ตอนที่ 386 เว่ยเฟิงแต่งงาน
อากาศค่อยๆ อุ่นขึ้น ไม่นานก็เข้าสู่เดือนสอง
เดือนสองของปีหย่งอันที่สิบแปด สำหรับคนต้าโจวโดยเฉพาะคนเมืองหลวงแล้ว มีความหมายพิเศษอย่างยิ่ง
นี่เป็นวันที่มีการสอบทุกสามปี
เริ่มตั้งแต่วันที่เก้าเดือนสอง มีการสอบสามรอบต่อเนื่อง การสอบแต่ละรอบกินเวลาสามวัน จนถึงวันที่สิบเจ็ดเดือนสองจึงสิ้นสุดการสอบ ต่อมาทันทีที่รายชื่อผู้ผ่านการสอบออก ประเพณีการฉุดลูกเขยก็เริ่มขึ้น
ในเดือนสี่ จะมีการจัดสอบหน้าพระที่นั่ง ทั้งยังมีการแห่ขบวนจอหงวนอันคึกคักให้ดู
พูดได้ว่าทุกครั้งที่ถึงปีที่มีการจัดสอบชุนเหวย ความคึกคักจะถูกเหมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน เมืองหลวงทั้งเมืองเต็มไปด้วยความสุข
ขณะที่การสอบที่ทุกคนรอคอยได้เริ่มต้นขึ้น จวนผิงหนานอ๋องก็ได้จัดงานแต่ง
เว่ยเฟิงผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแต่งงานกับคุณหนูสามของจวนรองเจ้ากรมราชรถหวัง
ในจวนรองเจ้ากรมประดับประดาไปด้วยโคมไฟและเครื่องประดับหลากสี คุณหนูสามหวังที่สวมชุดแต่งงานสีแดงถูกล้อมอยู่ตรงกลาง กำลังดื่มด่ำกับความสุขจากคนที่รายล้อมชื่นชม
นางเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวสองคนที่ถูกเบียดไปข้างนอกแล้วโค้งริมฝีปากยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยว่าน้องเล็กจะได้ออกเรือนก่อน ต่อไปผู้อาวุโสในจวนต้องรบกวนท่านพี่ทั้งสองช่วยดูแลแทนข้าแล้ว”
คุณหนูรองหวังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เราย่อมแสดงความกตัญญูต่อท่านตามหน้าที่ ส่วนของน้องสาม น้องสามทำเองจะดีกว่า”
ดวงตาของคุณหนูสามหวังเย็นลงเล็กน้อย นางเม้มปากเบาๆ
เมื่อเห็นคุณหนูสามหวังไม่พอใจ ท่านอาและพี่ๆ น้องๆ ของนางก็พากันว่าคุณหนูรองหวัง
“คุณหนูรอง เจ้าพูดแบบนี้ไม่ถูก เจ้าและพระชายาซื่อจื่อเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันสิ”
“นั่นน่ะสิ พี่สามกลายเป็นชายาซื่อจื่อ ต่อไปเราจะมีหน้ามีตาเมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง” สายตาที่หญิงสาวสวมชุดสีชมพูมองคุณหนูรองหวังเจือความไม่พอใจเล็กน้อย
พี่สามมีอนาคตที่ดีเช่นนี้ สตรีตระกูลหวังเช่นพวกนางก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ทว่าพี่รองกลับเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้ ช่างใจแคบจริงๆ
คุณหนูรองหวังโมโหสุดขีด โชคดีที่หลายปีมานี้นางต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในเงื้อมมือของแม่เลี้ยงมาตลอดจึงรู้จักอดทนอดกลั้น นางเม้มปากพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่คิดว่าน้องสามออกเรือนในเมืองหลวง จากจวนผิงหนานอ๋องไปจวนรองเจ้ากรมใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ไหนเลยจะต้องให้พวกเราช่วยดูแล ถึงอย่างไรให้ผู้อื่นช่วยดูแลก็สู้ตนเองดูแลเองไม่ได้ น้องสามเจ้าว่าใช่หรือไม่”
คุณหนูใหญ่หวังดึงแขนเสื้อของคุณหนูรองหวังเบาๆ
คุณหนูสามหวังหน้านิ่งขรึมก่อนจะยิ้มแย้มในทันที “พี่รองพูดถูก น้องจำไว้แล้ว”
เมื่อนางมั่นคงในจวนอ๋องแล้ว ดูสิว่าเจ้ารองจะมีจุดจบอย่างไร
ขบวนรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้ว คุณหนูสามหวังขึ้นเกี้ยวโดยมีพี่ชายแบกขึ้นไปท่ามกลางเสียงรื่นเริง
มองส่งขบวนรับตัวเจ้าสาวจากไปไกล คุณหนูรองหวังที่ยืนอยู่มุมหนึ่งพลันยิ้มหยัน “คางคกขึ้นวอ”
คุณหนูใหญ่หวังตบมือของน้องสาวเบาๆ “น้องรอง อย่าถือสาเรื่องพรรค์นี้เลย”
คุณหนูรองหวังไม่โมโห “แม้พี่ใหญ่ไม่สนใจการแต่งงานครั้งนี้ แต่หากพูดจริงๆ แล้วน้องสามเป็นคนชิงการแต่งงานครั้งนี้ไป นางไม่รู้สึกผิดก็ไม่เป็นไร ยังโอหังอวดดีต่อหน้าพี่ใหญ่ แค่คิดก็น่าหงุดหงิด”
“แล้วหากน้องสามไม่ได้แย่งไป ข้าจำใจต้องออกเรือน น้องรองจะคิดอย่างไร”
คุณหนูรองหวังพูดอย่างใจเย็นว่า “ย่อมต้องเดือดร้อนแทนพี่ใหญ่”
การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต หากพี่ใหญ่ไม่เต็มใจแต่กลับจำเป็นต้องออกเรือนก็น่าสงสารเกินไปแล้ว
คุณหนูใหญ่หวังยิ้ม “ก็นี่อย่างไรเล่า ข้าและน้องสามล้วนมีความสุข ส่วนเรื่องอื่นน่ะล้วนมิใช่เรื่องสลักสำคัญ”
คนเรารู้ตนเองดีที่สุดว่าต้องการสิ่งใด เมื่อได้สิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุดแล้วย่อมเป็นพร ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการสูญเสียบางสิ่งไปแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่พูดถูก”
คุณหนูใหญ่หวังจับมือน้องสาว ยิ้มพูดว่า “น้องสามออกเรือน ผู้อาวุโสมีความสุขให้เงินไม่น้อยเป็นรางวัล กลับไปข้าจะพาน้องรองไปกินดื่มที่หอสุรานะ”
เมื่อคิดถึงหอสุราที่นำพาความอบอุ่นมาให้พวกนางสองพี่น้อง ทั้งสองก็รู้สึกสดใสขึ้น
ฟ้าใกล้มืดแล้ว แสงอัสดงลอยเหนือขอบฟ้า คุณหนูสามหวังที่ไหว้ฟ้าดินแล้วนั่งอยู่ในเรือนหออย่างสำรวม รอคอยสามีด้วยความเขินอายและคาดหวัง
เมื่อรอก็รอจนดึก
เว่ยเฟิงเดินเข้ามาพร้อมกลิ่นสุรา เขาโบกมือบอกให้สาวใช้และบ่าวเฒ่าออกไปแล้วเดินสาวเท้าไปหน้าเตียง
ผ้าคลุมศีรษะถูกเปิดออกตั้งแต่ตอนที่ออกไปดื่มอวยพรกับแขก พิธีดื่มสุราก็ทำแล้ว เว่ยเฟิงที่เดินไปหน้าเตียงเห็นใบหน้าที่งดงามราวกับลูกพลัม
ชายที่มึนเมาเล็กน้อยมองใบหน้าที่งดงามนั่นนิ่งครู่หนึ่ง
เขาผุดความคิดบางอย่างในใจ แต่งหน้าหนาขนาดนี้ ดูไปแล้วก็ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มนั่นแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกหมดอารมณ์
เว่ยเฟิงสะบัดรองเท้าออกไปก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง
คุณหนูสามหวังที่นั่งเรียบร้อยบนขอบเตียงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจชะงัก เมื่อมองเจ้าบ่าวอีกครั้ง เขาก็หลับตาลงแล้วและยังได้ยินเสียงกรนเบาๆ
ดื่มมากเกินไปหรือ
มองดูเจ้าบ่าวที่นอนกรน ความไม่พอใจก็บังเกิด
นี่มันวันเข้าเรือนหอ นางต้องผ่านไปแบบนี้หรือ
คุณหนูสามหวังข่มเหงพี่สาวทั้งสองตั้งแต่ยังเล็กภายใต้การสนับสนุนของมารดา นางย่อมไม่เคยถูกฝึกฝนเรื่องความอดทนมาก่อน
แน่นอนว่า นางก็มีส่วนที่น่ารักในตัวนางเอง นั่นก็คือปากหวานและร่าเริง
และเป็นเพราะความร่าเริงนี้ ทำให้นางไม่สามารถยอมรับความลำบากได้
คุณหนูสามหวังโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและส่งเสียงเรียก “ซื่อจื่อ ท่านตื่นสิ”
นางเรียกเช่นนี้หลายครา เว่ยเฟิงลืมตาขึ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “มีอะไร”
คุณหนูสามหวังเจ็บแปลบเพราะความเย็นชาของอีกฝ่าย นางพูดอย่างอดทนว่า “ซื่อจื่อเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ท่านไปอาบน้ำก่อนนอนเถอะเจ้าคะ”
ในฐานะที่เป็นเจ้าสาว การเอ่ยเรื่องร่วมหอย่อมมิได้ คุณหนูสามหวังคิดว่านางบอกใบ้ชัดเจนมากแล้ว
“ข้าเหนื่อย พรุ่งนี้ค่อยอาบ” เว่ยเฟิงหลับตาลงอีกครั้ง
คุณหนูสามหวังเม้มปาก พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ซื่อจื่อ ท่านนอนแบบนี้ไม่สบายตัว ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อนเถอะ…”
“น่ารำคาญจริงๆ!” เว่ยเฟิงตำหนิโดยไม่ลืมตา เขาพลิกตัวไปอีกฝั่ง
คุณหนูสามหวังกะพริบตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางกัดปากแน่น
วันนั้นที่วัดต้าฝู ซื่อจื่อเป็นคนชอบนางแท้ๆ เหตุใดคืนวันแต่งงานจึงเป็นเช่นนี้
มองดูใบหน้าที่ถูกย้อมด้วยความมึนเมาจนเป็นสีแดงของชายหนุ่ม คุณหนูสามหวังก็ปลอบใจตนเองว่า ซื่อจื่อคงดื่มมากเกินไปแล้ว
รออีกสักพัก เมื่อมั่นใจแล้วว่าเจ้าบ่าวไม่มีทางสร่างเมา คุณหนูสามหวังจึงทำได้เพียงล้างเครื่องประทินโฉม ถอดชุดคลุมออก นอนลงข้างกายเว่ยเฟิงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
เว่ยเฟิงขมวดคิ้วอย่างรู้สึกไม่ชิน เขายื่นมือไปผลักเบาๆ โดยสัญชาติญาณ สิ่งที่ผลักโดนคือร่างกายที่อ่อนนุ่ม
คุณหนูสามหวังเผยสีหน้าประหลาดใจปนดีใจ “ซื่อจื่อ”
ชายที่อยู่ใกล้แค่คืบลืมตามองนางนิ่ง
คุณหนูสามหวังหัวใจเต้นแรง ยิ้มอย่างเขินอาย
“เหตุใดเจ้าจึงนอนที่นี่”
คุณหนูสามหวังชะงัก “ซื่อจื่อลืมไปแล้วหรือ วันนี้เป็นวันแต่งงานของเราเจ้าค่ะ”
นางไม่นอนที่นี่แล้วจะให้นางนอนที่ไหน
ราวกับว่าเว่ยเฟิงจะสร่างเมาเล็กน้อย เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “นอนเตียงเดียวกันสองคนเบียดเกินไป ข้าไม่ชิน เจ้าไปนอนห้องด้านนอกเถอะ”
คุณหนูสามหวังหน้าซีด พูดอย่างตกตะลึงว่า “ซื่อจื่อ หากข้าไปนอนห้องด้านนอก สาวใช้และพวกบ่าวจะมองอย่างไรกันเจ้าคะ”
เว่ยเฟิงคิดถึงปัญหาหากข่าวแพร่ไปถึงพระชายาผิงหนานอ๋อง เขาก็รู้สึกว่าความกังวลของภรรยามีเหตุผล เขาเรอแล้วพูดว่า “ก็ใช่ เช่นนั้นเจ้าปูพื้นนอนเถอะ”
คุณหนูสามหวังตกตะลึง แทบจะกระอักเลือดออกมา