพยักหน้า เขาอุ้มกล่องไม้ที่กว้างครึ่งฉื่อ ยาวหนึ่งฉื่อเดินออกจากห้องโอสถ เดินตามบันไดจนมาถึงห้องโถงใหญ่ตรงชั้นหนึ่ง เดินผ่านประตูเหล็กด้านหลังห้องโถงเข้าสู่ชั้นใต้ดิน

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนในชั้นใต้ดินอันเงียบสงบ ตะเกียงน้ำมันแต่ละตัวสาดส่องทุกอย่างจนกลายเป็นสีส้มที่ดูอบอุ่นและชุ่มชื้น

ซ่งชิงสูดดมกลิ่นอับจางๆ กลางอากาศ โหรอาภรณ์ขาวของสำนักโหราจารย์ส่วนมากอยู่ข้างนอก บ้างก็เป็นทหาร บ้างก็ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เวลาในการเปิดประตูให้จงหลีได้สูดอากาศนั้นน้อยลง

หลังเดินผ่านทางเดินสลัวๆ ที่ยาวมาก ซ่งชิงก็หยุดลงตรงหน้าประตูห้องขังแห่งหนึ่ง และมองผ่านหน้าต่างระบายลมเข้าไปด้านใน

จงหลีนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมอย่างเงียบๆ

“ศิษย์น้องจง!”

ซ่งชิงผลักประตูเดินมาตรงหน้านางและนั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน “ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ข้านำมาให้เจ้า”

จงหลีลืมตาขึ้นและรับกล่องไม้มา พริบตาที่มันตกอยู่ในมือ สลักก็เปิดออกเอง

พอเปิดฝากล่อง ภายในกล่องที่หุ้มด้วยผ้าแพรสีเหลืองมีค้อนไม้ขนาดยาวครึ่งแขนวางอยู่อันหนึ่ง

ค้อนไม้มีสีน้ำตาลอ่อน ด้ามค้อนเคลือบน้ำมันเป็นเงา หัวค้อนกับด้ามมีลวดลายค่ายกลแกะสลักอยู่อย่างละเอียด

จงหลีอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเงยหน้ามองซ่งชิง

ซ่งชิงก้มหน้าลงพอดี ศิษย์พี่ศิษย์น้องสบตากันและกล่าวออกมาพร้อมกัน

“ค้อนก่อกวนชะตากรรม!”

ซ่งชิงเข้าใจในทันที เขากล่าวขึ้นมา “มิน่าเล่าท่านอาจารย์โหราจารย์ถึงบอกว่าให้เจ้าเป็นคนเปิดกล่อง ของสัปปะรังเคเช่นนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นไม่มีใครสามารถใช้ได้”

ตามที่ท่านอาจารย์โหราจารย์บอก ค้อนก่อกวนชะตาเป็นค้อนที่เขาสร้างขึ้นตามลักษณะนิสัยในตอนหนุ่ม

ถือค้อนนี้เคาะศีรษะคนอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมได้ แต่รูปแบบชะตากรรมจะดีหรือร้ายนั้นไม่สามารถควบคุมได้ อีกอย่าง คนที่ถือค้อนอันนี้กับคนที่ถูกเคาะจะถูกเปลี่ยนชะตากรรมพร้อมกัน

มนุษย์แบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ทุกๆ วิชาชีพล้วนมีชะตากรรม

พอเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมจะถูกอาญาสวรรค์ อายุขัยลดลงครึ่งหนึ่ง

กล่าวอีกนัยก็คือ ค้อนสัปปะรังเคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้รูปแบบชะตากรรมเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้งยังทำให้อายุขัยลดลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นด้วย

แต่ว่าจงหลีคือข้อยกเว้น เพราะรูปแบบชะตากรรมของจงหลีในตอนนี้ตกเป็นของ ‘อาญาสวรรค์’ ค้อนก่อกวนชะตากรรมไม่อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมที่โชคร้ายนี้ได้ ดังนั้นนางสามารถหลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อนได้เสียด้วยซ้ำ

“ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ของสิ่งนี้แก่เจ้าทำไม”

ซ่งชิงมีสีหน้างงงวย “แม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นนักพยากรณ์ ต้องประสบกับเคราะห์หามยามร้ายต่างๆ ค้อนก่อกวนชะตากรรมยังไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรได้ แต่หากเจ้าใช้มันเปลี่ยนรูปแบบชะตากรรมของคนอื่นตามอำเภอใจ เคราะห์ของเจ้าคงจะหนักหนากว่าเดิม”

จงหลีส่ายหน้าและเก็บค้อนอย่างเงียบๆ

“เฮ้อ วันเวลาที่ฉู่ไฉ่เวยไม่อยู่สำนักโหราจารย์ รู้สึกว่าทั่วทั้งหอดูดาวสงบเงียบขึ้นมา ศิษย์น้องจง ศิษย์พี่ต้องกลับไปหลอมอาวุธแล้ว ขอตัวก่อน” ซ่งชิงลุกขึ้นผลักประตูเดินออกไป

โพ้นทะเลที่อยู่ไกลแสนไกล

ไป๋ตี้ที่มีจมูกเป็นวัว ปากเป็นจระเข้ แผงคอเป็นสิงโต และลำตัวมีเกล็ดสีขาวราวกับหยก วิ่งห้อตะบึงตามผิวทะเลด้วยกีบเท้าทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

คลื่นยักษ์กว้างสุดลูกหูลูกตา แหงนหน้ามองคือท้องฟ้า นอกจากท้องฟ้าแล้วก็เป็นผืนน้ำเวิ้งว้างไร้ขอบเขต

บนท้องมหาสมุทรที่ยากจะแยกแยะทิศทางได้ ไป๋ตี้กลับหาพื้นที่เป้าหมายเจออย่างแม่นยำ

มันก้มหน้าจ้องมองผิวทะเลใต้กีบเท้า ดวงตาสีครามเข้มเปล่งแสงสลัวๆ ลึกล้ำราวกับน้ำวน

กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นบนผิวทะเล มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นน้ำวนยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบเมตร ฟองสีขาวพวยพุ่ง

ไป๋ตี๋พุ่งดิ่งลงในน้ำวน ประเดี๋ยวเดียวปากก็คาบหอกโค้งยาวที่ดูคล้ายกระดูก คล้ายหิน คล้ายทอง และคล้ายหยกพุ่งออกจากน้ำวน

กีบเท้าทั้งสี่ห้อตะบึงหายไปจากขอบฟ้าราวกับม้าพันธุ์ดี

น้ำวนค่อยๆ สงบลง ผืนน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาฟื้นคืนสู่สภาพปกติ

เมืองตงหลิง

เมืองเวิ่งสร้างอยู่ด้านบนสุดของเมือง สวี่ผิงเฟิงยืนอยู่บนยอดของเมืองเวิ่ง อาภรณ์สีขาวโบกสะบัด ท่าทางราวกับเซียนที่ถูกลงโทษให้มาจุติในโลกมนุษย์

ในมือเขาหิ้วสุราอยู่หนึ่งกา สายตาทอดมองไปทางทิศเหนือ

ค่ายทหารในอวิ๋นโจว

เกวียนที่ลำเลียงสัมภาระเข้าๆ ออกๆ ในค่ายทหาร พลทหารระดับต่ำเข้าเวรและลาดตระเวนซ้ำๆ รอกรีธาทัพออกรบอยู่ตลอดเวลา

เทียบกับกองทัพอวิ๋นโจวที่ทำศึกอยู่ในสามแนวรบแล้ว กองทัพกลางสามหมื่นนายมีความสมบูรณ์ที่สุด กองกำลังทหารได้พักฟื้นและเตรียมพร้อมออกรบอยู่ตลอดเวลา

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนค่ายทหารไม่เคยเคลื่อนทัพเลย

ขณะนี้ เมื่อฤดูหนาวค่อยๆ สิ้นสุดลง พลทหารระดับต่ำยังดีหน่อย ความรอบรู้มีจำกัด แต่นายทหารระดับกลางและระดับสูงไม่สามารถนั่งนิ่งได้

พวกเขาสังเกตได้ว่า เมื่อย่างเข้าใกล้ฤดูใบไม้ผลิ สถานการณ์ได้เปรียบและเสียเปรียบระหว่างฝ่ายตนเองกับต้าฟ่งจะค่อยๆ เลวร้ายขึ้น

ดังนั้นเสียงออกรบมีมากขึ้นทุกวัน และดังขึ้นเรื่อยๆ

จนมาถึงวันนี้ นายทหารระดับกลางและระดับสูงสิบกว่าคนคุกเข่าอยู่หน้ากระโจมของผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อ ‘ขู่เข็ญและบีบบังคับ’ ให้ชีก่วงป๋อเคลื่อนทัพ

ในนั้นมีจัวเฮ่าหรานที่ถูกลดขั้นจากผู้บัญชาการซ้ายเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพจู่โจมด้วย

“แม่ทัพใหญ่ ไม่อาจยืดเยื้อได้อีกแล้ว หากไม่ใช้ประโยชน์จากฤดูหนาวนี้ยึดชิงโจว กองทัพเราอยากจะบุกถึงเมืองหลวงหลังเทศกาลไหว้วสันต์นั้น เป็นเรื่องยากราวกับการขึ้นสวรรค์”

จัวเฮ่าหรานที่ตาซ้ายเป็นสีขาวเทา ไม่อาจมองเห็นได้อีก ส่งเสียงคำรามออกมา

“ข้าน้อยขอยอมตาย แต่ขอแม่ทัพใหญ่ได้โปรดให้ข้าได้ตายในสนามรบ ท่านแม่ทัพโปรดเคลื่อนทัพเถิด”

นายทหารชั้นสูงที่อยู่บริเวณรอบๆ พากันคล้อยตามไปด้วย ถึงพวกเขาจะดูถูกแม่ทัพพ่ายศึกอย่างจัวเฮ่าหรานผู้นี้ แต่เวลานี้พวกเขามีจุดยืนเดียวกัน

หลังจากเอะอะกันสักพัก ในขณะที่บรรดานายทหารชั้นสูงกำลังจะกลับเพราะคิดว่าเปล่าประโยชน์นั้น กระโจมทหารก็เปิดออก

ชีก่วงป๋อสวมเครื่องแบบทหารทั้งตัว มือข้างหนึ่งกุมด้ามกระบี่ แววตาดูนิ่งสงบ สีหน้าเฉยชา หลังกวาดสายตามองดูบรรดานายทหารชั้นสูงทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างใด แต่กลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ

“สามารถทนมาถึงตอนนี้ได้ ยังนับว่ามีความอดทนอยู่บ้าง”

จัวเฮ่าหรานที่มีตาข้างเดียวกล่าวอย่างงงงัน

“แม่ทัพใหญ่?”

ชีก่วงป๋อกล่าวเสียงทุ้ม

“จัวเฮ่าหราน เจ้าฝังกองกำลังทหารหกพันนายทั้งเป็นในอำเภอซงซาน เดิมทีควรจะลงโทษตามกฎทหาร ข้าเสียดายความสามารถจึงละเว้นชีวิตเจ้า ตอนนี้ข้าขอถามเจ้า อยากทำคุณไถ่ถอนโทษหรือไม่”

จัวเฮ่าหรานกล่าวเสียงดัง

“หากสามารถล้างความอัปยศอดสูได้ แม้ตายก็ไม่เสียดาย”

ชีก่วงป๋อโยนสาส์นสั่งการที่ประทับตราผู้บัญชาการทหารสูงสุดและกล่าวเรียบๆ

“นำกองกำลังทหารเกรียงไกรทัพซ้ายแปดพันนายไปสนับสนุนกองทัพคชสารมังกร ทองทัพแรดขาว และกองทัพทลายค่ายกลที่อำเภอซงซาน”

จัวเฮ่าหรานแสดงสีหน้าดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

ชีก่วงป๋อไม่มองเขาอีก แต่กลับละสายตาไปมองนายทหารชั้นสูงผู้หนึ่งที่อยู่ทางขวา

“เหวินเซวียน นำกองทัพปืนใหญ่หกร้อยนาย ทหารราบสามพันนาย ตะลุยแนวรบข้าศึกไปสนับสนุนกองทัพเกราะทมิฬและอสรพิษหยกที่ตงหลิง ขณะเดียวกันนำสาส์นลายมือข้าไปให้จีเสวียนด้วย”

เขาโยนสาส์นที่ประทับตราผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดออกไปหนึ่งฉบับเช่นกัน

“จ้าวปิ่ง เจ้านำทหารม้าเบาสามพันนายไปตัดสายเสบียงของอำเภอซงซาน ภารกิจต้องเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน”

“…”

จากนั้นก็มีคำสั่งถ่ายทอดลงไปคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า ไม่นาน นายทหารชั้นสูงนอกกระโจมก็ถูกส่งออกไปครึ่งหนึ่ง ชีก่วงป๋อกวาดสายตามองคนที่เหลือแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ถอนทัพ ตามข้าไปยึดอำเภอหว่าน”

อำเภอซงซาน

ภายในเมืองเวิ่งที่อยู่ด้านบนสุดของเมือง มีน้ำเสียงคุมแค้นของเหมียวโหย่วฟางดังเข้ามา

“เดินหมากแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจได้ โม่ซาง ข้าสอนหมากล้อมที่เรียนรู้ได้แค่ปัญญาชนในที่ราบกลางเท่านั้นให้กับเจ้า เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ ฮึ! ชาวหมานอี๋ก็คือชาวหมานอี๋”

จากนั้นเป็นเสียงของโม่ซาง

“นี่เป็นการละเล่นที่นิยมของคนที่ราบกลางหรือ ก็ไม่ยากเท่าใดนี่ หรือข้าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนในตำนาน”

เหมียวโหย่วฟางพูดหัวเราะเยาะ

“เจ้ารู้อะไร นี่เรียกว่ามหามรรคที่ง่ายที่สุด ยิ่งง่ายความรู้ก็ยิ่งลึกล้ำ เจ้าดูสิ หมากห้าเม็ดของเราข้าสามารถวางแนวนอน แนวตั้ง แนวทแยงได้ ทั้งยังวางไว้ทั้งสองข้างก่อนแล้วค่อยวางตรงกลางก็ได้ วิธีการเล่นพลิกเปลี่ยนร้อยแปดพันเก้า จังหวะก้าวยากจะคาดเดา”

โม่ซางซึ่งสวมชุดเกราะเบาเรียบร้อยแล้วเกาหัว

“แม้เจ้าจะพูดได้มีเหตุผล แต่ข้ายังคิดว่ามันง่ายมาก ข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนอย่างที่คิดไว้จริงๆ รอเสร็จศึกข้าจะอยู่สอบจอหงวนในที่ราบกลางของพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยกลับไป พ่อของข้าจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้าคุยอะไรกัน” สวี่ฉือจิ้วที่กำลังกัดขนมวอวอโถวอยู่ หลังจากตรวจสอบกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองเสร็จ และเพิ่งเดินเข้าธรณีประตูเมืองเวิ่งก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้

เหมียวโหย่วฟางกล่าวในขณะที่ระมัดระวังไม่ให้โม่ซางแอบเปลี่ยนหมาก

“พวกเรากำลังเล่นหมากล้อม หมากคือวิถีของวิญญูชน”

สวี่เอ้อร์หลางแอบพูดในใจ ‘จอมยุทธ์หยาบคายผู้นี้เล่นหมากเป็นด้วยหรือ’ พอมองดูก็เห็นหมากขาวดำเรียงติดต่อกันสองสามเม็ด ยาวสุดก็สี่เม็ด ไม่ว่าจะดำหรือขาว พอเรียงเต็มสี่เม็ดก็ถูกตัดขาด

“เจ้า เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าหมากล้อมหรือ”

สวี่เอ้อร์หลางมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ

“หรือไม่ใช่” เหมียวโหย่วฟางถามกลับ ไม่รอให้เหมียวโหย่วฟางตอบกลับเขาก็ส่งเสียง ‘เฮอะ’ อย่างภาคภูมิใจ

“อย่าคิดว่าการเล่นหมากเป็นสิทธิพิเศษของปัญญาชนอย่างพวกเจ้า ที่จริงไม่มีอะไรยากนี่ ด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดของข้า ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาก็คลำเคล็ดลับได้แล้ว แต่ก่อนที่เล่นหมากไม่เป็น เป็นเพราะกลุ่มปัญญาชนอย่างพวกเจ้าข่มขู่ไว้”

โม่ซางก็ผสมโรงไปด้วย

“ข้าก็คิดว่ามันง่าย ใต้เท้าสวี่ ท่านคิดว่าข้าจะสอบจอหงวนเหมือนท่านได้หรือไม่ ซินเจียงตอนใต้ของพวกเรายังไม่เคยมีจอหงวนเลยนะ”

‘ข้าคิดว่าเจ้าพูดภาษากลางได้ชัดแล้ว…’ สวี่ซินเหนียนเคี้ยวขนมวอวอโถว

“พี่เหมียว วิธีการเล่นหมากของท่านใครเป็นคนสอนหรือ”

เหมียวโหย่วฟางเดินหมากอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับ

“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า”

สวี่ซินเหนียนอึ้งไปเลย “คนไหน”

‘คนไหน’ เหมียวโหย่วฟางก็อึ้งเช่นกัน เขาคิดอย่างละเอียดก่อนกล่าว

“คนที่อัปลักษณ์ที่สุด”

สวี่ซินเหนียนนึกอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเดาไม่ออกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุดคนนั้นคือใคร

“เจ้าบอกชื่อมาตามตรง”

“มู่หนานจือไง”

‘มู่หนานจือคือใคร ช่างเถอะ ต่อไปถ้ามีโอกาสพบเจอนาง จำไว้ต้องบอกนางว่า เหมียวโหย่วฟางบอกว่านางอัปลักษณ์…’ สวี่ซินเหนียนแอบจดจำอย่างเงียบๆ จากนั้นก็โค้งคำนับให้กับสหายร่วมศึกสองท่านที่มีสติปัญญาอันปราดเปรื่องก่อนเดินไปอ่านตำราพิชัยสงครามที่อยู่อีกด้าน

ความคิดของปัญญาชนรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ถือเป็นการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐาน

………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท