บทที่ 311 ต้าอิน (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 311 ต้าอิน (1)

 

ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูหมู่บ้าน ลู่เซิ่งพลันก้มลงมองพื้นดิน เห็นรอยเท้าเล็กๆ บนชั้นน้ำแข็งแผ่นหนาได้อย่างเลือนราง เป็นรอยรองเท้าหนัง ยังมีรอยบดของล้อรถแทรกอยู่ด้วย

 

แสดงให้เห็นว่าคนในหมู่บ้านเข้าออกเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นคงจะทิ้งร่องรอยที่แจ่มชัดขนาดนี้ในสภาพอากาศหนาวเหน็บแบบนี้ไม่ได้

 

เขาเดินเข้าไปเคาะห่วงประตูอย่างแผ่วเบา

 

ก๊อกๆๆ

 

“มีคนไหม” ลู่เซิ่งไม่ได้พูดเสียงดัง แต่ก็ดังไปทั่วคฤหาสน์ภายในอย่างชัดเจน

 

ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมา

 

เกิดเสียงแอ๊ดเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหน้างามที่ขาวผ่อง เป็นเด็กสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งที่อายุราวสิบแปดสิบเก้าปี

 

“ท่านคือใคร” เด็กสาวถามเบาๆ ด้วยภาษาต้าซ่งติดสำเนียงแดนเหนือ

 

“ข้าผ่านมาที่นี่ อยากจะขอค้างสักคืน ไม่ทราบสะดวกหรือไม่ นี่คือค่าตอบแทน” ลู่เซิ่งหยิบเศษเงินสองก้อนออกมายื่นส่งให้

 

แม้ไม่รู้ว่าที่นี่มีกฎอะไร แต่การค้างสักคืนด้วยราคาหนึ่งตำลึงเงินน่าจะไม่มีปัญหา

 

เด็กสาวสวมขนหนังจิ้งจอกสีขาว ไม่ได้รับเงิน แต่ว่าเปิดประตูออกมาเหลียวซ้ายแลขวา

 

“ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองที่ใกล้ที่สุดหลายสิบลี้ ท่านเดินทางคนเดียวหรือ รีบเข้ามาเถอะ ด้านนอกหนาวเย็นยิ่ง พายุหิมะกำลังจะมาแล้ว ออกมาเดินทางด้านนอก ถ้าช่วยได้เราก็ช่วย การที่ท่านเจอที่นี่ในดินแดนที่หนาวเหน็บแบบนี้ได้ถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง”

 

“แม่นางรู้จักพูดคุยนัก” ลู่เซิ่งยิ้ม

 

“ถูกแล้ว ล้วนเรียนมาจากท่านแม่ ตอนยังสาวนางเคยทำงานในสถานบันเทิงที่เมืองขุนเขาหงส์” เด็กสาวเหมือนกับยึดถือเรื่องนี้เป็นความภาคภูมิใจ

 

“ตามข้าเข้ามาเถอะ ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ด้านใน พวกเรากำลังกินข้าวอยู่ ถ้าไม่รังเกียจท่านก็มากินด้วยกันสิ”

 

“รบกวนแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม ปิดประตูใหญ่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินตัดทะลุลานบ้านเย็นเยียบ ก่อนจะเข้าไปในโถงด้านหน้าพร้อมกับเด็กสาว

 

สตรีงดงามคนหนึ่งกับนักศึกษาสูงใหญ่องอาจผู้หนึ่งกำลังกินข้าวอยู่ในโถงใหญ่ ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนยิ้ม สตรีพูดคุยเรื่องน่าสนใจตลอดเวลา บรรยากาศคึกครื้นยิ่ง

 

“หากไม่รังเกียจก็นั่งกินด้วยกันเถอะ” สตรีงามผู้นั้นสวมกระโปรงยาวสีขาว ท่อนบนใส่เสื้อคว้านคอลึก หากก้มลงมอง จะเห็นร่องลึกของสิ่งที่ละเอียดเกลี้ยงเกลาซึ่งมีสีขาวราวหิมะสองกลุ่มได้มากกว่าครึ่ง น่ารัญจวนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

นักศึกษาดวงตาไม่ล่อกแล่ก แม้ว่าจะมีหน้าตาน่าเกรงขาม กระนั้นเมื่อมองให้ดีจะพบว่าประกายตาของเขาแข็งทื่อ ยามกินข้าวก็ค่อยๆ คีบทีละครั้ง

 

“ก่อนหน้านี้สามีล้มโดยไม่ทันระวัง จนท้ายทอยได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้สติไม่สมประกอบ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ร่างกายเป็นอัมพาตไปครึ่งหนึ่ง ขยับเขยื้อนไม่ได้…ทำให้ท่านเห็นเรื่องน่าหัวร่อแล้ว” สตรีงงดงามแสดงสีหน้าโศกเศร้าเล็กน้อยขณะพูดเรื่องนี้

 

“มิกล้าๆ ท้ายทอยได้รับบาดเจ็บ อาจไปทดลองรักษาด้วยการนวดกะโหลกดูได้” ลู่เซิ่งแนะนำ

 

“นวดกะโหลกหรือ นั่นอันตรายไปแล้ว”

 

เด็กสาวคนนั้นตักข้าววางไว้ด้านหน้าเขา แล้วกลับไปนั่งบนที่นั่งตัวเอง

 

“ชาเลว กับข้าวจืดชืด ขออภัยด้วย” สตรีงามกล่าวเสียงอ่อนโยน

 

“ดีมากแล้ว!” ลู่เซิ่งรีบตอบ อาหารสามอย่างกับน้ำแกงหนึ่งถ้วยตรงหน้ามีปริมาณเยอะมาก พอให้คนสี่ห้าคนกินได้อย่างเหลือเฟือ

 

เขายกชามข้าวขึ้นพร้อมกับคีบกับคำโตกิน

 

ขณะที่กินอยู่ สตรีงามก็วางตะเกียบลง สายตาจับจ้องลู่เซิ่งอย่างสงบ

 

เด็กสาวคนนั้นกำลังพูดเรื่องสนุกอยู่ แต่จู่ๆ ก็หันมามองลู่เซิ่ง ทั้งๆ ที่ปากนางยังพูดเรื่องที่เกิดในวันนี้กับมารดา แต่คอกลับบิดมาในองศาที่น่าเหลือเชื่อ

 

สุดท้ายนักศึกษาคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่งที่กำลังกินข้าวคำโตอย่างสงบเช่นกัน

 

ใบหน้าของทั้งสามซีดขาวจนน่าตกใจ ในห้องเงียบสงัดลง

 

“ล้ม…ล้ม…ล้ม…”

 

ทั้งสามมองลู่เซิ่งเหมือนกับมองเนื้อติดมันอันโอชะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

“ล้มลงสิ…เหตุใดยังไม่…”

 

“ยังมีข้าวอีกไหม” อยู่ๆ ชามข้าวที่ทำจากไม้ก็ถูกยื่นส่งมาถึงหน้าสตรีงาม

 

หลังลู่เซิ่งกินข้าวชามที่ห้าหมด ก็มองกล่องข้าวที่ว่างเปล่าด้านข้าง

 

“ยังมีอีกไหม” เขายื่นกล่องข้าวไปด้านหน้าสตรีงาม พร้อมกับเอ่ยกระทุ้ง

 

เอ่อ…

 

สตรีงามอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบสนองทันที

 

ซู่! นางงอกเล็บแหลมสีดำสนิทเหมือนกับหนามแหลมขึ้นมาบนสองมือด้วยความเร็วสูง แล้วกรีดใส่ลู่เซิ่งทันที

 

เปรี้ยง!

 

สตรีงามพลันถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกใส่อย่างรุนแรง จนปลิวออกไปชนใส่กำแพงด้านหลัง ก่อนจะเกิดเสียงดังสนั่น

 

ยังไม่รอให้นางตอบสนอง พละกำลังอันมหาศาลสายหนึ่งก็พลันลากนางกลับมาลอยอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง

 

“ทำหัวสิงโตเป็นไหม ข้าอยากกินหัวสิงโตน้ำแดง หมูสับเอาสุกเจ็ดส่วน อย่าลืมเติมพริกหม่าเจียว” ลู่เซิ่งยัดชามเข้าใส่อกของสตรีงาม

 

“แล้วก็หุงข้าวเพิ่มด้วย แค่นี้ข้ากินไม่อิ่ม”

 

“เจ้า…!” สตรีงามกางกรงเล็บคิดโถมตัวใส่ร่างลู่เซิ่ง

 

ตูม!

 

พละกำลังยิ่งใหญ่กระแทกใส่ทรวงอกนางอย่างแรง เปลวไฟร้อนแรงปริศนาชนิดหนึ่งทะลักเข้าไปในตัวนางในพริบตา

 

พรวด!

 

สตรีงามกระอักเลือดสีดำออกมาคำโต

 

“พอแล้ว ไปทำกับข้าวซะ อย่าลืมใส่พริกหม่าเจียว” ลู่เซิ่งวางคนลงด้านนอก จากนั้นก็หันมาจดจ่อกับอาหารอย่างอื่นที่อยู่บนโต๊ะต่อ

 

นักศึกษากับเด็กสาวคนนั้นจ้องมองเขาอย่างอึ้งๆ เล็บสีดำคมกริบบนนิ้วสิบนิ้วจะเก็บก็ไม่ใช่ จะไม่เก็บก็ไม่ใช่

 

“พวก…พวกเราเป็นความประหลาดลี้ลับนะ! เจ้าถึงกับให้พวกเราทำกับข้าวหรือ?!” เด็กสาวกล่าวเสียงแหลมอย่างเหลือเชื่อ

 

“ความประหลาดลี้ลับแล้วอย่างไร ความประหลาดลี้ลับทำกับข้าวไม่ได้หรือ” ลู่เซิ่งหงุดหงิดแล้ว “รีบไปๆ! เดินทางมาตั้งนาน อุตส่าห์มีโอกาสได้กินข้าวดีๆ สักมื้อทั้งที รีบหน่อย!”

 

ทั้งสามสบตากัน เด็กสาวยังคิดต่อต้าน แต่ถูกลู่เซิ่งถลึงตาใส่จนผิวหนังทั่วร่างเริ่มลุกไหม้และเจ็บปวดอย่างรุนแรง ดิ้นทุรนทุรายบนพื้น ค่อยทราบว่าในหลายๆ ครั้งความตายกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

 

ระดับความสามารถในการควบคุมอันสมบูรณ์แบบของลู่เซิ่งทำให้นางสัมผัสความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทำให้นางบาดเจ็บจนเกินไป ไม่ต้องพูดถึงตาย แม้แต่รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่ใช่ด้วยซ้ำ

 

ดังนั้นภายใต้การบีบบังคับของลู่เซิ่ง สามความประหลาดลี้ลับได้แต่ทำกับข้าวและเตรียมที่พักให้เขาอย่างว่าง่าย

 

ลู่เซิ่งกินข้าวอิ่มเพียงแค่ครึ่ง เนื่องจากพิษร้ายแรงที่ใส่ด้านกับข้าวในมีมากเกินไปจึงส่งผลต่อความอยากอาหาร ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะพอใจกว่านี้

 

ตอนอยู่ในหมู่บ้านเขาอาบน้ำร้อนอย่างสะดวกสบาย ผัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้ทั้งสามทำอาหารแห้งให้จำนวนมากพอ จึงค่อยเดินออกไปอย่างเชื่องช้า แล้วบินไปยังทิศทางที่กำหนดไว้แล้วต่อไป

 

ขณะมองยุ้งฉางของตนที่ว่างเปล่า สามความประหลาดลี้ลับอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา สิ่งที่ได้มาเพียงหนึ่งเดียวคือแท่งเงินหนึ่งตำลึงที่อยู่ในมือ จึงค่อยรู้ว่าคนผู้นี้ทราบแต่แรกแล้วว่าพวกนางมีปัญหา เพียงแต่อีกฝ่ายไม่กลัวและไม่สนใจ

 

 

ณ ชายแดนราชวงศ์ต้าอิน เขาจันทราหลับใหล

 

“พระอาทิตย์ลาลับยอดภูผา แม่น้ำไหลบ่าผ่านมวลหมอกหนา”

 

ในป่ารกชัฏ อาทิตย์อัสดงเป็นสีเหลืองมัวซัว ท่ามกลางไอหมอกขมุกขมัว นักศึกษาหลายคนซึ่งพกกระบี่ไว้ที่เอวพาเด็กสาวสองคนเดินขึ้นบันไดหินบนเขา

 

นักศึกษาวัยกลางคนคนหนึ่งในนี้โคลงศีรษะท่องบทกวีขณะชมทิวทัศน์งดงามบนเขา

 

“สหายมู่เฉินช่างเจ้าบทเจ้ากลอนนัก เรื่องแต่งโคลงแต่งกลอนอะไรนี่พวกเราคนหยาบทำไม่ได้” บุรุษร่างผอมอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“มิกล้า ได้ผลงานดีๆ เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น!” นักศึกษาวัยกลางคนกล่าวถ่อมตน

 

ขณะพวกเขาชื่นชมมู่เฉินผู้นี้ สตรีที่มีความงดงามหลายส่วนสองคนนั้นก็ไม่ตระหนี่คำชมเช่นกัน

 

พวกเขาขึ้นไปตามบันไดหิน ไม่นานก็หายไปในป่าไกลๆ

 

ด้านข้างบันไดหิน

 

บนที่ว่างทุกๆ ระยะหนึ่งจะมีโต๊ะหินและเก้าอี้หินที่สร้างให้คนพักผ่อนตั้งอยู่ ตอนนี้ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่งมีบุรุษหนุ่มร่างกำยำซึ่งสวมชุดรัดรูปสีดำนั่งอยู่

 

บุรุษหนุ่มไม่พกสิ่งใดบนตัว มีแค่มือเปล่าหมัดเปลือย มัดผมสีดำยาวไว้สูง ใบหน้าไม่นับว่าหล่อเหลามาก ทว่ากลับน่าเกรงขาม บุคลิกเย็นชา ดวงตาสงบนิ่งล้ำลึกราวกับทะเลสาบและมหาสมุทรที่ลึกไม่เห็นก้น

 

บุรุษหนุ่มแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในราชวงศ์ต้าอิน มีผิวขาวเป็นพิเศษ โครงกระดูกแข็งแกร่งสูงใหญ่ มองดูก็รู้ว่ามาจากดินแดนหนาวเหน็บ

 

คนผู้นี้ย่อมเป็นลู่เซิ่งที่บินข้ามเทือกเขาผืนใหญ่มาอย่างรวดเดียว

 

ต้าอินกับต้าซ่งอยู่ไกลกันมากเหลือเกิน เขาบินอยู่ห้าวันห้าคืนแถมยังใช้ความเร็วสูงสุดโดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย ค่อยมาถึงชายแดนต้าอินและเจอหลักเขตแดนบนพื้น

 

จากนั้นก็ใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าๆ ในการเรียนรู้ภาษาของต้าอินซึ่งติดสำเนียงท้องถิ่นจากนายพรานส่วนหนึ่งที่อยู่แถบชายแดน

 

แล้วค่อยมายังภูเขาจันทราหลับใหลแห่งนี้ วางแผนเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และภูมิประเทศที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่กลุ่มคนที่ตามหลังมาจะมาถึง

 

‘หากเป็นไปตามที่นายพรานพวกนั้นพูด เขาจันทราหลับใหลน่าจะเป็นพุทธสถานที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในบริเวณนี้ มีผู้แสวงบุญจากเมืองใกล้ๆ นี้มากราบไหว้เป็นบางครั้ง น่าจะตามหาคนเพื่อถามสถานการณ์รอบๆ ได้’

 

ลู่เซิ่งที่เพิ่งมาถึงต้าอินเป็นครั้งแรกสับสนงงงวยไม่รู้อะไรเลย ทราบแค่ว่าต้าอินคล้ายจะไม่มีการแบ่งคนธรรมดากับตระกูลขุนนาง ส่วนใหญ่อาศัยปะปนกัน ที่นี่มียอดฝีมือในยุทธภพลอยไปลอยมา ทั้งยังมียอดวิชานับไม่ถ้วน แม้อาวุธเทพศัสตรามารจะเป็นพลังงานระดับตัดสินเหมือนเดิม แต่ว่ายอดฝีมือในยุทธภพก็มีพลังอำนาจน่าตกตะลึงเช่นกัน

 

ณ ที่แห่งนี้ อาวุธเทพศัสตรามารมีคำเรียกรวมๆ อีกแบบ นั่นคืออาวุธเพชฌฆาต

 

สำหรับอาวุธเพชฌฆาต พวกนายพรานเพียงเคยได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้น ไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ แม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเขารู้เพียงหนึ่งเดียวคือผู้ปกครองต้าอินไม่ใช่ตระกูลขุนนาง แต่เป็นค่ายพรรคสำนัก หรือที่คนทั่วไปเรียกว่ายุทธภพนั่นเอง

 

‘ยุทธภพ…คล้ายๆ กับในนิยายกำลังภายในบนโลกเก่า’ ลู่เซิ่งไล้นิ้วบนผิวโต๊ะหินอย่างแผ่วเบาเหมือนนึกอะไรออก

 

ขณะครุ่นคิด ก็มีคนอีกกลุ่มเดินขึ้นบันไดมา กำลังมุ่งหน้าไปยังวัดบนเขา ในนี้มีสตรีจำนวนมาก องครักษ์พกดาบติดตามอยู่ด้านหลัง แลดูสภาวะไม่ธรรมดา

 

ตอนที่ลู่เซิ่งนั่งอยู่ที่นี่ ได้เห็นคนแบบนี้จำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นคนรวยที่มีสถานะในเมือง บางคนก็เป็นพ่อค้าร่ำรวย บางคนก็เป็นขุนนาง

 

แน่นอนว่าพวกที่เยอะที่สุดก็คือครอบครัวคนรวยที่มีเงินอยู่บ้าง เพียงแค่สวมใส่อาภรณ์สีสันงดงามฉูดฉาดซึ่งมีคุณภาพดีเล็กน้อย ครอบครัวประเภทนี้หาคนคุ้มกันข้ารับใช้ไม่ไหว แต่พึ่งพาตัวเองได้อย่างเหลือเฟือ จึงเริ่มแสวงหาความสุขและระดับชั้นที่สูงกว่าเดิม

 

นี่เป็นคนที่ลู่เซิ่งพบเห็นมากที่สุด เป้าหมายของเขาคือระดับชั้นนี้หรือสูงกว่า

 

พอลู่เซิ่งมองคนกลุ่มนี้ ก็เห็นป้ายป้ายหนึ่งที่แขวนอยู่บนเอวของคนเหล่านี้ในทันที

 

บนป้ายเขียนตัวหนังสือยึกยือเหมือนกับไส้เดือน ตัวหนังสือเป็นสีดำสนิท ขอบแหลมคม มีสภาวะไม่ธรรมดา

 

ลู่เซิ่งไม่รู้จักตัวหนังสือนี้ เขาเพียงเรียนคำพูดสนทนาพื้นฐานมาจากนายพรานเท่านั้น เลยพูดเป็นแค่คำพื้นฐาน ยังหลอมรวมกับที่นี่อย่างสมบูรณ์ไม่ได้

 

ต้าอินแข็งแกร่งกว่าต้าซ่งมาก เขาเคยอ่านเจอคำบรรยายบางส่วนบนตำรา ขนาดในต้าซ่งยังมีระดับจ้าวแห่งมารหรือปกป้องประเทศโผล่มา ยิ่งอย่าว่าแต่ต้าอิน ระดับปกป้องประเทศจะต้องมีแน่ แถมยังมีไม่น้อยด้วย

 

……………………………………….

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท