บทที่ 1340 ตำหนักบรรลุเทพ
บทที่ 1340 ตำหนักบรรลุเทพ
หลังจากที่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เข้าร่วมกลุ่ม พวกเขาก็เดินทางต่อไปสู่ส่วนลึกของภูมิภาคบรรลุเทพ
ระหว่างทาง เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เกี่ยวกับบิดาของตน
ทว่าคำตอบของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
เนื่องจากมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ได้ยินเพียงข่าวเกี่ยวกับเฉินหลิงจวินเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเฉินหลิงจวิน
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวางความกังวลนี้ไว้ จากนั้นจึงถามข่าวคราวเกี่ยวกับเจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ
“พวกเขาได้รับการบ่มเพาะอย่างเหมาะสม เมื่อเจ้ากลับมาจากภพเซียน เจ้าสามารถเดินทางไปยังหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด เพื่อพบพวกเขาได้” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ไม่ได้กล่าวถึงพวกเขามากนัก
“เข้าใจแล้ว” เฉินซีพยักหน้าและเงียบไป
ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ว่า พวกตนกำลังเข้าใกล้เทวาคารบรรลุเทพมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นสืออวี๋ เซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จึงระมัดระวังมากขึ้น และโดยปกติแล้ว ย่อมไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยอื่น ๆ
สองวันต่อมา
“เรามาถึงแล้ว!” สืออวี๋หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน เผยให้เห็นร่องรอยของความคาดหวังอันร้อนแรงที่หาได้ยาก
เรามาถึงแล้วหรือ?
จิตใจของทุกคนปลอดโปร่ง และเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
ในความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ห่างไกลออกไป ความโกลาหลวุ่นวายปกคลุมเส้นทางเบื้องหน้าทั้งหมด มันเหมือนกับจุดสิ้นสุดของความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ เผยตำหนักโบราณตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมอกอันวุ่นวายอย่างน่าประหลาดใจ!
ตำหนักนั้นสูงส่งและโอ่อ่า มีกลิ่นอายอันทรงพลัง มีชายคาหลายชั้น ลักษณะคล้ายเจดีย์ที่ประกอบขึ้นจากคานที่ทอดยาวต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว
ตำหนักโบราณนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ราวกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นภายในหมอกโกลาหล มันสูงเสียดฟ้า บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยปราณโกลาหล ทั้งยังมีดวงดาวสุกใสจำนวนมากรายล้อม เปล่งแสงอันเจิดจรัส ระยิบระยับพร่างพราว
เมื่อมองจากระยะไกล ตำหนักแห่งนี้สูงส่ง วิเศษ และไม่สามารถเข้าถึงได้
เมื่อพวกเขายืนอยู่ข้างหน้ามัน ราวกับตัวหดเล็กเหมือนมดตัวจ้อย เล็กกว่ากระเบื้องของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ!
มีสะพานโค้งก่อนถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์ มันก่อตัวเป็นบันไดสวรรค์เชื่อมไปถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์
มันเป็นดั่งบันไดสวรรค์อย่างแท้จริง ทุก ๆ ขั้นเปรียบเสมือนฟ้าดินอันกว้างใหญ่ สูงลิ่วจนทำให้หัวใจสั่นไหว!
ตำหนักบรรลุเทพ!
เมื่อมองไปที่ตำหนักโบราณที่น่าอัศจรรย์แห่งนี้ ซึ่งดูเหมือนเป็นการสำแดงรัศมีของทวยเทพ สืออวี๋ เซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็เผยท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างแผ่วเบา
นี่เป็นสถานที่ลึกลับและเก่าแก่ที่ดำรงอยู่มานานนับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยโบราณ มันได้ดึงดูดราชันเซียนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งตั้งใจจะหาวิธีกลายเป็นเทพ และเหนือล้ำไปทั้งสามภพ
บัดนี้ มันได้ปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้วจริง ๆ!
เฉินซีก็ตกใจจนกล่าวไม่ออกเมื่อเห็นสิ่งนี้ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สูงส่งและเก่าแก่อย่างยิ่ง ยามที่มองจากระยะไกล เขาก็รู้สึกทันที ราวกับได้ก้าวเข้าสู่โลกอันเป็นอิสระ กลิ่นอายที่แปลกและคลุมเครือมากมายปะทะใบหน้า พวกมันพลุ่งพล่านประหนึ่งกระแสน้ำในมหาสมุทร!
ทันใดนั้น ร่างกายของเฉินซีก็อาบไล้ไปด้วยกฎแห่งเต๋าสวรรค์ และพลังในร่างก็ถูกระงับจนถึงขีดสุด!
นี่เป็นความรู้สึกอึดอัดที่แทบจะหายใจไม่ออก มันเหมือนกับมหาเต๋าที่ตนครอบครองนั้นถูกระงับจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ เสมือนข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้าจักรพรรดิของพวกมัน
โอม~
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในห้วงจิตสำนึกของชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย คลื่นพลังผันผวนที่คลุมเครือแพร่กระจายไปทั่วร่าง มันขจัดความรู้สึกไม่สบายตัวออกไปจนสิ้น ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พลังของมหาเต๋าภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่น่าสะพรึงเกินไปหรือ? เฉินซีรู้สึกเกรงกลัวอยู่ในใจ
ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า นี่เป็นสถานที่ที่มีเพียงราชันเซียนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าไปได้ และมันคงจะแปลกถ้าเซียนทองคำเช่นตนไม่ถูกสยบโดยพลังนี้
“นี่คือตำหนักบรรลุเทพ ตามตำนาน มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดในความโกลาหลในช่วงเริ่มต้นของโลก และถูกทิ้งไว้โดยบรรพบุรุษเต๋าโกลาหล ผานกู่ มีเพียงแต่ต้องผ่านตำหนักนี้เท่านั้น เราจึงจะพบเทวาคารบรรลุเทพที่แท้จริงได้” เสียงของเตียนเตี้ยนดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี
บรรพบุรุษเต๋าโกลาหล ผานกู่!
คลื่นแห่งความตกใจปะทุในหัวใจชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อได้ยินว่าตำหนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ เพราะผานกู่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งเมื่อโลกถูกสร้างขึ้น!
“หรือว่ามีบางอย่างที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษเมื่อผ่านตำหนักแห่งนี้?” หลังจากที่คืนสู่ความสงบ เฉินซีก็สัมผัสได้ว่า ท่าทางของเตียนเตี้ยนและคนอื่น ๆ สงบลงแล้ว แต่เป็นความสงบที่แฝงแววหนักใจไม่น้อย
“ถูกต้อง ข้อจำกัดของทวยเทพนั้นถูกจัดตั้งที่นอกตำหนักบรรลุเทพ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านมันไป” เตียนเตี้ยนตอบส่ง ๆ
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ นั่นเป็นข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุพลังของทวยเทพไว้
ขณะนี้เฉินซีถูกจำกัดโดยการบ่มเพาะของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในเต๋ายันตร์อักขระ สูงปานใด แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดเมื่อเผชิญกับข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
“ฮึ่ม! ดูเหมือนจะมีคนจะมาถึงก่อนเรา” สืออวี๋แค่นเสียงเย็น “มาเถอะ มาดูกันก่อนว่าคู่แข่งของเรามีความสามารถอะไร”
ขณะที่กล่าว เขาก็ทะยานวูบ นำทุกคนตรงไปยัง ‘บันไดสวรรค์’ ที่ไกลออกไป
โอม!
เมื่อก้าวขึ้นขั้นแรกของ ‘บันไดสวรรค์’ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังกึกก้อง แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามา
สืออวี๋คาดการณ์ไว้แล้ว เขาใช้ศิลาเบญจรงค์สร้างกำแพงแสงต้านทานคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวที่โจมตีอย่างรวดเร็ว
“หากเราไม่รีบร้อน เราก็สามารถพึ่งพาข้อจำกัดของบันไดสวรรค์นี้เพื่อบ่มเพาะได้ ยิ่งมันมีพลังกดดันมากเท่าไร ศักยภาพของเราก็จะยิ่งถูกกระตุ้นมากขึ้นเท่านั้น ข้าได้ยินผู้อาวุโสซูเคยกล่าวว่า ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในประวัติศาสตร์ได้ใช้บันไดสวรรค์เพื่อบ่มเพาะตนเอง และได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อย” สืออวี๋ส่ายศีรษะก่อนร่างจะวูบไหว สำแดงพลังของม่านแสงทั้งห้าสีไว้ ขณะทะยานขึ้นไปยังบันไดสวรรค์
เฉินซีประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “อาจมีเพียงราชันเซียนที่กล้าทำเช่นนั้น”
เนื่องจากข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์และบันไดสวรรค์นั้นสูงเกินไป สืออวี๋จึงใช้ศิลาเบญจรงค์และนำพวกเขาขึ้นไปได้ราวหนึ่งก้านธูป ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงปลายทางในที่สุด
จุดสิ้นสุดของบันไดสวรรค์เป็นทางหินปูน ทอดยาวไปจนถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ซ่อนอยู่ในหมอกโกลาหล
ลมหนาวพัดผ่านจนหมอกกระจาย ทางหินปูนที่แสนธรรมดาก็แผ่กลิ่นอายโบราณและอ้างว้าง ซึ่งดูเหมือนกับผ่านการชำระบาปมานับไม่ถ้วน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในที่สุด เฉินซีก็มองเห็นตำหนักบรรลุเทพอย่างชัดเจน และสิ่งแรกที่สะท้อนในดวงตา คือประตูที่รุ่งโรจน์และงดงาม ซึ่งจารึกไว้ด้วยอักขระยันต์ลึกลับนับไม่ถ้วน
อักขระยันต์นั้นเก่าแก่และคลุมเครือยิ่ง ทั้งยังเคลื่อนไหวและบิดไปมาเหมือนลูกอ๊อดจำนวนมาก เฉินซีฟังออกแค่บางคำเท่านั้น
ท้องฟ้า… ผืนดิน… ทำลายล้าง… จำกัด… ทำลาย… ผนึก… เคลื่อนย้าย… ฆ่า… ไฟ…
เฉินซีไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับยันต์อักขระพวกนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นภาษาของเหล่าทวยเทพ
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะกำแพง ชายคา เสาหินของตำหนักศักดิ์สิทธิ์… ล้วนสร้างขึ้นจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้จัก หลังจากผ่านกาลเวลามายาวนาน พวกมันยังคงเปล่งประกายเจิดจ้า และไม่มีสิ่งสกปรกเจือปนใด ๆ ทั้งยังเปล่งรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ที่กระตุ้นความเคารพในหัวใจของทุกคน
“มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์!”
“สืออวี๋และเซียงหลิวหลีจากตำหนักเต๋าหนี่หวา?”
“ราชันเซียนรัตติกาล?”
เมื่อกลุ่มของเฉินซีปรากฏตัวบนทางหินปูนหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ เสียงอุทานอย่างประหลาดใจก็ดังขึ้นทันที
มีร่างยืนอยู่ท่ามกลางหมอกโกลาหลราว ๆ ห้าหกคน มีทั้งชายและหญิง โดยที่ทุกคนมีกลิ่นอายน่าเกรงขามที่ยิ่งใหญ่ประหนึ่งเจ้าเหนือหัว
เมื่อมองดูจากระยะไกล เฉินซีก็รู้สึกเจ็บปวดที่ตาอย่างรุนแรง
แน่นอนว่านี่คือกลุ่มของราชันเซียน!
ในทางกลับกัน สีหน้าของสืออวี๋และคนอื่น ๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ เพราะสังเกตเห็นว่า ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวแห่งนิกายอำนาจเทวะไม่ได้อยู่ในหมู่คนเหล่านี้
แม้แต่อู๋เซียงจื่อแห่งนิกายวิญญาณมารซึ่งเกือบจะถูกพวกเขาสังหาร ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกัน
แต่จากการวิเคราะห์ของเซียงหลิวหลีก่อนหน้านี้ ในบรรดาศิษย์ของนิกายยุคแรกกำเนิดที่มาถึงภูมิภาคบรรลุเทพ และนอกเหนือจากที่เสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงสี่นิกายเท่านั้นที่พวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่า นิกายเหล่านี้ได้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะหรือไม่
แต่กลุ่มคนตรงหน้า กลับมีมากกว่าสี่คน!
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ จำนวนของราชันเซียนที่มาเสาะหาเทวาคารบรรลุเทพในครั้งนี้ มีจำนวนมากเกินกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
“เจ้าลิงเฒ่า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่เข้าไปล่ะ?” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์กล่าวด้วยเสียงที่ดังก้อง ขณะจ้องมองไปที่หนึ่งในราชันเซียนเหล่านั้น ราชันเซียนคนนี้มีรูปร่างผอม ปากแหลม คางเหมือนลิง และดวงตาที่เปล่งประกายด้วยแสงเจิดจ้า เผยให้เห็นท่าทางที่โหดเหี้ยมและดุร้าย
ในเวลาเดียวกัน มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็กล่าวผ่านกระแสปราณไปยังคนอื่น ๆ “เจ้าลิงเฒ่าตัวนี้ เป็นผู้บ่มเพาะไร้สังกัดจากภูเขาน้ำแข็งกลวง มีนามว่าซุนอู๋เหิ่น ส่วนอีกห้าคนที่อยู่เคียงข้างเขา ล้วนเป็นปรมาจารย์ของนิกายยุคแรกกำเนิด”
อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องแนะนำอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เพราะสืออวี๋ และคนอื่น ๆ จำพวกเขาได้ราง ๆ
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามายังซากโบราณสถานแรกกำเนิด ประกอบกับพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นราชันเซียน จึงสามารถคาดเดาต้นกำเนิดของอีกฝ่ายได้คร่าว ๆ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุได้อย่างแน่ชัดว่า ในราชันเซียนทั้งหกนั้น มีกี่คนที่เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ
“ฮึ่ม! ตาเฒ่าสามคนได้เสียชีวิตอย่างน่าอนาถภายในนั้นไปเมื่อสักครู่นี้ ดังนั้นจะมีใครกล้าเข้าไปอย่างผลีผลาม” เมื่อซุนอู๋เหิ่นได้ยินมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เรียกตนว่า ‘เจ้าลิงเฒ่า’ เขาก็กล่าวด้วยถ้อยคำดูถูก
มีบางคนเสียชีวิตภายในนั้นแล้วหรือ?
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ตกตะลึงในใจ สีหน้าเริ่มหนักอึ้ง เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นคือราชันเซียน และการตายของราชันเซียนทุก ๆ คน ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในสามภพ
บัดนี้ ราชันเซียนทั้งสามได้เสียชีวิตภายในตำหนักการบรรลุเทพ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“โอ้? ผู้โชคร้ายเหล่านั้นเป็นใครกัน?” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ดูเหมือนจะค่อนข้างคุ้นเคยกับซุนอู๋เหิ่น เอ่ยถามต่อ
“ฟูเสี่ยวเฉินจากนิกายเมฆาทมิฬ เจ้าหมีเฒ่าจากสันเขาจักรพรรดิพิสุทธิ์ และอู๋เซียงจื่อจากนิกายวิญญาณมาร…” ซุนอู๋เหิ่นตอบส่ง ๆ
อู๋เซียงจื่อ!
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ตกตะลึงเล็กน้อยอีกครั้ง เมื่อได้ยินชื่อนี้
“พวกเขาเข้าร่วมกับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจากนิกายอำนาจเทวะหรือไม่?” เซียงหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้
“ข้าไม่รู้” ซุนอู๋เหิ่นตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำว่า ‘นิกายอำนาจเทวะ’ จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ มันคงเป็นเรื่องลึกลับ ถ้าเขาไม่ทราบจริง ๆ หรืออันที่จริงอาจแสร้งทำเป็นไม่รู้
“พวกเขาอยู่ด้วยกันจริง ๆ” ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีเทาและสง่างาม พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ข้าบังเอิญเห็นพวกเขาเข้าไปในตำหนักบรรลุเทพด้วยกัน”
สืออวี๋เงยหน้าขึ้นมอง และจำชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทาได้ในทันที ว่าเป็นปรมาจารย์ของตำหนักทะยานนภา อี้หรานเฟิง
“หรือว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจะผ่านตำหนักบรรลุเทพ และไปถึงเทวาคารบรรลุเทพแล้ว?” เซียงหลิวหลีถามด้วยใบหน้าเครียดขึง