ตอนที่ 672 มารเอ้อฝูกำลังวางหมากครั้งใหญ่
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนนำซาหยวนจื่อกลับไปที่อารามเต๋าแล้วให้อู๋เหวยดูแล
อู๋เหวยมึนงงไปหมด ซาหยวนจื่อที่กลางวันยังเป็นมังกรดุร้าย แต่ตอนนี้กลับเหมือนงูที่ตายแล้ว อนาถเป็นอย่างยิ่ง
เขานั่งลงยองๆ แม้จะรู้สึกว่าคนผู้นี้ทำบาปทำกรรมด้วยตัวของเขาเอง แต่ก็ยังคงเผยให้เห็นสายตาที่เห็นอกเห็นใจ “ถูกเจ้าอาวาสน้อยอัดมากระมัง”
ซาหยวนจื่อลืมตาครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงช่องเล็กๆ เมื่อเห็นความเห็นอกเห็นใจอย่างไม่ปิดบังของอู๋เหวย ก็หลับตาลงอีกครั้ง
อู๋เหวยถอนหายใจ ก่อนจะช่วยกับนักพรตน้อยอีกคนยกเขาขึ้นมาส่งไปที่ห้องเต๋า
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมาที่หอเติงเซียน เอ่ยกับศิษย์หลานทั้งสองว่า “ฟ้ามืดแล้ว แสงสว่างไม่เพียงพอ พวกเจ้าไปกินอาหารแล้วพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยอ่านใหม่”
เถิงเจาพยักหน้า มองขึ้นไปด้านบนหอด้วยความกังวลเล็กน้อย เมื่อครู่ตอนอาจารย์กลับมา ทั้งร่างกายราวกับปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
“ไม่ต้องกังวล ไปเถิด” เขาต้องไปช่วยสงบสติคนที่อารมณ์ไม่สงบนิ่ง
เถิงเจาจูงวั่งชวนเดินลงจากหอ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขึ้นไปที่ชั้นบนสุด เห็นฉินหลิวซีกำลังนั่งคัดลอกพระสูตรอยู่บนโต๊ะ เดินเข้าไปดูแล้วทั้งโกรธทั้งรู้สึกขัน
“คัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่เจ็ดสิบสี่ ฆ่าอย่างระมัดระวัง ในเมื่อเจ้าคัดลอกบทนี้ ก็หมายความว่ากำลังตักเตือนตนเอง แต่ตัวอักษรของเจ้า มีไอสังหารปะทุออกมา มีความเกรี้ยวกราด เจ้าต้องการจะฆ่าหรือเกลี้ยกล่อมตัวเองให้ระมัดระวังในการฆ่ากันแน่”
ทุกตัวอักษรที่คัดลอกคัมภีร์หนึ่งหน้านั้นล้วนทะลุลงไปถึงด้านหลังของกระดาษ ราวกับคมมีดที่มีเจตนาฆ่า แทงทะลุหัวใจคน
ฉินหลิวซีลงปลายพู่กันหนักขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ย “เขาสมควรมีชีวิตอยู่หรือ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนนั่งขัดสมาธิ เอ่ยว่า “เขาไม่คู่ควร ดังนั้นเขาจึงต้องชดใช้บาป อีกอย่างการมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้บาปนั้นจึงจะทรมานที่สุด”
“ชื่อเจินจื่อก็ทิ้งเขาไว้ไม่สนใจ ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งเป็นใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีหัวเราะเย้ยหยัน
นักพรตเฒ๋าชื่อหยวนตัวแข็งทื่อ “เขาแตกต่าง”
“ไม่มีอะไรที่แตกต่าง ก็เพียงคนทรยศ ฆ่าล้างโคตรก็เท่านั้น ใครจะไปควบคุมได้ สวรรค์ควบคุมไม่ได้ ยมโลกก็ควบคุมไม่ได้ ยังกล้าบอกว่าข้าฆ่าคนผิดหรือ”
ฉินหลิวซีมองเขา “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยฆ่าผิดคน”
นางฆ่าเฉพาะคนที่สมควรถูกฆ่า
ดวงตาของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนมีความสับสนเล็กน้อย เอ่ย “อาจารย์รู้”
เขารู้ แต่ก็ยังหวังว่าบาปชีวิตในมือนางจะน้อยลงสักหน่อย
เมื่อฉินหลิวซีเห็นท่าทีของเขา ในใจก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ อยากจะทำอะไรบางอย่างเป็นการระบายเพื่อระงับไฟความโกรธในใจ
นางหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ย “ท่านไว้ชีวิตเขาก็ถูกแล้ว จะได้สอบปากคำสักหน่อยว่ารังของชื่อเจินจื่อโจรเฒ่าผู้นั้นอยู่ที่ไหนบ้าง”
“เจ้าปะทะกับเขาแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อีกอย่าง ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาตายแล้วฟื้นคืนมาได้อย่างไร เขาได้กระดูกพุทธะมาหนึ่งชิ้น”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตกตะลึง จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “เจ้าหมายถึงกระดูกพุทธะของมารเอ้อฝูตนนั้นเช่นนั้นหรือ”
“ใช่” ฉินหลิวซีเอานิ้วเคาะโต๊ะพลางเอ่ย “ตอนที่พบเส้นเลือดมังกรนั่น ข้าก็รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานที่ทั้งคุ้นเคยและเหินห่าง แต่กลับไม่ได้นึกถึงกระดูกพุทธะ ตอนนี้ดูแล้ว เป็นข้าที่ละเลยไป เขาได้กระดูกพุทธะหนึ่งชิ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนจึงได้หล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วขโมยร่างเพื่อมีชีวิตอีกครั้ง”
เมื่อนักพรตเฒ่าชื่อหยวนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกหายใจลำบาก อึดอัดเป็นอย่างมาก
“ข้าใช้ไฟนรกบีบบังคับเขาออกจากร่าง แต่เขายังคงมีกำลังหลบหนี กระดูกพุทธะนี้วนเวียนขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในโลกแต่กลับมีพลังเช่นนี้ เหอะ” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “มารเอ้อฝูหนีออกมาแล้ว ทางที่ดีชื่อเจินจื่อควรจะหลบซ่อนให้มิดจะดีกว่า มิเช่นนั้นไม่จำเป็นให้เจ้าไปหาเขา มารเอ้อฝูก็จะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ เพื่อนำกระดูกพุทธะกลับคืนมา”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น ลุกขึ้นเดินไปมาอยู่ในห้อง หลังจากเงียบไปนานก็เอ่ยขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่เกรงว่าทั้งสองจะสมรู้ร่วมคิด มารเอ้อฝูเก็บเขาไว้ใช้ประโยชน์ ทำร้ายคนไปทั่ว”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม นางละเลยข้อนี้ไปแล้ว
หากนางเป็นมารเอ้อฝูจะทำอย่างไร ในระยะยาว แน่นอนว่าจะทำเหมือนกับที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยมา เก็บสะสมลูกสมุน ไม่ว่าจะให้พวกเขาเป็นแนวหน้าหรือใช้ให้เป็นปืนใหญ่สำหรับโจมตี ก็ล้วนดีทั้งนั้น
“ก็ไม่รู้ว่าเขาหนีออกมาแล้วจะทำอะไรบ้าง ตามบันทึกประวัติศาสตร์เมื่อก่อนหน้านี้ ด้วยอารมณ์และนิสัยอันชั่วร้ายของเขา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปก่อความวุ่นวายแก่ผู้คนเป็นแน่” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนปวดหัวเล็กน้อย
มารเอ้อฝูซื่อหลัวเป็นศัตรูสาธารณะอันดับหนึ่งของมนุษยชาติ
และสิ่งที่ทำให้ปวดหัวมากที่สุดก็คือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องการจะทำอะไร
ฉินหลิวซีลองแทนตัวเองดูอีกครั้ง หากนางเป็นเจ้านั่น หลังจากหนีออกมาแล้วจะทำอย่างไร ก่อความวุ่นวาย?
นั่นมันเรื่องเล็กน้อยมาก!
ถูกคุมขังมาหลายพันปีแล้วหนีไปได้ หากไม่วางหมากครั้งใหญ่ก็คงผิดต่อวันเวลาที่เขาถูกคุมขัง
“การสร้างความวุ่นวายแก่ราษฎรง่ายราวกับปอกกล้วย สิ่งที่ข้าต้องการทำก็คือเป็นผู้ที่ทั้งสามโลกไม่สามารถกักขังข้าได้อีกต่อไป!”
ที่หน้ากระท่อมในหุบเขา ชายร่างผอมผู้หนึ่งเล่นกระดูกส่วนคิ้วอยู่ในมือ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนมุมปาก มีแสงจางๆ สะท้อนอยู่ในดวงตาเรียวยาวของเขา
ส่วนที่เท้าของเขามีวิญญาณอ่อนแอกำลังหมอบอยู่ ก็คือชื่อเจินจื่อที่พึ่งหลบหนีมาแล้วยังไม่ทันได้หาร่างใหม่
ชื่อเจินจื่อเงยหน้าขึ้นมองชายที่ใบหน้าราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
เขาได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่เพราะฉินหลิวซี พึ่งจะหนีมาได้ ขณะที่กำลังปรับสภาพพักฟื้น ชายผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ จากนั้นก็เลาะกระดูกหยกที่เขาได้มาเมื่อหลายสิบปีก่อนออกจากวิญญาณของเขา ทำให้เขายิ่งอ่อนแอลง ดวงวิญญาณเริ่มเบาบาง
ชื่อเจินจื่อไม่รู้ว่ากระดูกนี้คืออะไร รู้เพียงว่าเมื่อใช้มันมาฝึกฝนก็จะยิ่งทำได้อย่างใจหวัง แท่นดวงจิตก็ยิ่งชัดเจน มีหลายอย่างที่ราวกับบรรลุได้โดยไม่มีผู้ชี้แนะ มันผุดขึ้นมาในหัวเขาโดยปริยาย
ครั้งแรกที่เขาขโมยร่าง ก็คือตาเฒ่าที่เกิดปีเดียวกันกับเขา ครั้งที่สองก็คือพ่อของซาหยวนจื่อ นั่นก็เป็นร่างที่เข้ากันกับเขามากที่สุด น่าเสียดายที่วิญญาณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งไม่สามารถหลอมรวมได้อย่างเต็มที่ เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณเพียงเล็กน้อย อาศัยจังหวะที่เขาเข้าสู่ช่วงเวลาที่สำคัญบดขยี้หัวใจของตัวเอง
ครั้งที่สามก็คือร่างที่พึ่งจากมาเมื่อครู่ เป็นลูกหลานตระกูลเดียวกันกับเขาเอง แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่แปดอักษรเข้ากันได้ดี ซ้ำยังมีบุญกุศล ข้อเสียอย่างเดียวก็คือเนื่องจากร่างกายอ่อนแอจากอาการเจ็บป่วยจึงไม่แข็งแกร่งพอ มิเช่นนั้นมีหรือจะผ่านด่านของฉินหลิวซีไปไม่ได้
เขาก็รู้ถึงความบกพร่องของร่างนี้ จึงได้หวงแหนไม่ไปต่อกรกับนางซึ่งๆ หน้า แต่ก็ยังคงรีบเร่งมาเพราะป้ายชะตาชีวิตของศิษย์ไร้ประโยชน์ผู้นี้กำลังจะแตก
เมื่อมาคราวนี้ก็กลับไปได้เพียงวิญญาณของตัวเอง
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิมก็คือไปดึงดูดคนอันตรายเช่นนี้มา
บางทีนี่อาจไม่ใช่คน?
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ทำให้เขาอิจฉาตาร้อน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความหวาดกลัว ที่เหลือคือความชื่นชม
“นี่คือของของข้า” ซื่อหลัวก้มหน้า มองชื่อเจินจื่อด้วยสายตาดูถูก ราวกับมองมดตัวหนึ่ง เขานำกระดูกคิ้วกดลงไปที่กึ่งกลางคิ้ว กระดูกชิ้นนั้นหลอมรวมเข้ากับร่างราวกับปลาเกยตื้นที่ได้น้ำ ทำให้เขาหรี่ตาลงอย่างสบายใจ
เขาใช้นิ้วเกี่ยวดวงวิญญาณของชื่อเจินจื่อขึ้นมา เอ่ย “จะติดตามข้าให้ข้าใช้ประโยชน์หรือจะวิญญาณแตกสลายไปซะ”
ดวงวิญญาณของชื่อเจินจื่อสั่นเครือ เอ่ยด้วยความสั่นเทา “ข้าน้อยยินดีที่จะติดตามนายท่านไปชั่วชีวิต คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ขอนายท่านมอบพลังให้ข้าด้วย”
ซื่อหลัวยกริมฝีปาก โน้มตัวเข้าไปที่ข้างหูของเขา เอ่ยสองสามประโยค