คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 673 นางเป็นกำลังหลักที่สามารถต่อสู้ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 673 นางเป็นกำลังหลักที่สามารถต่อสู้ได้

ฉินหลิวซีไม่ได้ลงจากหอไปกินอาหารเย็น แต่อยู่ที่หอเติงเซียนทั้งคืน เปิดดูตำราลับนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะบันทึกเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของต่างแดน ก่อนที่จะพบข้อมูลที่มีประโยชน์เล็กน้อย

แมงป่องทองทะเลทรายในทะเลทรายดำ ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งทะเลทราย มีพิษร้ายแรง และยังไม่มีศัตรูที่สู้ได้ แต่หาตัวได้ยาก และยิ่งยากที่จะจับมาได้

ฉินหลิวซีกระโดดขึ้นไปบนยอดหลังคาของหอเติงเซียน นั่งขัดสมาธิเผชิญกับผืนฟ้ายามพลบค่ำ หายใจเข้า ไล่วิชาเต๋าที่อยู่ในหัว เคลื่อนย้ายมหาจักรวาล

ยามเช้า สรรพสิ่งตื่นขึ้น

ในอารามมีศิษย์บางคนเริ่มสวดมนต์ตอนเช้า จุดธูปและตะเกียง

ที่เชิงเขามีผู้ศรัทธาถือธูปเทียนเดินขึ้นบันไดท่ามกลางน้ำค้างยามเช้า

มีนกสีสันสดใสร้องเสียงเจื้อยแจ้วหยุดอยู่ไม่ไกล กะพริบดวงตาเล็กๆ ของมัน จากนั้นก็บินขึ้นอย่างโอหัง ไปอยู่บนศีรษะของฉินหลิวซี

ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ในชีวิตของนก ก็เพียงแค่นี้ ตายตาหลับแล้ว

แท่นวิญญาณของฉินหลิวซีแจ่มใส ความแห้งเหี่ยวและความขุ่นมัวในสองวันที่ผ่านมาหายไปทีละน้อยพร้อมกับการเคลื่อนไหววิชาอาคม ลมหายใจตกลงสู่จุดตันเถียน[1] จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

หลังจากเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลเสร็จสิ้น นางก็ยื่นมือออกไปคว้านกบนศีรษะที่ตกใจกลัวกำลังจะบินหนีไป มืออีกข้างบีบจงอยปากที่ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วของมัน สบถขึ้นมาว่า “บังอาจนักนะ”

นักหลากสีดิ้นรน ‘นกย่อมมีวันตาย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อึไว้บนหัวเจ้า’

ฉินหลิวซีดึงขนนกหลากสีอันสวยงามของมัน สะบัดมือไปข้างบน นกหลากสีกระพือปีกบินหนีไป

ฉินหลิวซีนำขนนกปักไว้บนมวยผมตามใจชอบ ก่อนจะลงจากหอมายังห้องที่ซาหยวนจื่ออยู่ อีกฝ่ายได้ทำแผลแล้ว ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่

ฉินหลิวซีจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ กระทั่งเขาลืมตาขึ้นมา

คอของซาหยวนจื่อเกือบถูกนางใช้ด้ายไหมทองตัดขาด ลูกกระเดือกได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เมื่ออ้าปาก ลำคอก็ทำได้เพียงส่งเสียงที่สากยิ่งกว่ากรวดทราย แต่กลับเอ่ยออกมาไม่ได้

ฉินหลิวซีมองเขาเต็มไปด้วยความพยาบาท “ชื่อเจินจื่อไม่ต้องการเจ้าแล้ว เจ้าถูกทอดทิ้งแล้ว อยากร้องไห้สักหน่อยหรือไม่”

น้ำเสียงราวกับกำลังพูดกับเด็กเหลือขอที่ถูกส่งไปสำนักศึกษาแล้วถูกขู่ว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขาแล้ว

ร้ายกาจและซุกซน

ซาหยวนจื่อ “?”

ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าบอกข้ามาว่ารังเก่าของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วข้าส่งเจ้ากลับไปดีหรือไม่”

จะให้คนอัปลักษณ์อยู่ในอารามชิงผิงไม่ได้ ไม่เพียงแต่จะทำให้รูปลักษณ์โดยรวมของอารามดูแย่ลง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ้นเปลืองเสบียงอาหาร

ราวกับซาหยวนจื่อรู้ว่านางคิดอะไร ฉีกยิ้ม เอ่ยสองพยางค์ออกมาอย่างยากลำบาก “ไม่ไป”

เขาไม่เคยนอนในที่ที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ ยิ่งไม่เคยมีคนดูแลเขา โตมาตามยถากรรม ในเมื่ออาจารย์ไม่ต้องการเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะมีชีวิตอย่างไร้ประโยชน์อยู่ที่นี่ รอถูกฉินหลิวซีฆ่าทิ้ง แล้วก็ถือโอกาสทำให้นางรังเกียจ!

อย่างไรเสียเขาก็ไร้ประโยชน์แล้ว

ฉินหลิวซีแสยะยิ้มพลางเอ่ย “เจ้านี่มันตัวปัญหาจริงๆ อาจารย์ไม่ให้ข้าฆ่าเจ้า แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ข้าทำร้ายเจ้า”

หมายความว่าอย่างไร

ซาหยวนจื่อมองดูมือของนางที่วางบนศีรษะของตัวเอง รูม่านตาขดลงเล็กน้อย จ้องมองนาง

ฉินหลิวซียกนิ้วชี้มาไว้บนริมฝีปากบอกให้เงียบ มุมปากท่องคาถา มือหนึ่งวาดทำสัญลักษณ์ อีกมือหนึ่งกดลงบนศีรษะของเขาแล้วหลับตาลง

นางต้องการค้นวิญญาณ

ซาหยวนจื่อรู้สึกถึงการไหลของพลังงานที่รุนแรงมากทะลุผ่านแท่นวิญญาณ ลุกลามไปถึงทะเลจิตสำนึกของเขา ในไม่ช้าการไหลของพลังงานดูเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งอันแหลมคม ค่อยๆ แทงเข้าไปในสมองของเขาทีละน้อย

ความเจ็บปวดเฉียบพลันทำให้สมองของเขาราวกับจะระเบิด เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว และหมดสติไปในไม่ช้า

ฉินหลิวซีร่ายวิชาอาคมค้นดวงวิญญาณของเขา สีหน้าค่อยๆ ซีดขาว เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก

วิชาค้นวิญญาณใช้พลังงานและจิตวิญญาณมากกว่าวิชาทำนายต้าเหยี่ยน และสร้างความเสียหายกับตบะของตัวเอง และผู้ที่ถูกค้นโดยวิชาค้นวิญญาณ สมองก็จะถูกทำลาย ในกรณีที่ไม่รุนแรงเขาจะสูญเสียความทรงจำ และในกรณีที่รุนแรงเขาจะกลายเป็นคนโง่

ฉินหลิวซีขี้เกียจเกินกว่าจะเอ่ยไร้สาระกับซาหยวนจื่อ ยิ่งไม่สนใจว่าเขาจะกลายเป็นคนโง่หรือไม่ นางต้องการหาชื่อเจินจื่อให้พบ หากสามารถเอากระดูกพุทธะมาได้จะดีมาก

แต่ยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มากเท่าใด คิ้วของนางก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นเท่านั้น กระทั่งถึงช่วงเวลาที่ซาหยวนจื่อเกิด

ฉินหลิวซีหยุดมือ ลืมตาขึ้น มองซาหยวนจื่อที่หมดสติไปด้วยใบหน้าซีดขาว สายตาสับสน นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน

มีเสียงเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง ฉินหลิวซีหันกลับไป เห็นสีหน้าที่ดูแย่ของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ลุกขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เอ่ย “รอให้สถานการณ์ของผู้ป่วยทั้งสองรายคงที่แล้ว ผ่านไปสักพักข้าจะส่งท่านไปกักตัวที่ตำแหน่งเส้นเลือดมังกรบนภูเขา”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยอยู่ข้างหลังนางว่า “วิชาค้นวิญญาณส่งผลเสียต่อความสมานฉันท์ของสวรรค์ ไม่จำเป็นห้ามใช้ บางอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ สวรรค์ย่อมเตรียมการไว้แล้ว เจ้าจงจำไว้ว่าตัวเองจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า เอ่ย “ข้าคิดว่าท่านจะตำหนิที่ข้าค้นวิญญาณเขา” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ตอนนั้นชื่อเจินจื่อขโมยร่างบิดาของเขา ฆ่ามารดาของเขา จากนั้นก็อุ้มเขาที่พึ่งอายุได้หนึ่งเดือนไป”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตกตะลึง มองไปยังซาหยวนจื่อ

ยอมรับโจรเป็นบิดา

นี่มันเคราะห์กรรมอะไรกัน

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถอนหายใจ

ฉินหลิวซีเดินออกไป พรูลมหายใจออกมา กลับไปยังห้องเต๋าของตัวเอง หลังจากกลืนยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดก็พาเถิงเจาและคนอื่นๆ กลับเมืองไป

นางยังต้องฝังเข็มให้ตู้เหมี่ยนและเฉวียนจิ่ง จากนั้นก็ไปหาชื่อเจินจื่อ แล้วก็ไปจับแมงป่องทองมาทำยาพิษ นางยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวิธีการปรุงพิษนี้ ให้สามารถโจมตีพิษได้โดยไม่สร้างความเสียหายต่อเฉวียนจิ่งมากกว่าเดิม

ส่วนซื่อหลัว ในเมื่อหาเขาไม่พบและคิดไม่ออกว่าเขากำลังวางหมากอะไร จึงทำได้เพียงปล่อยไปก่อนชั่วคราว อย่างไรเสียเจ้าแห่งยมโลกก็เป็นกังวลยิ่งกว่านาง นั่นเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา จะเอาแต่พึ่งพานางที่เป็นคนธรรมดาได้อย่างไร

บรรดาขุนนางในยมโลกที่กำลังกังวลใจพึ่งจะตัดสินใจให้เทพเจ้าประจำแต่ละเมืองส่งเรื่องค้นหาร่องรอยของซื่อหลัวไปยังเจ้าอาวาสวัดและอารามเต๋าต่างๆ ในโลกมนุษย์ พวกเขาจะต้องร่วมมือกันจับกุมมารเอ้อฝูซื่อหลัว และเพื่อเป็นการตอบแทน พวกเขาจะช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อนักพรตเต๋าสื่อสารกับเทพเจ้า จะลงมาบ่อยๆ หรือประทานความสามารถให้บ่อยๆ

ใช่แล้ว แม้แต่นักพรตเต๋าที่มีความสามารถ ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียกเทพเจ้าหรือกระทั่งเชิญยมทูตได้สำเร็จทุกครั้ง ก็มีบางครั้งที่ไม่สำเร็จ ตอนนี้บรรลุข้อตกลงกันแล้ว ต่อไปนี้คาถาไล่ผีจับวิญญาณต่างๆ จะต้องประสบความสำเร็จกว่าแต่ก่อนอย่างแน่นอน

ดังนั้นผู้ฝึกบำเพ็ญในวัดของต้าเฟิงจึงได้รับความฝันจากเทพเจ้าประจำเมืองให้ค้นหาและจับกุมมารเอ้อฝูซื่อหลัว ผู้ที่ทำสำเร็จ บุญที่มีอยู่น้อยนิดก็จะเพิ่มพูน มีบุญกุศลอันยิ่งใหญ่

ฉินหลิวซีก็รู้เรื่องนี้ แต่นางไม่ได้ถูกเข้าฝัน เป็นเหล่าเฮยที่มาบอกนางด้วยตัวเอง แม้ว่านางจะสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องผ่านข้อตกลงนี้ แต่เรื่องการสะสมบุญกุศล จะขาดนางไปไม่ได้

นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าอะไรเหล่านั้น แต่กลับให้เหล่าเฮยช่วยหาผีทางด้านทะเลทรายดำ เพื่อให้จับตาดูร่องรอยของแมงป่องทอง

เฮยอู๋ฉังย่อมไม่ปฏิเสธ สิ่งที่เขาไม่กล้าบอกก็คือบรรดาผู้บังคับบัญชาต่างบอกว่าในการต่อกรกับซื่อหลัวจะขาดใครก็ได้ แต่จะขาดฉินหลิวซีเทพแห่งความชั่วร้ายไปไม่ได้ นางคือกำลังหลักเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถต่อสู้ได้

ฉินหลิวซีจามก่อนจะยกมือลูบท้ายทอย รู้สึกเย็นวูบวาบ เป็นลางร้าย

[1] จุดตันเถียน คือ จุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท