บทที่ 1341 ข้อจำกัดของราชาสัประยุทธ์
บทที่ 1341 ข้อจำกัดของราชาสัประยุทธ์
ทันทีที่เซียงหลิวหลีกล่าวเช่นนี้ แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย
จากความรู้อันจำกัด ชายหนุ่มก็พอจะอนุมานได้ว่า วิธีบรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพที่ราชันเซียนเหล่านี้ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อตามหานั้น มันถูกซ่อนอยู่บนเทวาคารบรรลุเทพ
ตอนนี้หากนิกายอำนาจเทวะได้มันไปก่อน ผลที่ตามมาก็คงไม่สามารถจินตนาการได้
อี้หรานเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้น”
เมื่อพวกเขาได้รับคำตอบที่ชัดเจน หัวใจของสืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะดิ่งลง ทั้งยังรู้สึกถึงความร้อนรนในใจ
“เราไม่อาจชักช้าต่อไปได้แล้ว รีบออกเดินทางกันเถอะ” เซียงหลิวหลีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ตกลง!” โดยไม่ไตร่ตรองใด ๆ สืออวี๋ เตียนเตี้ยนและมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ตอบรับคำพร้อมกัน
สำหรับเฉินซี ทำได้เพียงเดินตามต้อย ๆ ไม่ออกความเห็นใด ๆ
“ช้าก่อน” อี้หรานเฟิงรีบกล่าว “ก่อนหน้านี้ เรากำลังหารือที่จะร่วมมือกันเพื่อเข้าสู่ตำหนักบรรลุเทพ ถ้าพวกเจ้าไม่ว่าอะไร ไยไม่มาร่วมมือกันเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน
“ใช่แล้ว ตำหนักบรรลุเทพถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดของเหล่าทวยเทพอย่างแน่นหนา ทั้งยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมายนับไม่ถ้วน มีเพียงแต่ต้องร่วมมือกัน จึงจะสามารถจัดการกับอันตรายเหล่านี้ได้”
“ตำหนักแห่งนี้คือการทดสอบเพื่อกลายเป็นเทพ มีอันตรายอยู่ทุกฝีก้าว ซึ่งมีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น ดังนั้นไม่ควรผลีผลาม ร่วมมือกับพวกเรา วางแผนกันก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง พวกเจ้าว่าอย่างไร”
สืออวี๋กวาดสายตามองกลุ่มของตน จากนั้นก็ส่ายศีรษะและปฏิเสธในท้ายที่สุด “ไม่ดีกว่า เมื่อเทียบกับอันตรายภายในตำหนักแล้ว ศัตรูที่แสร้งว่าเป็นมิตรน่ากลัวกว่าเยอะ”
ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็นำเซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และเฉินซีก้าวเข้าไปในประตูตำหนัก และหายตัวไปทันที
“นี่เขาหมายถึงอะไร?”
“เป็นไปได้ว่าเขาอาจสงสัยเรา”
เมื่อได้ยินการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาของสืออวี๋ ใบหน้าของพวกเขาพลันหมองลง และรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
มีเพียงอี้หรานเฟิงที่กล่าวอย่างใจเย็น “เขาไม่ผิดหรอก แม้เราจะไม่มีเจตนาร้ายต่อผู้อื่น แต่เราก็ต้องระมัดระวังตัว”
คนอื่น ๆ ต่างส่งเสียงฮึดฮัด เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับอี้หรานเฟิง
“อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่พวกเขานำไปก่อน และอาจบังเอิญชี้นำเส้นทางปลอดภัยให้เราได้” จู่ ๆ อี้หรานเฟิง ก็เปลี่ยนหัวข้อและหัวเราะเบา ๆ
คนอื่น ๆ พลันเข้าใจทันที “ใช่แล้ว หากให้พวกสืออวี๋นำไปเช่นนี้ ตอนที่เผชิญกับอันตราย เราก็สามารถใช้พวกมันเป็นโล่กำบังได้”
หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เช่นนั้น เรารีบออกเดินทางกันเถอะ”
“ใช่ หากเราช้าลงหนึ่งก้าว เกรงว่าแม้พวกเราจะสามารถเข้าไปเทวาคารบรรลุเทพได้ แต่เคล็ดวิชาลับในการเป็นเทพก็จะถูกคนอื่นแย่งไป!” อีกคนกล่าวขึ้น
อี้หรานเฟิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินไปที่ตำหนัก
ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็รีบตามไป
ซุนอู๋เหิ่นติดตามอยู่ทางด้านหลังสุด เขาจ้องมองที่แผ่นหลังของอี้หรานเฟิง ครุ่นคิดบางอย่าง …ไยข้าถึงรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังรอให้ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และคนอื่น ๆ ปรากฏตัวกันนะ
แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป
โถงบรรลุเทพเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านได้
…
เมื่อเข้าไปในตำหนักบรรลุเทพ แสงสว่างไสวและเจิดจรัสก็ส่องกระทบดวงตาจนพร่ามัว จนสายตากลับมาแจ่มชัด เฉินซีก็ตกตะลึงในใจอย่างมาก!
เพราะมันมีโลกใบใหญ่ภายในตำหนักบรรลุเทพ!
โลกใบนี้มีภูเขา ทะเลสาบ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ… ในขณะนี้ พวกเขากำลังยืนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่ และกำลังมองลงไปยังโลกอันไร้ขอบเขต
พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่า มีเส้นทางหินปูนทอดยาวอยู่ใจกลางโลก เริ่มต้นจากใต้ฝ่าเท้าของพวกตน และขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต
“ศิลารากฐานมหาเต๋า!” สืออวี๋จำเส้นทางนี้ได้ “พวกเจ้าต้องระวัง เมื่อเราย่างกรายสู่เส้นทางนี้แล้ว เราต้องเผชิญกับอันตรายและจิตสังหารมากมาย ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทเลินเล่อได้”
โอม!
ศิลาเบญจรงค์เปล่งประกายด้วยแสงหลากสี มันพาพวกเขาไปถึงเส้นทางหินปูนที่เรียกว่า ‘ศิลารากฐานมหาเต๋า’
ทันทีที่เหยียบย่ำลงไป สายตาของเขาก็ถูกดึงดูดด้วยเส้นทางหินปูนส่วนหนึ่ง
มีรอยเท้าประทับลึกอยู่บนเส้นทางหินปูน มันดูธรรมดา แต่เมื่อเฉินซีกวาดตามอง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว คมกริบและเปี่ยมอำนาจสังหารประหนึ่งดาบ แผ่ซ่านออกมาจากรอยเท้านั้น
ต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นใดถึงสามารถประทับรอยเท้าไว้ภายในตำหนักบรรลุเทพแห่งนี้ได้
น่าเสียดายที่ครั้งนี้เฉินซีเดาผิด
ความหมายที่อยู่เบื้องหลังรอยเท้านี้ ไม่ได้พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่ง และแสดงให้เห็นว่าราชันเซียนได้เสียชีวิตอยู่ที่นี่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ตำหนักบรรลุเทพ!
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นรอยเท้านั้น สีหน้าของพวกเขาก็หนักอึ้งสุดขีด พลังในร่างพลันส่งเสียงดังก้อง ถูกบีบคั้นให้โคจรพลังอย่างเต็มที่ และไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย
ตุบ!
สืออวี๋หายใจเข้าลึก ความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นฉายวาบอยู่ที่หว่างคิ้ว เขาใช้ศิลาเบญจรงค์ห่อหุ้มทุกคนแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง
โครม!
เฉินซีสัมผัสได้ว่า จิตใจของตนสั่นไหวในทันใด ฟ้าดินในโลกกำลังหมุนวน วิสัยทัศน์เปลี่ยนไป จากนั้นเสียงกัมปนาทก็ดังขึ้น ทำให้จิตใจรู้สึกสับสนมึนงง
เมื่อวิสัยทัศน์ฟื้นคืนเป็นปกติ เฉินซีก็ประหลาดใจทันที
เพราะตอนนี้ตนกำลังอยู่ในสนามรบโบราณที่มีเลือดไหลรินเจิ่งนอง ภูเขากระดูกกองพะเนิน และควันแห่งสงครามก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในสนามรบ มีร่างสูงจำนวนมากในชุดเกราะสัมฤทธิ์ และถืออาวุธประเภทต่าง ๆ ร่างสูงเหล่านี้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเลือด และเข้าล้อมกลุ่มของพวกเขา!
ร่างเหล่านี้ดูเหมือนจะปกคลุมฟ้าดิน ทุกที่ที่สายตาส่องถึง ก็เต็มไปด้วยร่างเหล่านี้อยู่ทุกซอกทุกมุมของสนามรบโบราณ แผ่กลิ่นอายชั่วร้าย และจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรงจนทำใจสั่นสะท้าน
ในความเห็นของเฉินซี ทุก ๆ ร่างในชุดเกราะสัมฤทธิ์เหล่านี้ มีกลิ่นอายที่ไม่ด้อยไปกว่าการดำรงอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
นอกจากนี้ ที่ใจกลางสนามรบ ยังมีร่างสูงตระหง่านน่าสะพรึงกลัว ซึ่งสูงประมาณสิบห้าจั้ง กลิ่นอายลึกราวกับหุบเหว ผมสีแดงเลือดปล่อยสยายดุจน้ำตก และสวมเสื้อคลุมสีเลือด
ดวงตาลึกล้ำเหมือนทะเลสาบสองแห่ง การจ้องมองช่างน่ากลัวเหลือคณา ราวกับว่าหากถูกจ้องเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไร้เทียมทานได้!
การบ่มเพาะของคนผู้นี้จะต้องอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนอย่างแน่นอน และเป็นราชันเซียนที่ครอบครองพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
เมื่อเห็นร่างสูงที่มีผมสีแดงเลือดนี้ สีหน้าของสืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปทันควัน
ทว่าเนื่องจากสืออวี๋และคนอื่น ๆ คอยปกป้องอยู่ เฉินซีจึงไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวจากร่างสูงตรงหน้า และมันทำให้เขาสามารถเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
มิฉะนั้น หากตนมาที่นี่เพียงลำพัง ก็คงถูกบดขยี้โดยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของสนามรบโบราณแห่งนี้ไปตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว!
“ขอบเขตราชันเซียนขั้นสมบูรณ์! อีกแค่ก้าวเดียว เขาก็จะสัมผัสขอบเขตเทวาแล้ว!”
“มี ‘กองทัพนักรบสัมฤทธิ์‘’ ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นกว่าแสนคน!”
“นี่อาจเป็นข้อจำกัดของราชาสัประยุทธ์แห่งตำหนักบรรลุเทพ และมันเป็นข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เราต้องสังหารราชาสัประยุทธ์ที่อยู่ในสนามรบโบราณนี้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป จึงจะผ่านข้อจำกัดนี้ได้!”
“แต่มันน่าแปลก กลิ่นอายของราชาสัประยุทธ์นี้ไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ? นี่เป็นเพียงข้อจำกัดแรกของ ตำหนักบรรลุเทพเท่านั้นเองนะ”
“ฮึ่ม! มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของข้อจำกัดราชาสัประยุทธ์ หากข้าจำไม่ผิด ราชาสัประยุทธ์ที่กลุ่มของนิกายอำนาจเทวะเผชิญหน้านั้น น่าจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในขอบเขตราชันเซียน เมื่อตัวตนที่อ่อนแอตายไป ตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าจะถือกำเนิด และมันจะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ!”
“ไม่แปลกใจเลย ที่เจ้าลิงเฒ่าและคนอื่น ๆ ถึงรั้งรออยู่นอกตำหนัก พวกมันกำลังรอให้เราเป็นผู้นำ จากนั้นราชาสัประยุทธ์ที่พวกมันพบหลังจากเราก็จะเป็นตัวตนที่อ่อนแออีกครั้ง พวกเขาช่างรู้วิธีเอาเปรียบผู้คนจริง ๆ…”
“ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องฆ่าราชายุทธ์ตัวนั้นภายในเวลาหนึ่งก้านธูป มิฉะนั้นเราจะไม่อาจออกไปจากข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้!”
ทันใดนั้น สืออวี๋และคนอื่น ๆ ต่างหารือผ่านกระแสปราณ จิตสังหารพวยพุ่งอยู่ในแววตา
“ฆ่า!”
สืออวี๋ถือศิลาเบญจรงค์ไว้ในมือซ้าย และถือกระบี่เทพลึกลับไว้ในมือขวา จากนั้นจึงนำทุกคนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เขาฟันปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า สังหารกองทัพนักรบสัมฤทธิ์ไปมากกว่าร้อยคนในทันที
ในเวลาเดียวกัน เซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็โจมตีเช่นกัน พวกเขาผสานการโจมตีกับสืออวี๋ เพื่อฝ่ากองทัพศัตรูออกไป
แขนขาที่ถูกตัดขาดกระจัดกระจายไปในอากาศ เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นเต็มท้องฟ้า
การต่อสู้นี้ทำให้สนามรบโบราณอันกว้างใหญ่ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา เสียงกลอง เสียงคำราม และเสียงฟาดฟันดังก้อง ส่งผลให้สวรรค์สั่นสะเทือน…
ควันแห่งสงครามโหมกระหน่ำ กองทัพนักรบสัมฤทธิ์ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
ที่ใจกลางสนามรบโบราณ ราชาสัประยุทธ์ยืนนิ่งไม่ไหวติง เพียงจ้องมองด้วยดวงตาที่เย็นยะเยือก เป็นเหมือนราชาที่บัญชาการกองทัพอันทรงพลัง และควบคุมสนามรบ
ฆ่า!
ฆ่า!
ฆ่า!
ในขณะนี้ สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ไม่ยับยั้งพลังใด ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายออกมาจากร่างกาย และเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ทุกครั้งที่พวกเขาโจมตี มันจะพรากชีวิตของกองทัพนักรบสัมฤทธิ์มากกว่าหนึ่งพันคน ทั้งยังสังหารจนเลือดไหลเป็นลำธาร ผืนดินเป็นสีแดงสด จนท้องฟ้ามืดมัว
ร่างเหล่านี้คือกองทัพนักรบสัมฤทธิ์ที่เทียบได้กับขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
แต่สำหรับราชันเซียน เพียงแค่โบกมือก็สามารถทำลายกองทัพนักรบสัมฤทธิ์ไปได้มากกว่าพันคน เหตุการณ์นี้ทำให้เฉินซีตกตะลึง และเข้าใจความห่างชั้นระหว่างขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นและขอบเขตราชันเซียนอย่างสมบูรณ์ มันเหมือนกับความแตกต่างระหว่างฟ้าดิน อย่างหนึ่งอยู่สูงเหนือขึ้นไป ในขณะที่อีกอย่างอยู่ต่ำเตี้ยบนผืนดิน
แน่นอนว่า ไม่ว่ากองทัพนักรบสัมฤทธิ์เหล่านี้จะอ่อนแอเพียงใด แต่การฆ่าเซียนทองคำอย่างเฉินซี ก็ง่ายดายพอ ๆ กับการบี้มด
นี่คือความห่างชั้นในขอบเขตการบ่มเพาะ
เนื่องจากสืออวี๋และคนอื่น ๆ กำลังบุกโจมตีศัตรู และควบคู่ไปกับการปกป้องของศิลาเบญจรงค์ เฉินซีจึงไม่พบกับอันตรายใด ๆ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือใด ๆ ได้เช่นกัน
เขาทำได้เพียงเฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น และไม่มีพลังพอที่จะทำสิ่งใดได้เลย
เหตุใดศิษย์พี่หญิงหลียางจึงให้ข้ามาที่นี่? พลังบ่มเพาะต่ำต้อยไม่ต่างอะไรกับภาระ แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด?
เฉินซีไม่รู้ตัวเลยว่า ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในห้วงจิตสำนึกกำลังตื่นขึ้นมาจากความเงียบงันอีกครั้ง ทั้งยังก่อให้เกิดความผันผวนที่ไม่อาจมองเห็นเลือนราง