บทที่ 273 หยุดพักใหญ่น้อย-6
ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งก้มหน้าลงเตรียมจะเก็บขึ้นมา ก็พบว่าภายในเครื่องแบบกรมสอบสวนของพวกเขายังมีเสื้อตัวนอกอีกชั้นหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยยิ่งนัก
มีใครที่สวมเครื่องแบบผู้สั่งการกองแล้วข้างในยังสวมชุดลำลองเอาไว้อีก?
หากว่าอากาศเย็น เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้
แต่ตลอดทางที่หลิวรุ่ยอิ่งออกมาจากหอทรงปัญญา ยิ่งเดินทางก็ยิ่งอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงที่นี่ หากไม่มีช่องลมระบายอากาศก็จะร้อนอบอ้าวทีเดียว
แม้แต่พวกพ่อค้าเร่ที่ต้องอยู่กลางแดดข้างถนน ก็ยังอดหยิบพัดขึ้นมาพัดไม่ได้
พาดผ้าเช็ดหน้าไว้ที่คอ คิดว่าก็เพื่อเอาไว้เช็ดเหงื่อ
เมื่อพบความผิดปกติเช่นนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับยังไม่แสดงอาการ
ยังคงสนทนาร่ำสุรากับพวกเขาต่อไป
ประหนึ่งว่ามีความสุขกับถ้อยคำประจบสอพลอของทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะยิ่งนัก
ผ่านไปเนิ่นนาน
ในที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็อ้างเหตุผลว่าตนทานฤทธิ์สุราไม่ไหว และออกมาจากห้องส่วนตัวนั้นเสีย
เขาเดินโซเซลงบันไดมา
พอลงมาก็เห็นว่าหวาหนงกำลังสวาปามอยู่คนเดียวที่โต๊ะ
แต่ที่คอของเขากลับยังมีเม็ดทองคำเส้นนั้นคล้องอยู่
และหลิวรุ่ยอิ่งก็ได้ยินอีกว่า
ประตูห้องส่วนตัวชั้นบนเพิ่งปิดลงตอนที่เขาลงมาข้างล่างเรียบร้อยแล้ว
เห็นได้ว่ามีคนผู้หนึ่งคอยจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลา
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ท่านให้ข้าไปหาคนทุกข์ยาก”
มือข้างหนึ่งของหวาหนงถือขาแกะกำลังกัดในปาก
“ถูกต้อง เจ้าหาไม่เจอหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าไปหาแล้ว หนำซ้ำยังหาอย่างละเอียดนัก!”
หวาหนงกล่าว
“ละเอียดเพียงใด”
“ข้าเดินไปทั่วทุกแห่งในเมืองนี้แล้ว!”
หวาหนงกล่าว
น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดยิ่ง ราวกับว่าห้ามผู้ใดคลางแคลงเด็ดขาด
“เดินจนทั่วไม่นับว่าละเอียด ขี่ม้าชมผกาเดิมทีก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ต้องทุ่มเทใจทั้งหมดเจ้าจึงจะหาเจอ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้ายังพูดไม่จบ”
ในที่สุดหวาหนงก็กินขาแกะนั้นจนหมด
เอามือเช็ดปาก แล้วหันไปจัดการกับอีกขาหนึ่ง
“ข้ากำลังฟังอยู่”
หลิวรุ่ยอิ่งกินเกาลัดคั่วน้ำตาลไปลูกหนึ่ง
แต่หนนี้เกาลัดคั่วน้ำตาลเย็นหมดแล้ว
เย็นเหมือนสุราที่ดื่มไป
พอเกาลัดคั่วน้ำตาลเย็นตัวลง น้ำเชื่อมก็จะเกาะตัวเป็นเปลือกแข็ง
ผิวของเกาลัดแห้งและปริแตก
กลายเป็นว่าไม่อร่อยแม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งกินไปสองลูกอย่างผิดหวัง ช่างไร้รสชาติอย่างกับกินขี้ผึ้ง
จึงเอาเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เหลือกว่าครึ่งห่อโยนทิ้งออกนอกหน้าต่างไป
นึกไม่ถึงว่ากลับถูกขอทานน้อยผู้หนึ่งเก็บไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบแห่งหนึ่งและไม่เห็นตัวอีก
“เจ้าดูสิ ข้าแค่ทิ้งเกาลัดคั่วน้ำตาลห่อหนึ่งไปอย่างส่งเดชก็ยังพบคนทุกข์ยาก เจ้าบอกว่าเจ้าหาทั้งเมืองอย่างละเอียดแล้วรอบหนึ่ง แต่กลับหาไม่เจองั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาไม่ค่อยพอใจนัก
หวาหนงอาจไม่ได้หลอก แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจตัดใจจากเม็ดทองคำเหล่านี้ไม่ได้
แต่หากจิตใจของเขามีเพียงเม็ดทองเส้นนี้แล้ว เช่นนั้นตนก็ไม่มีความจำเป็นใดต้องรับผิดชอบและจัดการภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นแล้ว
แค่จดหมายถอนตัวฉบับเดียวไปแจ้งต่อเซียวจิ่นข่านเป็นพอ
คิดว่าเขาก็คงไม่เคืองโกรธตน
หากจะโทษก็ต้องโทษที่เขาตาถั่วเอง
“ท่านว่าคนเมื่อครู่นี้เป็นคนทุกข์ยากหรือ”
หวาหนงกล่าวทั้งเบิกตาโตขณะชี้ไปทิศทางที่ขอทานน้อยหายตัวไป
“ขอทานไม่นับว่าเป็นคนทุกข์ยาก เช่นนั้นก็เกรงว่าใต้หล้าจะไม่มีคนทุกข์ยากอีกแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คนเช่นนี้ข้าเห็นมีมากมายตลอดทาง พวกเขามีมือเท้าทั้งสี่ครบถ้วน สมองก็ไม่ได้ทึบ คำพูดคำจาจากปากก็ออกมาเป็นชุดๆ ซ้ำยังคล่องแคล่ว ก็แค่เสื้อผ้าเก่าขาดเล็กน้อย แล้วก็นั่งอยู่ข้างถนนเท่านั้น ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเขาทุกข์ยากที่ใด”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบ
เรื่องที่หวาหนงพูดไม่ผิดแต่อย่างใด
ในโลกหล้านี้มีคนตั้งกี่มากน้อยที่ละวางศักดิ์ศรีของตนลง แล้วเอื้อมมือออกไปขอทาน เพียงเพราะเกียจคร้าน
เกียจคร้านจนถึงขั้นยอมไม่ออกแรง แต่ต้องการได้รับ
บางครั้งสตรียังไปขายเรือนร่างที่หอคณิกา
แต่บุรุษกลับทำได้เพียงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างถนน เคาะถ้วยแตก รอผู้คนให้อาหารกินสักคำ
“หากเจ้าเป็นพวกเขาเจ้าจะทำอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เข้าไปในภูเขาสิ! นั่งคุกเข่าอยู่ข้างทางจะมีเรื่องดีอะไร”
หวาหนงพูดอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
“ปัญหาคือเมื่อพวกเขาเข้าไปในภูเขา แต่กลับไม่มีสัญชาตญาณในการดำรงชีวิตเช่นที่เจ้ามี ก่อนอื่นใด พวกเขาไม่มีกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีกระบี่ก็ใช้กระบี่ได้ไม่ว่องไวเช่นเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“กระบี่ของข้าว่องไวยิ่ง!”
หวาหนงกล่าวด้วยรอยยิ้มซื่อ
เขาเลียนิ้วมือ
ประหนึ่งว่าต้องการกินรสชาติเนื้อหยดสุดท้ายที่ติดอยู่บนมือลงท้องไปเสีย
จากนั้นก็ไปหยิบเนื้อวัวตุ๋นชิ้นโตขึ้นมาอีก
“เสี่ยวเอ้อร์!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเนื้อวัวตุ๋นจานนี้ไม่ได้หั่นเป็นชิ้น แต่กลับเป็นทั้งก้อนวางอยู่บนจานเช่นนี้
“นายท่านมีสิ่งใดเรียกใช้หรือขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์เห็นหลิวรุ่ยอิ่งกวักมือเรียกก็รีบวิ่งเข้ามากล่าว
ก่อนนี้เขาเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นไปบนห้องส่วนตัวในชั้นสอง ย่อมรู้ว่าฐานะของเขาไม่ใช่ธรรมดาสามัญ
จึงเพิ่มความเคารพนบนอบจากที่กระตือรือร้นอยู่แล้วขึ้นไปอีกไม่น้อย
เงินทองและอำนาจ
คนเรามักต้องเลือกสักอย่าง
ผู้คนที่ทะนงตน หากไม่มีเงินซื้ออาหารจนอดตาย ก็ต้องไม่มีเงินซื้อยาจนป่วยตาย
สรุปก็คือ ล้วนไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าใด
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่โลภในเงินทอง ทั้งไม่หลงใหลในอำนาจ
แต่เขาออกมาทำงานข้างนอกครานี้ก็ได้สัมผัสด้วยตนเองถึงความสะดวกสบายของเงินทองและอำนาจ
“เนื้อตุ๋นจานนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่หั่นมา”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“นี่…เป็นสหายของท่านท่านนี้ขอมาขอรับ เขาบอกว่าไม่ต้องหั่น ให้นำมาทั้งชิ้นเช่นนี้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์บอก
หลิวรุ่ยอิ่งมองท่าทางที่หวาหนงกำลังกัดกินเนื้อคำโตก็ไม่รู้จะทำเช่นใด
ได้แต่โบกมือให้เสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไป
“ฉะนั้นคนเหล่านั้นไม่มีกระบี่ ทั้งยังใช้กระบี่ไม่ว่องไวเช่นเจ้า หากพวกเขาเข้าไปในภูเขา ก็ไม่เท่ากับว่าส่งอาหารเข้าปากสัตว์ร้ายพวกนั้นหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงฟังแล้วก็วางเนื้อวัวในมือลง
“แต่แรกนั้นกระบี่ของข้าก็ไม่ได้ว่องไวเช่นนี้”
เผยให้เห็นแผงอกของเขา
บนผิวหนังที่ค่อนข้างคล้ำมีรอยแผลเป็นถี่ยิบอยู่เต็มไปหมด
“นี่เป็นรอยกรงเล็บหมาป่า นี่ถูกเขี้ยวเสือกัดครึ่งหนึ่ง ตรงนี้น่าขันที่สุด ถูกนกตัวหนึ่งจิกเอา…”
หวาหนงชี้ที่รอยแผลเป็นเหล่านั้นและเล่าให้หลิวรุ่ยอิ่งฟังทีละแห่ง
“เฮ้อ…”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ
เขาเข้าใจความหมายที่หวาหนงต้องการบอกแล้ว
แรกเริ่มนั้นกระบี่ของเขาก็ไม่ได้ว่องไวเช่นนี้
แต่ในทุกช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนต่อความเป็นตาย มันก็จะเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เหมือนจิ่วซานปั้น
แม้ว่าทั้งสองล้วนร่ำเรียนด้วยตนเองจนมีความสามารถ
แต่ความเป็นอยู่ของจิ่วซานปั้นยังคงสุขสบายและสง่างามกว่ามากนัก
อย่างน้อยก็มีเรือนให้อาศัย ไม่ต้องกังวลว่าอาหารสามมื้อจะอดหรือจะอิ่ม
และเพราะด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง จิ่วซานปั้นจึงล่องลอยไปมาเช่นเดียวกับกระบี่ของเขา
แต่หวาหนงไม่ใช่
ในสายตาของเขา
มีเพียงเป็นกับตาย
ฉะนั้น ความลำบากทุกข์ยากทั้งมวลในสายตาเขา ล้วนต้องอาศัยความพยายามอย่างสุดกำลังของตนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น
เมื่อตนให้เขาไปหาคนลำบากทุกข์ยากเพื่อมอบเม็ดทองคำให้
ก็นับว่าสร้างความลำบากแก่เขาค่อนข้างมากจริงๆ
“แล้วเจ้าคิดว่าความเป็นอยู่เช่นในเวลานี้ดีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ก็ต้องดีสิ! มีเนื้อให้กินทุกมื้อ และยังมีคนให้พูดจาด้วย สิ่งที่ได้พบเห็นข้าล้วนไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!”
หวาหนงกล่าว
แล้วก็เริ่มไปจัดการเนื้อวัวตุ๋นในมือที่ยังกินไม่เสร็จต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
คนเราย่อมต้องมีกระบวนการเริ่มรับเรื่องราวและสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
แม้ในโลกหล้าทุกคนล้วนเป็นผู้ที่สัญจรไปมาผู้หนึ่ง
แต่ผู้ที่สัญจรไปมาเหล่านี้กลับให้ความสำคัญเรื่องใครมาก่อนมาหลังเป็นที่สุด
และเวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งก็คือผู้นำทางของหวาหนงในแดนมนุษย์แห่งนี้
เพียงไม่นาน
ภายในเหลาสุราก็คึกคักขึ้นมาทันที
เหล่าทหารองครักษ์ของเจิ้นเป่ยอ๋องที่คุ้มกันสิ่งของเดินเข้ามาในเหลาสุรา
พวกเขาวางดาบคู่กายลง ถอดหมวกเกราะออก
ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์และเถ้าแก่ให้นำสุราอาหารมาให้
หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่ส่ายหัวเอือมระอา
หากเขาเปลี่ยนฐานะกับเหล่าทหารองครักษ์เหล่านั้น
เขาก็จะไม่อวดเบ่งเช่นนี้แน่
แม้ว่าที่นี่จะเป็นดินแดนของเจิ้นเป่ยอ๋อง
แต่ในเมื่อมีทหารองครักษ์มาคุ้มกันสิ่งของที่อยู่ภายในหีบทั้งสิบแปดใบก็ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แต่มาอวดเบ่งในเมืองเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจถูกคนคิดแค้น
ต้องรู้ไว้ว่ามีเจตนาร้ายมากมายที่สามารถเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วพริบตา
บางคราเขาอาจเป็นคนจิตใจดีงามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่พอความคิดร้ายๆ บังเกิดขึ้น แม้แต่ตนเองก็ยังควบคุมไม่ได้
………………………………………