บทที่ 725 ลูกศิษย์ธรรมดาสามัญ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 725 ลูกศิษย์ธรรมดาสามัญ

เหนือเศียรของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มีร่างธรรมมัญชุศรีที่นั่งขัดสมาธิพนมมืออยู่

ทว่าร่างธรรมระดับเพชรไม่อาจรวมร่างได้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาการบาดเจ็บนั้นไม่ได้อยู่แค่บนร่างกาย แต่ยังเจ็บลึกถึงแหล่งกำเนิด ตอนนี้จึงบังเกิดได้แค่ร่างธรรมร่างเดียว

เทพเจ้าหยางของนักบวชเต๋าเฮยเหลียนแบ่งร่างออกเป็นสี่ร่างอีกครั้ง ขณะนี้จึงปรากฏร่างธรรมทั้งสี่แห่งลัทธิเต๋าอย่าง ‘ดิน น้ำ ลม ไฟ’ ขึ้นมา

ค่ายกลทรงกลมปรากฏขึ้นใต้เท้าของสวี่ผิงเฟิง นี่คือแผ่นค่ายกลที่จะควบคุมได้เมื่ออยู่ขั้นสามขึ้นไป และเป็นค่ายกลที่ควบรวมขึ้นมาหลังจากผสานของวิเศษอย่าง ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ จนสมบูรณ์แล้ว

ในวงการปรมาจารย์ค่ายกล สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ค่ายกลแม่’

เมื่อมี ‘ค่ายกลแม่’ เป็นรากฐาน ก็จะสามารถแสดงค่ายกลทั้งหมดออกมาได้ ทั้งหยินหยางห้าธาตุ ดินน้ำลมไฟและสายฟ้า รวมถึงค่ายกลเล็กๆ สามร้อยหกสิบแบบที่ขยายจากค่ายกลใหญ่สิบเอ็ดชนิดด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่อาศัยค่ายกลแม่เพื่อแสดงผลออกมาได้ตามใจนึก

ไป๋ตี้เสียเขาไป แม้ว่าจะยังสามารถอัญเชิญสายฟ้าและวิญญาณน้ำได้ แต่พลังก็ลดลงเป็นอย่างมาก โชคดีที่มันเป็นบุตรหลานของเทพมาร กายเนื้อจึงยังอยู่ยงคงกระพัน

“ไป!”

ร่างจริงนักบวชเต๋าเฮยเหลียนยืนนิ่งไม่ขยับแล้วควบคุมร่างธรรมทั้งสี่ให้พุ่งไปยังท่านโหราจารย์จาก ‘ซ้ายขวาหน้าหลัง’ ทั้งสี่ทิศทาง

ร่างธรรม ‘ลม’ ที่ราวกับกำเนิดขึ้นจากสายลมมีความเร็วมากที่สุด เพียงชั่วลมหายใจก็พุ่งมาอยู่ข้างกายท่านโหราจารย์แล้วกวัดแกว่งใบมีดลมสายแล้วสายเล่าออกมา

ร่างธรรมเปลวไฟกลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งมายังด้านหน้าของท่านโหราจารย์ และคิดจะแผดเผาจนตัวตายไปพร้อมกัน

ร่างธรรมที่มีจิตวิญญาณแห่งน้ำสีนิลพิสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ ก็ระเบิดจนกลายเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลหลากมายังทางด้านขวาของท่านโหราจารย์พร้อมเสียงดังสะเทือน

ร่างกายของร่างธรรม ‘ดิน’ นั้นทั้งบึกบึนและเงอะงะ จึงเชื่องช้าที่สุด มันพุ่งเข้ามาหาท่านโหราจารย์ราวกับวัวกระทิง หากตอนนี้อยู่บนพื้น ย่อมมีเสียงอึกทึกโครมครามดังก้องอยู่ในหูเป็นแน่

ท่านโหราจารย์ยื่นฝ่ามือไปทางด้านซ้ายเป็นอันดับแรก โล่กำบังหกเหลี่ยมผุดขึ้นมาจนเกิดเสียงดังปึงปัง…ดาบสายลมฟาดฟันโดนโล่กำบังจนเกิดเสียงกระหึ่ม จากนั้นก็กระจายกลายเป็นลมคลั่ง

จากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปทางขวาหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือเข้าไปในแม่น้ำสีดำที่ไหลเชี่ยวกรากแล้วดึงดาบยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งออกมา

หลังจากดึงดาบออกมา ร่างธรรม ‘น้ำ’ ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้ จึงพังทลายลงไป ขณะเดียวกัน ท่านโหราจารย์ก็ก้าวยาวไปข้างหน้าแล้วฟัดร่างธรรมเปลวเพลิงไปหนึ่งดาบ

ไอน้ำระเหยขึ้นพร้อมเสียง ‘ฉ่า ฉ่า’ เปลวไฟถูกจิตวิญญาณน้ำดับลงแล้ว

ท่านโหราจารย์หยิบประกายไฟขึ้นมากำไว้ในมือแล้วป่าเบาๆ

‘ฟู่ว!’

เขาเป่าออกมาเป็นลิ้นเปลวเพลิงยาวหลายสิบจั้ง และกลืนกินร่างธรรม ‘ดิน’ ที่พุ่งเข้ามาลงไปจนหมด

เปลวไฟดับลง ร่างธรรม ‘ดิน’ กลายเป็นเศษขี้เถ้าลอยล่องออกไป

สุดท้าย ท่านโหราจารย์ก็รวบรวมขี้เถ้าสีดำแล้วจับไว้แน่น ก่อนจะ ‘หลอม’ กำแพงดินสีดำสูงหลายสิบจั้งออกมา จากนั้นจึงสลายร่างธรรม ‘ลม’ ได้

การกระทำชุดนี้ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที โดยใช้น้ำพิชิตไฟ ใช้ไฟพิชิตดิน ใช้ดินพิชิตลม แล้วทำลายร่างธรรมสี่ธาตุของลัทธิเต๋าลงได้

ในฐานะโหรขั้นหนึ่ง นี่เป็นแค่วิธีการธรรมดาทั่วๆ ไป มีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นจึงจะวู่วามใช้วิธีแข็งชนแข็ง

นักบวชเต๋าเฮยเหลียนสะอึกออกมาคำหนึ่งราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักหน่วง

ท่านโหราจารย์ขมวดคิ้วและก้มหน้ามองมือขวา ไม่รู้ว่ามันเปื้อนสีดำตั้งแต่เมื่อใด พลังอันต่ำทรามได้เข้ารุกรานร่างกายของเขาแล้ว

“ฮึ!”

นักบวชเต๋าเฮยเหลียนยิ้มอย่างได้ใจ เขาสังเกตดูท่านโหราจารย์สลายวรยุทธ์วิญญาณน้ำของไป๋ตี้มาตั้งแต่ต้นและรู้ว่าเขามีนิสัยชอบหล่อหลอมวรยุทธ์ของศัตรู

ดังนั้นในร่างธรรม ‘น้ำ’ ที่ดำสนิท จึงมีพลังต่ำทรามอันดำมืดปลอมปนเข้าไปด้วยเช่นกัน

และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อท่านโหราจารย์หลอม ‘อาวุธ’ ออกมาจากพลังแห่งวิญญาณน้ำ พลังต่ำทรามจึงมีโอกาสแทรกซึมเข้าไปได้

นิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศล หลังจากกลายเป็นมาร พลังแห่งบุญกุศลก็กลายเป็น ‘พลังต่ำทราม’ นี่คือวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ซึ่งเหนือล้ำยิ่งกว่าร่างธรรม ‘ดินน้ำลมไฟ’ เสียอีก

ท่านโหราจารย์กำมือขวาแน่นแล้วสลัดของเหลวสีดำข้นส่วนใหญ่ออกไป ส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์มากดเอาไว้

ของเหลวไหลทะลักลงมาจากกลางอากาศ พื้นดินโชคร้ายที่สัมผัสกับมันก็กลายเป็นดินแดนรกร้างที่เพาะปลูกไม่ได้ ต้นไม้ล้วนเหี่ยวเฉา สัตว์ป่าต่างก็คลุ้มคลั่ง

แสงสีใสใต้เท้าของท่านโหราจารย์สว่างขึ้น แล้วหายตัวมายังเบื้องหน้าของเฮยเหลียนแล้วฟันฝ่ามือลงไปยังกลางศีรษะของเขา

สิ่งที่เฮยเหลียนสัมผัสได้ไม่ใช่พลังฝ่ามือ สิ่งที่เขาเห็นก็ไม่ใช่ฝ่ามือที่สับลงมาของท่านโหราจารย์ สิ่งที่เฮยเหลียนเห็นคือเจินเต๋อ คือเพื่อนร่วมนิกายปฐพีมากมายที่ตายอยู่ในมือของเขา คือผู้หญิงที่ถูกเขาขืนใจ คือชาวบ้านธรรมดาที่ตายด้วยน้ำมือเขา

ความโกรธเกรี้ยวของคนเหล่านี้รวมกันเป็นแม่น้ำแล้วกลืนกินตัวเขา

พลังแห่งเวไนยสัตว์…ความโกรธาแห่งปวงชน!

เขาสูญเสียความคิดที่จะต่อต้านไปในทันที รู้สึกได้เพียงแต่ตนนั้นชั่วช้าเลวทราม ไม่สู้ไปเป็นขนนกเสียยังดีกว่า

ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สองมือทำมุทราผนึก เบื้องหลังมีร่างธรรมมัญชุศรีนั่งก้มหน้าทำสมาธิ และเคลื่อนไหวตามมุทราของเขา

ช่องว่างระหว่างท่านโหราจารย์และเฮยเหลียนราวกับควบแน่นจนเป็นกำแพงที่ลมไม่อาจพัดเข้ามาได้ ฝ่ามือที่ตบลงมากลางศีรษะก็ถูกพลังยิ่งใหญ่ขวางเอาไว้

ขณะเดียวกันนั้น สวี่ผิงเฟิงก็ยกเท้าเหยียบลงไป ค่ายกลแม่กลายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จู่ๆ ก็แผ่ขยายออกมาครอบคลุมเฮยเหลียนก็เข้าไปอยู่ในขอบเขตของค่ายกลด้วย

เฮยเหลียนปรากฏตัวอยู่ข้างกายสวี่ผิงเฟิงแล้วหลบเลี่ยงชะตากรรมสิ้นชีพไปได้

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สร้างผนึกอย่างรวดเร็ว แล้ว ‘แช่แข็ง’ อากาศรอบๆ ท่านโหราจารย์ ไม่ให้โอกาสเขาได้เคลื่อนย้ายไปสังหารต่ออีก

‘ซือ ซือ’ ไป๋ตี้อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดออก ลูกสายฟ้าสีขาวจรัสกำลังเดือดอยู่ในปากของมัน

ท่านโหราจารย์วางมือหนึ่งไว้บนเอวแล้วดึงออกมาอย่างแรง นั่นคือแส้ต้อนแกะของซ่าหลุนอากู่

ผลลัพธ์การกัดกร่อนของเฮยเหลียนได้หายไปแล้ว แส้สังหารเทพจึงสามารถใช้งานได้อีกครั้ง

‘พลั่ก!’

แส้สะบัดอยู่กลางอากาศแล้วทำให้อากาศที่แน่นิ่งผืนนั้นกลับมา ‘มีชีวิต’

เขาไม่ได้พยายามโจมตีพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เพื่อทำลายผนึกมัญชุศรี เพราะมันจะล้มเหลวอย่างแน่นอน

ครู่ต่อมา ท่านโหราจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าไป๋ตี้ เขาปิดกั้นความลับของสวรรค์ในช่วงสั้นๆ จึงสามารถซ่อนตัวจากการรับรู้ของไป๋ตี้ได้อย่างราบรื่นและเข้าใกล้ได้สำเร็จ

ท่านโหราจารย์กดริมฝีปากบนล่างของไป๋ตี้แล้วดันมันปิดอย่างแรง

‘ตูม!’

ลูกสายฟ้าระเบิดอยู่ในปากของไป๋ตี้จนควันสีดำลอยออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของมัน สมองที่มีลวดลายเหมือนกับมันฮ่อกระเด็นออกมา ดวงตาดุร้ายสีฟ้านูนออกมาอย่างแรง

ประกายแสงในแววตาของไป๋ตี้เลือนรางจนหม่นลง ร่างกายร่วงโรยอย่างช้าๆ ผิวหนังของมันมีสายฟ้าโลดเต้นอยู่ แขนขากระตุกเกร็งและลอยตัวอยู่เหนือเมฆ สูญเสียพลังต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้เอง เหนือศีรษะของท่านโหราจารย์ก็ปรากฏเงาร่างของสวี่ผิงเฟิง

สองมือของเขากลายเป็นวงแสงแล้ว ‘ผูกมัด’ ท่านโหราจารย์ที่อยู่ด้านล่างไว้ภายใน ‘หวึ่ง’ ค่ายกลทรงกลมถูกจัดเรียงเป็นเสา ในค่ายกลทรงกลมนี้ ผสานด้วยหยินหยางห้าธาตุและลมกับสายฟ้า ล้วนแล้วแต่เน้นไปที่ด้านการโจมตีและการทำลาย

ผนึกมัญชุศรีปิดกั้นพื้นที่รอบๆ ท่านโหราจารย์อีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนย้ายเพื่อหลบหนี

“จงวางดาบลง!”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่ลืมที่จะแสดง ‘ศีล’ เพื่อสร้างอิทธิพลต่อท่านโหราจารย์ เพื่อทำให้เขาไม่อาจสะบัดแส้และ ‘แตกสลาย’ อยู่กลางอากาศ

ทุกคนล้วนเป็นขั้นหนึ่ง ต่อให้เป็นท่านโหราจารย์ก็ไม่อาจปิดกั้นผลกระทบจาก ‘ศีล’ ได้ทั้งหมด เพียงแต่เวลาที่ศีลคงอยู่นั้นสั้นเกินไป สั้นจนแทบจะไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ภายใต้อิทธิพลสองทาง ท่านโหราจารย์กลับไม่ได้หลบหรือสะบัดแส้สังหารเทพในมือ

เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นตบลงไป

ภาพเบื้องหน้าของสวี่ผิงเฟิงเลือนรางริบหรี่ เห็นเพียงแต่ชาวบ้านที่อดอยากหิวโหย สองตาของพวกเขาแดงก่ำ และกำลังก่นด่าสาปแช่งเขา ขบเขี้ยวกัดฟันใส่เขา และทำท่าทางอยากจะฉีกกระดูกของเขาออก

เขาโต้กลับแล้ว โต้กลับโดยใช้โชคชะตา

ประชาชนเป็นตัวแทนของโชคชะตาแห่งภาคกลาง สถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับต้าฟ่ง ส่วนใหญ่ล้วนมีต้นเหตุมาจากสวี่ผิงเฟิงทั้งนั้น

ค่ายกลทรงกลมเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปเพราะสูญเสียการสนับสนุนจากเจ้าของ

ตอนนี้เอง พลังแห่งศีลก็หมดลง ท่านโหราจารย์ลงมือตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาสะบัดแส้สังหารเทพออกมา

‘พลั่ก!’

เขาฟาดไปบนร่างของสวี่ผิงเฟิงจนทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไปราวกับเป็นกระสอบทราย

‘พลั่ก!’

ท่านโหราจารย์สะบัดแส้ครั้งที่สองออกมา แต่แส้นี้โจมตีไปที่ร่างธรรม ‘ลม’ ของเฮยเหลียน เพราะในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ร่างธรรมลมที่เก่งกาจด้านความเร็วได้เข้ามาช่วยชีวิตสวี่ผิงเฟิงไว้

ร่างธรรม ‘ลม’ แตกซ่าน เฮยเหลียนกระอักออกมาคำหนึ่งราวกับโดนโจมตีอย่างรุนแรง

“จงวางดาบลง!”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พุ่งพรวดเข้ามาและไม่ให้โอกาสท่านโหราจารย์ได้สะบัดแส้โจมตีอีก อันดับแรกเขาเคลื่อนไหว้โดยใช้ศีลมาก่อกวน หลังจากเคลื่อนตัวเข้าใกล้แล้ว กล้ามเนื้อด้านหลังก็เคลื่อนไหวอย่างแรง จีวรถูกพัดขึ้น

‘โครม!’

เขาต่อยหมัดออกมาจนเกิดเสียงดังอึกทึกสะเทือนแก้วหู

แม้ว่าจะสูญเสียร่างธรรมระดับเพชร พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ยังคงเป็นร่างวิญญาณขั้นหนึ่ง มีพลังขั้นหนึ่ง และมีวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน

ท่านโหราจารย์และเขาปะทะฝ่ามือกัน สองฝ่ายต่างก็กระเด็นถอยหลัง

พลังฝ่ามือที่มีพลังแห่งเวไนยสัตว์ไม่อาจยับยั้งเจียหลัวซู่ได้ แต่สามารถขัดขวางกระบวนท่าต่อจากนี้ของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้ จนทำให้เขาไม่อาจใช้วรยุทธ์สลายแรงออกมา

ตอนนี้ ในบรรดาผู้อยู่เหนือสามัญกลางทะเลเมฆาทั้งห้านี้ ล้วนแต่ถือว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดทั้งนั้น ทว่าไป๋ตี้ร่างเกร็งกระตุก ถูกสายฟ้าที่ตัวเองก่อขึ้นมาสะท้อนกลับ ร่างธรรมเฮยเหลียนก็ถูกทำลายไปติดๆ เขาก็ถูกพลังสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน

สวี่ผิงเฟิงถูกโชคชะตาสะท้อนกลับ ทั้งยังถูกแส้สังหารเทพฟาดไปหนึ่งแส้ สภาพย่ำแย่ที่สุด

อันดับแรก ท่านโหราจารย์ใช้ฐานะของโหรมาแบกรับราคาที่ต้องจ่ายให้กับการมาเยือนของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ถูกร่างธรรมที่กลับชาติมาเกิดของมหาไวโรจนะทำให้บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าตอนนี้จะรองรับพลังแห่งเวไนยสัตว์อยู่ ดูแล้วองอาจน่าเกรงขามเหนือใคร แต่ร่างกายของเขายังจะทนได้นานแค่ไหนนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้

มีเพียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ที่แม้ว่าจะสูญเสียศีรษะและบาดเจ็บสาหัสจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นเพราะเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรบของเขา สภาพของเขานับว่าดูดีที่สุด

เป็นรองเพียงผู้อยู่เหนือระดับ พลังป้องกันคือที่หนึ่ง สมญานามนั้นไม่ได้มีไว้เรียกเฉยๆ

“แค่กๆ…”

สวี่ผิงเฟิงที่มีเลือดอาบย้อมชุดขาวยกมือปิดปากแล้วไออย่างรุนแรง เลือดข้นเหนียวหนืดไหลแทรกออกมาจากง่ามนิ้วของเขา

เขาที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงมองไปยังท่านโหราจารย์ผู้ไร้เทียมทาน แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

“ท่านโหราจารย์ ตอนนั้นที่ข้าได้ลาออกจากราชสำนักและตัดสินใจสนับสนุนเมืองเฉียนหลง ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีศัตรูเยอะมากแน่ ดังนั้นยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ทุกย่างก้าวทุกขั้นตอนจึงกระทำอย่างมีการคิดคำนวณมาตลอด

“ทั้งอ๋องสยบแดนเหนือ เว่ยเยวียน และเจินเต๋อ แต่ละคนถูกข้าคิดคำนวณความตายให้ทีละคนๆ แต่ข้ารู้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าก็คือท่าน! หากไม่สังหารท่าน แผนการทั้งหมดล้วนกลายเป็นความว่างเปล่าและได้แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเท่านั้นแล้ว”

สวี่ผิงเฟิงกลืนเลือดลงลำคอและค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา

“ดังนั้น เมื่อข้าตัดสินใจก้าวครั้งนั้น อาจารย์อย่างท่านก็กลายเป็นคนที่ต้องหาวิธีสังหารเป็นอันดับแรก ซึ่งแผนการที่จะกำจัดท่านก็ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ความจริงจะสนับสนุนใครก็ล้วนเหมือนกัน แล้วทำไมเมื่อห้าร้อยปีก่อนข้าต้องเลือกเส้นทางนั้นด้วย? อาจารย์ ท่านเคยคิดถึงคำถามข้อนี้หรือไม่ ทหาร เสบียง ล้วนแต่เป็นเพียงของตกแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ข้าเลือกเมืองเฉียนหลงหรอก

“อาจารย์สามารถมองเห็นอนาคตได้ วันนี้ท่านจึงได้ตระเตรียมดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกล่วงหน้า แล้วนำแส้สังหารเทพของซ่าหลุนอากู่มาด้วย ท่านเตรียมการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็เพราะว่าท่านรู้ว่า ในสงครามนี้ ศิษย์นอกคอกอย่างข้าจะโต้กลับเต็มกำลัง และคิดว่าสงครามในอนาคตที่ท่านมองเห็น ผู้ที่ตายคือพวกเรา และผู้ชนะก็คือท่านใช่หรือไม่ ขณะเดียวกัน ท่านยังถือโอกาสทำให้พระพุทธเจ้าบาดเจ็บสาหัส เพื่อปูทางไปสู่อนาคตที่วางไว้

“ท่านเตรียมการได้พร้อมสรรพขนาดนั้น และคำนวณทุกอย่างไปเสียหมด”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ส่ายหน้าเบาๆ “คิดคำนวณทุกอย่างได้ฉลาดยิ่งนัก”

“ส่วนสิ่งที่ข้าต้องการ ก็คือการคิดคำนวณที่แม่นยำไม่ผิดพลาดของท่านโหราจารย์” เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ สวี่ผิงเฟิงก็เผยรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้ออกมา

“อาจารย์ลองคิดคำนวณดูสักหน่อยสิว่าข้าที่รู้ถึงอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า และเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่เหตุใดถึงมีความมั่นใจมากจนมาเป็นศัตรูกับท่านเช่นนี้ได้?”

…………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท