ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 219 หินวิญญาณเท่านั้นเองหรือ ข้ามีมากมายนัก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 219 หินวิญญาณเท่านั้นเองหรือ ข้ามีมากมายนัก!

บทที่ 219 หินวิญญาณเท่านั้นเองหรือ ข้ามีมากมายนัก!

ภายในมิติของหัวหน้าตะขาบมรกต เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยความร่วมมือของหลิงเยว่และฝูงตะขาบมรกต!

ดินที่มีแปดธาตุช่วยเพิ่มสีสันอื่นนอกเหนือจากสีเขียวขจีให้กับพื้นที่รกร้างแห่งนี้ดูสวยงามขึ้น เมื่อถึงเวลาปลูกสมุนไพรวิญญาณจำนวนมาก คงจะสวยงามขึ้นอีกไม่น้อย!

“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยรีบออกมาเดี๋ยวนี้! พวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้ว!” หัวหน้าตะขาบมรกตซ่อนตัวอยู่ในซากปรักหักพังร้องเรียกหลิงเยว่

เมื่อหลิงเยว่ที่กำลังจะเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์ได้ยินดังนั้น มือของนางพลันสั่นไปเล็กน้อย เรื่องใหญ่โตอะไรกัน?

หลิงเยว่ที่ถูกคายออกมาทรงตัวไม่อยู่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ก่อให้เกิดกลุ่มเถ้าสีดำลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

เถ้าสีดำ?

เมื่อหลิงเยว่ยกมือตัวเองขึ้นมา แล้วเงยหน้ามองซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยเถ้าสีดำ ร้านมูลค่าพันล้านของนางหายไปไหนแล้ว!

มันหายไปไหนหมด!

แม้กระทั่งตึกบนถนนชิงเฟิงก็ถูกเผาจนพังพินาศ สภาพการณ์เลวร้ายเสียยิ่งกว่าถูกกองทัพบุกโจมตี ไกลออกไปยังมีไฟที่ลุกโชนพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง

เป็นจริงดังที่กล่าวมา… พวกเราเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!

“ระบบ! เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่าร้านของข้าสามารถทนน้ำทนไฟได้ แม้แต่เจอฟ้าผ่าก็ยังต้านทานได้ไม่ใช่หรือ?” หลิงเยว่หาเรื่องระบบทันที

[จริงอยู่ว่าร้านนี้สามารถทนน้ำ ไฟ และสายฟ้าได้ แต่การถูกพลังกระบี่ของผู้บำเพ็ญขอบเขตทะยานเซียนฟาดฟัน แม้แต่อาคมที่ซับซ้อนก็ต้านทานการโจมตีของผู้บำเพ็ญระดับสูงอย่างต่อเนื่องไม่ได้]

[ข้ามีม่านพลังระดับเทพ ราคาหนึ่งแสนล้าน อาจต้านทานผู้บำเพ็ญระดับฝ่าทัณฑ์สวรรค์ได้…]

“เงียบปากเดี๋ยวนี้!”

สถานการณ์เช่นนี้ยังจะมาขายของอะไรอยู่อีก! ระบบบ้านี่! ราคาตั้งแสนล้าน แม้ว่าจะมีพอ แต่นางไม่ยอมซื้อเด็ดขาด! เจ้าระบบคงโกรธจนจะชักตายอยู่แล้วกระมัง!

“เจ้าดูเถิด…”

หัวหน้าตะขาบมรกตสะกิดหลิงเยว่ พร้อมกับชี้ไปที่ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างหลุมขนาดใหญ่ เมื่อหลิงเยว่เพิ่งจะหันไปมอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็หันมาพอดี เขายิ้มออกมาก่อนจะถามกับหลิงเยว่ว่า

“ใช่… แล้วท่านคือ?” หลิงเยว่เช็ดใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นของนาง พร้อมกับใช้สายตาลอบชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างตั้งใจ แล้วก็เหลือบไปทางด้านหลังเขา คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสหลิว พร้อมกับเหล่าปรมาจารย์นักกลั่นโอสถระดับสูงทั้งชายและหญิงอีกหลายคนที่ดูไม่ออกว่ามีการบำเพ็ญอยู่ในขอบเขตใด คนแปลกหน้ามองนางด้วยสายตาประหลาด ส่วนคนคุ้นเคยรวมถึงเหล่าลูกศิษย์ต่างมองนางด้วยสายตาเห็นใจและเวทนายิ่งนัก แม้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่และนายท่านตระกูลเซี่ยก็ยังมองเช่นนี้

หลิงเยว่พลันรู้สึกใจคอไม่ดี

“ข้าคือเจ้าเมืองฝู่ซาง” ท่านเจ้าเมืองฝู่ซางยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นกระดาษสีเหลืองให้หลิงเยว่ “จงดูเถิด หากไม่มีข้อโต้แย้งใด จงชำระหนี้ให้เรียบร้อย แล้วข้าจะไม่เอาความผิดกับเจ้าอีก”

ชำระหนี้ให้เรียบร้อย…

หลิงเยว่ใช้มือที่สั่นเทาหยิบใบแจ้งหนี้มาคลี่ออก ดูเหมือนนางจะกางมือไปจนสุดหลังแล้ว แต่ใบแจ้งหนี้ก็ยังเปิดออกได้ไม่ถึงหนึ่งในสามส่วน บนกระดาษมีตัวหนังสือมากมายจนตาลาย ช่างอึดอัดใจนัก!

หัวหน้าตะขาบมรกตผู้ใจดีช่วยกางออกต่อ เขาถอยหลังจนไปสุดถนนใบแจ้งหนี้ถึงได้ปรากฏทั้งหมด

“ค่าใช้จ่ายในการทำลายถนนชิงเฟิงนี้ ข้าต้องรับผิดชอบทั้งหมดอย่างนั้นรึ?”

เหล่าผู้ฟังเริ่มได้ยินเสียงสั่นเครือในน้ำเสียงของหลิงเยว่

“ถูกต้อง เพราะผู้ที่ร่วมทำลายถนนชิงเฟิงต่างก็ตายไปหรือไม่ก็หนีกันไปหมดแล้ว ในขณะนี้สามารถจับกุมได้เพียงแค่เจ้าเท่านั้น” เจ้าเมืองฝู่ซางยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกว่าสีหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้าช่างมีชีวิตชีวาและน่าสนใจเสียจริง

“แถวนี้เขาอ่านว่าอะไร?” หัวหน้าตะขาบมรกตที่ไม่รู้หนังสือจึงคว้าแขนเซี่ยซิ่นรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ มา แล้วชี้ไปที่แถวสุดท้ายของตัวอักษร

“จำนวนเงินที่ต้องชดใช้คือสี่พันสี่ร้อยสี่สิบสี่พันล้าน… หินวิญญาณระดับสูง!”

เซี่ยซินรุ่ยตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า ผู้ที่มาดูความคึกคักต่างสำลักไปตาม ๆ กัน

ถนนที่พังทลายไปมีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?สี่พันสี่ร้อยสี่สิบสี่พันล้านหินวิญญาณระดับกลางก็น่าจะพอเพียงแล้ว แต่สี่พันสี่ร้อยสี่สิบสี่พันล้านหินวิญญาณระดับสูงนั้นสามารถสร้างเมืองเล็ก ๆ ได้ทั้งเมืองเชียวนะ!

“ท่านช่างไม่ยุติธรรม” ท่านอาจารย์ใหญ่แสดงสีหน้าเย็นชา พลางจ้องมองไปที่เจ้าเมืองฝู่ซางด้วยสายตาเฉียบขาด

“เจ้าจะไม่รู้ราคาของม่านพลังระดับสุดยอดที่สามารถปกคลุมได้ทั้งเมืองเลยหรือ? ด้วยฝีมือของพวกเจ้า ทำให้ม่านพลังเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ หากต้องการซ่อมแซม… ของที่ข้าเรียกไปนี้ยังน้อยเกินไปเสียอีก!”

ม่านพลังระดับสุดยอดนั้น จากชื่อได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่ ม่านพลังจะรักษาให้การต่อสู้ยังคงอยู่ในขอบเขตจำกัด ไม่ให้ลุกลามออกไป ไม่เช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญในขอบเขตทะยานเซียนผู้ทรงพลังจำนวนมากเช่นนี้ ถนนชิงเฟิงจะถูกทำลายไปได้อย่างไร?

มันมีค่ามากมายนัก!

สีหน้ายิ้มแย้มของเจ้าเมืองพลันหายไป ก่อนจะแผ่พลังอำนาจออกไปจนทั่วบริเวณ

“เจ้าจะชำระหนี้ทั้งหมด หรือไม่ก็ออกไปจากเมืองฝู่ซาง แล้วเตรียมตัวรับมือกับการไล่ล่าจากกองกำลังพิทักษ์ฝู่ซางไว้ได้เลย!”

เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาอันเฉียบขาด หลิงเยว่ก็หัวเราะออกมา “แค่สี่พันห้าร้อยล้านหินวิญญาณเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองไยต้องโมโหไป ข้ามีหินวิญญาณอีกมากมายนัก!”

หากไม่อยากสูญเสียเวลาเก็บเกี่ยวอายุขัยห้าหมื่นปีจากภารกิจหลัก หลิงเยว่คงหันหลังเดินจากไปทันที จะตามล่านางก็ช่างเถิด เพราะนางเคยโดนตามล่ามาแล้ว!

หลิงเยว่ต้องอดทนไปอีกสองปี พอภารกิจเสร็จสิ้นนางจะจากไปทันที!

หลิงเยว่หัวเราะก่อนจะเปิดแหวนเก็บของ หินวิญญาณระดับกลางจำนวนมากไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ หินวิญญาณเหล่านั้นยังคงไหลไม่หยุดจนกระทั่งเต็มไปครึ่งถนน

“ที่เหลือก็ถือว่าข้าให้เป็นค่าเหนื่อยแก่ท่านเจ้าเมืองแล้วกัน”

ก็เขาเล่นเขียนใบแจ้งหนี้ยาวเหยียดจนเต็มครึ่งถนนเช่นนั้นจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร?

หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยล้านเท่ากับหินวิญญาณระดับสูงสิบล้าน สุราสร้างรากฐานหนึ่งจอกเท่ากับหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งร้อยล้าน และตอนนี้นางมีมากกว่าสามร้อยล้านเสียอีก!

ผู้คนที่ยืนมุงอยู่ต่างเบิกตากว้าง โอ้! ถึงให้พวกเขามีชีวิตอีกพันปี ยังยากที่จะหาหินวิญญาณที่สามารถนำมาปูถนนได้ครึ่งสายเช่นนี้

ช่างร่ำรวยเหลือเกิน!

ซีหลินที่เฝ้าดูอยู่มองหลิงเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ นี่ต่างหากคือผู้ที่มองหินวิญญาณเป็นเพียงเศษธุลี!

เขาตัดสินใจแล้ว ต่อจากนี้หลิงเยว่จะเป็นแบบอย่างตลอดชีวิตของเขา!

“ดีมาก! ช่างเป็นคนที่น่าเกรงขามยิ่งนัก!” ท่านปู่ตระกูลซีชี้ไปที่สีหน้าไม่สู้ดีของท่านเจ้าเมืองแล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ยังเหลือหินวิญญาณระดับสูงอีกกว่าสี่ร้อยล้านเลยนะ ท่านเจ้าเมืองเป็นถึงหมาเฝ้าบ้านให้หอจี้ซื่อมานานหลายปี ยังไม่เคยได้ค่าเหนื่อยมากมายขนาดนี้เลยไม่ใช่หรือ?”

ผู้คนรอบข้างได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เจ้าสุนัขเฒ่าซี อย่าได้ใจนัก!”

แต่ท่านปู่ตระกูลซีกลับไม่ได้สนใจ ยังคงหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิมจนน้ำตาแทบไหล

“ข้าแค่พูดความจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด อย่าได้กริ้วเลย เชิญท่านเจ้าเมืองรับความเหน็ดเหนื่อยของท่านไปเสียเถิด” บรรพบุรุษตระกูลหมิงผู้สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าราวกับนักบำเพ็ญทั่วไปแสยะยิ้ม

“เพื่อเด็กน้อยสร้างรากฐานเพียงคนเดียว พวกเจ้า… แน่ใจหรือว่าต้องการเป็นศัตรูกับหอจี้ซื่อ?” ผู้อาวุโสหลิวจ้องมองเหล่าชายชราที่ปรากฏตัวออกมาทีละคนอย่างรังเกียจ พวกนี้ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!

หอจี้ซื่อนั้นเคยล่วงเกินพวกเขาเหล่านี้ตอนไหนกัน?

“ผู้อาวุโสหลิวกล่าวเกินจริงไปแล้ว เพียงแค่เสียดายยอดฝีมือเท่านั้น เหตุใดจึงกล่าวว่าเป็นการเป็นศัตรูกับหอจี้ซื่อเล่า?” ท่านอาจารย์ใหญ่ทำหน้าฉงน ก่อนจะแสร้งถาม “หรือว่าเงินรางวัลหนึ่งพันล้านหินวิญญาณเพื่อแลกกับหัวของหลิงเยว่นั้น เป็นสิ่งที่หอจี้ซื่อของพวกท่านประกาศออกมา?”

“เป็นไปได้อย่างไร? เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!” ท่านปู่ตระกูลซีโต้กลับเสียงดัง “หอจี้ซื่อกระทำการด้วยความยุติธรรมมาโดยตลอด เหตุใดจึงทำเรื่องลอบกัดเช่นนี้ จานโจว เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายเช่นนี้!”

ยุติธรรมหรือ?

ผู้คนรอบข้างต่างหัวเราะเย้ยหยัน พวกเขาผูกขาดกิจการโอสถทั้งหมด ซื้อโอสถจากเหล่านักกลั่นโอสถในราคาต่ำ แล้วนำไปขายต่อในราคาสูง ทำให้เหล่านักกลั่นโอสถต่างต้องจำใจยอมรับ เพราะหากไม่ขายให้หอจี้ซื่อ คงต้องตายอย่างแน่นอน!

เหล่านักกลั่นโอสถผู้เปราะบางจะกล้าต่อกรกับหอจี้ซื่อผู้ยิ่งใหญ่หรือ?

มีวิธีการเดียวเท่านั้นคือการเข้าร่วมกับหอจี้ซื่อแต่โดยดี!

แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้กล้าหาญออกมาในดินแดนตะวันออกนี้ด้วย! ฝูงชนรอบข้างจึงเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท