ตอนที่ 545 เบิกตาให้กว้าง
ตอนที่ 545 เบิกตาให้กว้าง
วังซูเฟินต้องการร่วมมือกับเซี่ยไห่ในการเปิดห้องเต้นรำ แต่เซี่ยไห่ดูไม่ไว้ใจหล่อน จึงไม่ได้ใส่ใจเก็บไปคิดอย่างจริงจัง ท่ามกลางความสิ้นหวัง วังซูเฟินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดึงเฉินเจิ้นกั๋วเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “เหล่าเฉิน ช่วยพูดอะไรหน่อยสิ”
ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ คนเป็นสามีควรออกหน้าพูดแทน
เพียงแต่เมื่อครู่นี้เฉินเจิ้นกั๋วเหลือบไปเห็นเซี่ยอวี่ออกมาพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะมองตามร่างโปร่งระหงของเซี่ยอวี่อีกครั้ง พอวังซูเฟินดึงเขากลับมาถึงรู้สึกตัว แล้วพูดว่า “คุณว่าไงนะ?”
วังซูเฟินมองสามีผู้ไม่เอาไหน จากนั้นก็มองกลับมาที่ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ คิดแล้วก็โกรธมากจนอยากจะเตะเขาเดี๋ยวนี้
พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินเจิ้นกั๋วแล้ว หากเขายังทำตัวลอยชายแบบนี้ต่อไป ครอบครัวพวกเขาคงไม่พ้นต้องล่มจม แล้วคราวนี้จะเอาข้อดีอะไรมาเปรียบเทียบกับครอบครัวของพี่ใหญ่?
ในเมื่อเปรียบเทียบไม่ได้ ก็เข้าร่วมมันเสียเลย
เมื่อก่อนหล่อนเคยดูถูกโจวลี่หรงมาก ใครใช้ให้หล่อนมาจากบ้านนอกล่ะ?
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแตกต่างออกไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแข็งแกร่งของครอบครัวหลินเซี่ย ลูกสะใภ้ของโจวลี่หรง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ที่จริงสถานะทางครอบครัวของลูกสะใภ้หล่อนเองก็ดีมากไม่แพ้กัน เพียงแต่บรรดาญาติ ๆ ของฝั่งสะใภ้ค่อนข้างรังเกียจที่เจียหมิงลูกชายของหล่อนความไร้ความสามารถ
ด้วยเหตุนี้ วังซูเฟินจึงตัดสินใจว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยไห่ โดยเริ่มจากความร่วมมือทางธุรกิจก่อน
ใช่แล้ว คนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้เท่านั้นถึงจะอยู่รอด
วังซูเฟินดึงเฉินเจิ้นกั๋วมาเข้าสังคม “นี่คืออารองของเซี่ยเซี่ย เถ้าแก่เซี่ยเปรยไว้ว่าเขาอยากขยายสาขาเปิดห้องเต้นรำและห้องร้องคาราโอเกะเพิ่ม ฉันเลยบอกไปว่าเรามีตึกว่างอยู่พอดี จะได้ถือโอกาสเรียนรู้การทำธุรกิจจากเถ้าแก่เซี่ยเสียเลย”
“ตึกนั้นไม่ได้เก็บไว้ปล่อยเช่าหรอกเหรอ?” เฉินเจิ้นกั๋วถาม
วังซูเฟินอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเขาจะหมดอายุสัญญาภายในสิ้นปี คราวนี้เราก็จะได้มันกลับคืนมา คุณคงห่างจากเจ้าของร้านนั้นมานานน่ะค่ะ ถึงจำรายละเอียดพวกนี้ไม่ได้”
เฉินเจิ้นกั๋วตอบกลับ “คนดูแลตึกนั้นไม่ใช่คุณหรอกเหรอ? ทำไมผมต้องสนใจด้วย?”
วังซูเฟิน “!!!”
“เถ้าแก่เซี่ย ลองเอาเรื่องนี้กลับไปพิจารณาดูสักวันเถอะค่ะ ถ้าพอจะเป็นไปได้ ฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมมือกัน”
เซี่ยไห่ตอบกลับ “ได้ครับ ระหว่างนี้พวกคุณอย่าลืมแวะไปที่ห้องเต้นรำของเราด้วย”
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว หลินจินซานก็ถามเซี่ยไห่ด้วยเสียงกระซิบว่า “อารอง คนคนนี้เป็นศัตรูของเซี่ยเซี่ย ทำไมคุณยังตกลงที่จะร่วมมือกับหล่อนล่ะ?”
“ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นสมาชิกร่วมครอบครัว ส่วนเราเป็นนักธุรกิจ สนใจแค่เรื่องธุรกิจเท่านั้น ใครก็ตามที่มีช่องทางให้เราทำเงินได้ เราก็ถือว่าคนคนนั้นคือสหาย”
เซี่ยไห่เหลือบมองวังซูเฟินที่กระซิบกระซาบบางอย่างกับเฉินเจิ้นกั๋วอยู่ไม่ไกล แล้วพูดต่อ “ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนี้แค่ทำตัวอวดดีไร้สาระไปวัน ๆ ไม่ชอบความยากจน รักความมั่งคั่ง นี่คือนิสัยที่พบเจอได้บ่อยในคนหมู่มาก แต่นั่นก็เป็นแค่พฤติกรรมส่วนตัวของหล่อน ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยไห่ได้ติดต่อกับวังซูเฟิน แม้เขาจะไม่ได้ชอบหน้าอีกฝ่ายเท่าใด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เกลียดอะไรนัก
เขาเคยเจอคนมาแทบทุกประเภท ที่แปลกประหลาดกว่านี้ก็มีอีกมากโข
สำหรับคนที่ทำธุรกิจแล้ว เขาต้องเบิกตาให้กว้าง
แม้ว่าอารองและอาสะใภ้รองของเฉินเจียเหอจะชอบทำตัวเรื่องมากน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่อุปนิสัยหลัก ๆ พวกเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ไม่อย่างนั้น หล่อนคงไม่มีทางผ่านด่านเคราะห์อย่างผู้เฒ่าเฉินมาได้
เขากำลังมองหาพันธมิตรในเมืองอื่นอยู่พอดี ถ้าในบรรดาเครือญาติพอมีที่ทางให้เขาจริง ๆ เขาก็ยินดีให้ความร่วมมือ ใช่ว่าความสัมพันธ์ฉันท์หุ้นส่วนจะเป็นไปไม่ได้
ความร่วมมือทางธุรกิจควรเป็นไปตามข้อตกลงที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในเอกสารสัญญา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นญาติหรือคนแปลกหน้าก็ตาม
นอกจากนี้ ในฐานะที่พวกเขาเป็นญาติฝ่ายสามีของเซี่ยเซี่ย การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับญาติ ๆ ของครอบครัวเฉินเจียเหอ จะทำให้ชีวิตของหลานสาวยามอยู่ในตระกูลเฉินราบรื่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน
หลังจากงานเลี้ยงจบลง วังซูเฟินก็รั้งเซี่ยไห่ไว้อีกครั้ง เพื่อขอข้อมูลการติดต่อของเขา
เมื่อคนอื่นเห็นว่าวังซูเฟินดูกระตือรือร้นที่จะเข้าหาเซี่ยไห่อย่างเห็นได้ชัด สายตาของทุกคนก็ส่อไปในทางเดียวกัน
ไม่ว่าสถานการณ์ไหน เฉินเจิ้นกั๋วก็ไม่สามารถควบคุมภรรยาของเขาได้เลย
ผู้เฒ่าเฉินมีสีหน้าไม่ดีนัก กระแอมไอเบา ๆ “พวกเขาคุยอะไรกัน?
เฉินเจียซิ่งอธิบายจากด้านข้างว่า “อาสะใภ้รองอยากหารือเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจเปิดห้องเต้นรำกับเถ้าแก่เซี่ยครับ เมื่อกี้น่าจะกำลังแลกข้อมูลติดต่อกันไว้”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเสียงทุ้ม “ห้องเต้นรำประเภทไหน? แบบเดียวกันกับที่เขาทำอยู่น่ะเหรอ?”
คุณย่าเฉินกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในบ้าน จึงรีบเตือนชายชราว่า “อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระส่วนตัวของลูกหลานเลย การทำธุรกิจยังไงก็ถือเป็นเรื่องดี ไม่ดีใจเหรอที่พวกเขากระตือรือร้นจะหาเงินเพิ่ม?”
ถ้าวังซูเฟินสามารถร่วมมือทางธุรกิจกับเซี่ยไห่ได้ ในอนาคตหล่อนจะไม่กล้ามีปัญหากับหลินเซี่ยอีกต่อไป
เอื้ออำนวยต่อความสามัคคีในครอบครัว
วังซูเฟินจดหมายเลขโทรศัพท์ของเซี่ยไห่และที่อยู่ห้องเต้นรำของเขา จากนั้นก็โบกมือลาเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
ผู้เฒ่าเฉินจัดแจงเป็นพิเศษ ขอให้คนขับรถพาญาติฝั่งสะใภ้และคนอื่น ๆ ไปพักอาศัยที่บ้านของพวกเขา แต่ผู้เฒ่าโจวปฏิเสธอย่างแข็งขัน
ผู้เฒ่าโจวยังยึดถือหลักการเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายใช้สิทธิพิเศษนอกเหนือขอบเขตเพื่อพวกเขา
เซี่ยไห่บอกว่า
“ลุงเฉินครับ ไว้ผมกับเย่ไป๋จะแวะไปเยี่ยมคุณทีหลัง พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
เซี่ยไห่อาสาส่งผู้อาวุโสทั้งสองไปพักผ่อน
“จ้ะ”
ระหว่างทางกลับ เฉินเจียเหอเตือนเซี่ยไห่ว่า “อารองกับอาสะใภ้รองของฉันไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ฉะนั้นนายควรระวังเอาไว้หน่อยก็ดี”
เซี่ยไห่ยิ้มอย่างเมินเฉย “ไม่เป็นไร ให้พวกเขามาเห็นสถานที่จริงก่อนก็ไม่เสียหาย ถือเป็นเรื่องดีที่พวกเขามีแรงบันดาลใจ”
วันรุ่งขึ้น เฉินเจียเหอยกกุญแจบ้านหลังใหม่ให้หลินเซี่ย ฝากฝังให้เธอช่วยพาตายายผู้ชราและลุงของเขาไปดูบ้านใหม่
พอหลินเซี่ยไปหาพวกเขาที่บ้าน พบว่าโจวลี่หรงก็อยู่ที่นั่นด้วย
“คุณแม่ ยังไม่ไปทำงานเหรอคะ?”
โจวลี่หรงสวมผ้ากันเปื้อน เพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จหมาด ๆ ต้อนรับหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ฉันขอลาหนึ่งวัน”
โจวเจี้ยนกั๋วเห็นว่าโจวลี่หรงเข้ากันได้ดีกับหลินเซี่ย จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาว เดี๋ยวนี้ถูกใจลูกสะใภ้คนนี้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
คุณยายโจวพูดเสริมจากด้านข้าง “เหลือเหตุผลอะไรให้ไม่พอใจอีกล่ะ? ถ้าหล่อนยังไม่ยอมรับผู้หญิงเก่งอย่างเซี่ยเซี่ย หล่อนก็คงตามืดบอดน่าดู”
หญิงชราโกรธมากเมื่อจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วที่บ้านเกิดของพวกเขา โจวลี่หรงพาลูกสะใภ้คนรองไปที่หมู่บ้านเพื่อคาดโทษกับเฉินเจียเหอ และบังคับให้เฉินเจียเหอหย่ากับหลินเซี่ย
โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยมั่นคงเพียงพอ สามารถอดทนต่อการทดสอบได้
ถึงอย่างนั้นผู้หญิงจอมโวยวายนั่นก็ยังไม่วายพยายามจะทำลายชีวิตสมรสของพวกเขา
เมื่อคืนนี้พวกเขาได้รับฟังโจวลี่หรงอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการหย่าร้างของเฉินเจียซิ่ง ทำให้พวกเขาโกรธมาก
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นางก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าฉากน้ำเน่าที่มักปรากฏให้เห็นในละครโทรทัศน์จะเกิดขึ้นกับหลานสะใภ้ของตัวเองเข้าจริง ๆ
เสิ่นเสี่ยวเหมยใส่ร้ายหลินเซี่ยด้วยการตั้งท้องและแท้งปลอม ๆ เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินให้อภัย
เมื่อคืนผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลโจวพากันวิพากษ์วิจารณ์โจวลี่หรง โดยบอกว่าหล่อนเป็นถึงเสนาธิการสมาคมสตรีแท้ ๆ แต่กลับไม่มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด
โจวลี่หรงกลัวว่าจากนี้ถ้าหล่อนยังละเลยหลินเซี่ย พ่อแม่จะพาลดุด่าหล่อนอีกครั้ง จึงวิ่งเข้าไปในครัวและหยิบชามซุปปลาออกมา แล้วพูดกับหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเช้านี้ฉันทำซุปไว้ เซี่ยเซี่ยกินสักชามหนึ่งสิ”
วันนี้โจวลี่หรงออกไปจ่ายตลาดตั้งแต่ประมาณหกโมงเช้า พอกลับมาก็ต้มซุปปลา และผัดกับข้าวอื่น ๆ สำหรับมื้อเช้า
“ฉันกินมาแล้วค่ะ”
เธอแวะซื้อนมถั่วเหลืองและซาลาเปากินระหว่างทางก่อนมาที่นี่แล้ว
“เอาน่า จิบซุปสักชาม หมดแล้วพวกเราค่อยตามไปดูบ้านหลังใหม่ของเธอก็ได้”
โจวลี่หรงผลักชามซุปเข้าหา หลินเซี่ยไม่อาจต้านทานความกระตือรือร้นของหล่อนได้ จึงต้องหยิบชามขึ้นมาจิบ
ทักษะการทำอาหารของโจวลี่หรงค่อนข้างดีทีเดียว ปลาไม่มีกลิ่นคาว กลิ่นซุปปลาหอมหวนชวนให้เจริญอาหาร หลินเซี่ยดื่มซุปจนหมดในคราวเดียว
แต่เพราะเธอกินเยอะเกินไปเล็กน้อย พอวางชามลงก็เริ่มรู้สึกไม่สบายท้องอีกครั้ง
ด้วยกลัวว่าจะอาเจียน จึงรีบพุ่งตัวไปเข้าห้องน้ำ
ช่วงนี้เธอเป็นอย่างนี้ตลอด ไม่ว่ากินอะไรเข้าไปก็อยากอาเจียนออกลูกเดียว
พอพวกเขาเห็นว่าหลินเซี่ยวิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับปิดปากทำท่าพะอืดพะอม สายตาของผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นก็สว่างขึ้นทันที
“เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยแต่งงานกันมาเกือบปีแล้ว ท้องไส้น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะนะ”
“หมายความว่าหล่อนกำลังท้องเหรอ?”
หวังอวี้เสียพูดขึ้น “ไม่งั้นทำไมหล่อนถึงได้พะอืดพะอมหลังจากจิบซุปปลาล่ะ?”
คุณยายโจวพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆๆ ต้องมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในท้องของหล่อนแน่ เมื่อวานตอนที่หล่อนข้าวกับพวกเรา แม่สังเกตว่าเจียเหอคอยคีบแต่อาหารเบา ๆ ใส่ชามของหล่อน”
โจวลี่หรงเตือนหญิงชราว่า “แม่ อย่าเพิ่งถามเซ้าซี้เกินไปเลย เดี๋ยวหล่อนจะเคอะเขินเอาได้ รอจนกว่าฉันจะหาโอกาสพาหล่อนไปตรวจร่างกายดีกว่าค่ะ”
จากบทเรียนที่เคยได้รับจากเสิ่นเสี่ยวเหมยในคราวก่อน โจวลี่หรงตระหนักว่าควรสงบสติอารมณ์ไว้จนกว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์
“ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม”
เมื่อหลินเซี่ยออกมาจากห้องน้ำ ทุกคนก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่ได้พูดถึงอาการแปลก ๆ ของเธอหรือแม้แต่การตั้งครรภ์
คุณยายโจวแค่พูดด้วยความกังวลว่า “เซี่ยเซี่ย ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเหรอ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “เปล่าค่ะ ซุปปลาที่คุณแม่ทำอร่อยมาก ฉันแค่กินเร็วไปหน่อย”
“คราวหน้าค่อย ๆ กินช้า ๆ นะ”
ดูเหมือนหลินเซี่ยจะไม่ได้พะวงหรือฉุกคิดถึงเรื่องตั้งท้องเลย ทำให้ไม่มีใครกล้าถามคำถามสุ่มสี่สุ่มห้าอีก บางทีเธออาจจะแค่สำลักจริง ๆ ก็ได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ธุรกิจส่วนธุรกิจจริงๆ ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนเลย
ได้บทเรียนจากสะใภ้รองคนก่อนแล้วสินะคะคุณแม่ ถ้าเซี่ยเซี่ยยังไม่ดีพอก็ไม่มีใครดีเท่าแม่ของคุณแม่แล้วค่ะ
ไหหม่า(海馬)