บทที่ 409 เรียนรู้ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 409 เรียนรู้ (1)

 

ใกล้ๆ เขตภูผาตระหง่าน หุบเขาเฟยชิง

 

อันต๋าลั่วยืนอยู่ในหุบเขา เงยหน้ามองมังกรพิษหลายตัวที่โบยบินอยู่เหนือท้องฟ้าบนศีรษะ สัตว์ประหลาดสกปรกที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเมือกเหม็นสาบเหล่านี้ กำลังแยกเขี้ยวคมกริบพลางสอดส่ายสายตาอยู่กลางท้องฟ้า ทำการโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่คิดเข้าใกล้ใจกลางหุบเขาจนถึงตายได้

 

อันต๋าลั่วกระชับหมวกติดเสื้อ ปิดบังใบหน้าและเขาของตัวเองเอาไว้ในเสื้อคลุมอีกครั้ง เขาพลิกมือสร้างปราณมารสีดำสนิทกลุ่มหนึ่ง ปราณมารพลิกตัวและหมุนวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกลายเป็นวัตถุในสภาพเหมือนหยกโค้ง

 

หยกโค้งนั้นลอยอยู่ด้านหน้าเขา เปล่งแสงสีม่วงอ่อนๆ สาดส่องรัศมีหนึ่งหมี่รอบๆ ตัวเขา

 

อันต๋าลั่วจึงค่อยเดินไปยังใจกลางหุบเขา

 

ไม่ไกลออกไปได้ยินเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำของสัตว์ยักษ์สำหรับทำศึกได้เป็นระยะ ยังมีเสียงหัวเราะร่าสนุกสนานกำเริบเสิบสานของพวกมารหนามอยู่ด้วย

 

“อาศัยอะไรพวกเราต้องเฝ้าประตูอย่างยากลำบากอยู่ที่นี่ พวกหมี่หลางกลับกินมนุษย์และดื่มสุราได้ตามใจชอบ”

 

อันต๋าลั่วได้ยินเสียงโอดครวญเบาๆ ของยามที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่แสดงท่าทาง หากตัดทะลุการเฝ้าระวังหลายชั้นไปท่ามกลางเสียงตัดพ้อทุ้มต่ำ ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าหอเล็กสองชั้นสีม่วงอ่อนที่วาดสัญลักษณ์สีแดงเลือดเอาไว้บนผนัง

 

“ประตูแห่งเลือดเนื้อส่งข้อมูลมาอีกแล้วขอรับ ใต้เท้าเฟยเกอหนีที่เคารพ” อันต๋าลั่วส่งกระแสเสียงเข้าไปอย่างแผ่วเบา

 

ไม่มีการตอบกลับ ในหอเล็กของผู้บัญชาการใหญ่สงบนิ่ง

 

อันต๋าลั่วจิตใจหนักอึ้ง สังหรณ์ร้ายอยู่บ้าง

 

“ใต้เท้าเฟยเกอหนีขอรับ” เขาถามอีกครั้ง “ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

 

ในหอเล็กยังคงไม่มีเสียงใดดังออกมา

 

อันต๋าลั่วสายตาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เดินไปด้านหน้า โดยเข้าใกล้อย่างช้าๆ ทีละก้าวๆ มือของเขาชักมีดสั้นที่อยู่บนน่องออกมาอย่างเงียบๆ แล้ว

 

เข้าใกล้หอเล็กทีละก้าวๆ

 

โครม

 

เขาชนประตูใหญ่เปิดออก

 

ภาพสยดสยองด้านในทำให้ราชามารที่เห็นภาพโหดเหี้ยมมาจนชินอย่างเขาตื่นตระหนกทันที

 

ใต้เท้าเฟยเกอหนีราชามารผู้เป็นผู้นำทัพของราชอาณาจักร เพื่อนร่วมงานของเขา ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่กลางโถงใหญ่ ทรวงอกและช่องท้องถูกแหวะออกอย่างระมัดระวัง บุรุษล่ำสันที่ร่างท่อนบนสวมเสื้อคลุมสีดำนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าศพ มือถือถ้อยคำแห่งการทำลายล้างศัสตรามารที่เฟยเกอหนีเก็บไว้ พร้อมกับขยำหัวใจตรงส่วนท้องของศพไปมา

 

พอได้ยินเสียงประตูถูกชนเปิด บุรุษล่ำสันก็ค่อยๆ หมุนตัวมา ใบหน้าเขาคลุมผ้าสีดำไว้เช่นกัน มีแต่ตามารดุร้ายสีแดงอ่อนๆ คู่หนึ่งที่โผล่ออกมาด้านนอก

 

“อ้อ…มาอีกคนแล้ว” เสียงของเขาทุ้มต่ำ มีอำนาจดึงดูดมาก ในถ้อยคำเหมือนมีของประหลาดบางอย่างกำลังกระเพื่อมออกมา ปิดกั้นขอบเขตรัศมีมากกว่าร้อยหมี่รอบๆ ไว้โดยสมบูรณ์

 

อันต๋าลั่วสีหน้าตะลึงไปในพริบตาหนึ่ง จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างฉับพลัน พื้นพลันระเบิดเสียงดังตูม ปราณมารทะลักขึ้นทั่วร่าง ก่อนจะหมุนตัวหนีไปทางประตูใหญ่ด้านหลัง

 

ทว่าเพิ่งหนีออกมาได้ไม่กี่ก้าว ด้านในประตูด้านหลังก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาจิกผมของเขาไว้ แล้วกระชากไปด้านหลัง

 

“ไม่!” เสียงของอันต๋าลั่วไม่อาจส่งออกไปโดยสิ้นเชิง ร่างถูกลากกลับไป

 

โครม

 

ประตูใหญ่ถูกปิดแน่น ด้านในประตูมีเสียงฉีกเลือดเนื้อดังออกมา นอกจากนี้ก็ไม่มีเสียงใดอีก

 

 

เขตจันทราสารท กรมหยินหยาง

 

ในวัดสีเหลืองอ่อนที่วิจิตรประณีต ใต้อาทิตย์อัสดง บุรุษสตรีวัยกลางคนที่สวมกวนขนนกสีขาวหลายคนกำลังเดินอยู่บนระเบียงเสาศิลาที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องมาจากด้านข้าง

 

บุรุษที่เป็นผู้นำมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง ใบหน้ามีริ้วรอยล้ำลึก สองตาที่เฉียบขาดฉายแววจนใจ

 

“กรมหยินหยางที่อยู่ใกล้ๆ นี้ส่งข่าวกลับมาว่า จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขตห้าเขตที่อยู่ใกล้ๆ รวมกัน มีผู้ถืออาวุธห้าคนหายตัวไปอย่างลึกลับ ทางทัพมารมีราชามารอย่างน้อยสามคนกับอาวุธเทพศัสตรามารที่เก็บไว้หายสาปสูญไปเช่นกัน ผลของการตรวจสอบอย่างละเอียดออกมาแล้วหรือยัง” บุรุษถามเสียงทุ้ม

 

“เรียนท่านทูต ยังไม่มีเจ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างตอบเบาๆ อย่างระมัดระวัง “ตามสถานการณ์ปกติทั่วไป อย่างน้อยต้องใช้เวลาเจ็ดวันต่อหนึ่งรอบถึงจะส่งคืนข้อสรุปย่อยกลับมา”

 

“ช้าเกินไปแล้ว” บุรุษส่ายหน้า “ห้าวัน ห้าวันต่อหนึ่งรอบเป็นอย่างน้อย พวกเราจะปล่อยให้จังหวะเมื่อก่อนหน้าส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้ การตรวจสอบก่อนหน้านี้ได้บอกแล้วว่ามีคนเห็นยอดฝีมือที่ทั่วร่างเป็นสีดำ ซึ่งตั้งใจลอบโจมตีผู้ถืออาวุธกับราชามารโดยเฉพาะเข้าออกค่ายของทัพมาร ทัพมารในอาณาเขตที่แน่นอนรอบๆ กลับเหมือนไม่พบเขา”

 

“ที่ท่านทูตพูดถึงหรือจะเป็นคนชุดดำลึกลับที่ถูกเรียกว่ามารราตรีผู้นั้น” สตรีวัยกลางคนคือเจิ้งชิวเยวี่ยเจ้ากรมคนปัจจุบันของเขตจันทราสารท เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้อยู่ๆ ก็มีทูตคนหนึ่งถูกส่งมารวบรวมและควบคุมข้อมูล ทรัพยากร และขุมกำลังทั้งหมดในมือของนาง

 

“มารราตรี…ชื่อนี้กลับเหมาะสมยิ่ง คนผู้นี้จะลงมือในคืนเดือนมืด จำเป็นต้องป้องกันไว้” ทูตครุ่นคิด “รอรายงานข้อสรุปย่อยครั้งหน้าส่งมา ข้าจะรวบรวมข้อมูลแล้วส่งให้เบื้องบน เบื้องบนสมควรตัดสินว่าจะรับมือกับมารราตรีผู้นี้อย่างไร”

 

“ท่านทูตรอบคอบนัก แต่ว่าปัญหาเกี่ยวกับมารราตรีนั่น ท่าทีของพวกเราคืออย่างไร…” เจิ้งชิวเยวี่ยถามอย่างสงสัย

 

“ยังไม่ต้องไปสนใจเขา พวกเราไม่ได้มีขุมกำลังใหญ่พอจะไปยุ่งด้วย ขอแค่เขาไม่ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้กับทัพมารของพวกเราก็พอ” ทูตถอนใจเฮือกหนึ่ง

 

มารราตรีผู้ลึกลับคนนี้เป็นเทพเทวามาจากไหน เขาไม่รู้ ทว่าดูจากสถานการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ มารราตรีไม่ได้มีความตั้งใจโจมตีกองทัพราชสำนัก

 

“แต่ว่า…”

 

“ค่อยดูอีกทีเถอะ…จริงสิ ช่วงนี้เด็กน้อยบ้านข้าก็ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอกเช่นกัน…” ทูตเปลี่ยนหัวข้อ แสดงให้เห็นว่าไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีก

 

เจ้ากรมเจิ้งชิวเยวี่ยเข้าใจ

 

ปัจจุบันอยู่ในช่วงขาดแคลนกำลังคน ต่อให้มารราตรีชุดดำผู้นี้อันตรายขนาดไหน ผู้ที่ประสบหายะล้วนแล้วแต่เป็นผู้ถืออาวุธที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพและสามสำนัก ล้วนมาจากตระกูลทั่วไป ตระกูลขุนนาง และสำนักขนาดเล็กๆ ทั้งหมด

 

บวกกับพลังที่คนชุดดำผู้นั้นแสดงออกมาที่ทั้งเหี้ยมหาญและลึกลับ ทูตจึงไม่อยากจะแตะกับระเบิดลูกนี้ ในใจมีความคิดถ่วงเวลา ถ่วงเวลาไว้ก่อน ดูว่าภายหลังมีโอกาสที่เขาจะหยุดมือไปเองได้หรือไม่

 

เพียงแต่เจิ้งชิวเยวี่ยมีลางสังหรณ์ร้ายในใจ เกรงว่าคนชุดดำผู้นั้นจะไม่มีทางหยุดมือ…

 

…….

 

ฉัวะ!

 

ลู่เซิ่งฟันกระบี่ตัดศีรษะมารตรงหน้าทิ้ง ศีรษะที่มีเขากระทิงสีดำลอยหมุนออกไป แล้วกลิ้งหลุนๆ บนพื้นหลายตลบ ก่อนจะตกลงไปในแอ่งที่เกิดจากกองเลือด

 

เขาเก็บกระบี่และกวาดตามองรอบๆ บนพื้นเต็มไปด้วยศีรษะและซากศพของมารในทัพมาร

 

ยามบ่าย ดวงอาทิตย์เจิดจ้า กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นโชยขึ้นจากพื้น บวกกับกลิ่นเหม็นของพิษที่มีเฉพาะเผ่ามาร ทำให้ในรัศมีหลายสิบหมี่รอบๆ บริเวณนี้จึงไม่มียุงหรือแมลงอยู่

 

ในสองเดือนมานี้ เขาอาศัยข้อมูลของสำนักพันอาทิตย์ออกตามล่าหาอาวุธเทพศัสตรามาร ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามาร เผ่ามนุษย์ หรือเผ่าปีศาจ ขอแค่มีสถานที่เก็บอาวุธเทพ เขาก็จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงมา ถ้าหากเจอผู้ขัดขวาง ก็จะฆ่าทิ้ง

 

เขามีสภาพหยินโชติช่วงอำพรางกลิ่นอาย ผู้ถืออาวุธทั่วไปไม่อาจสัมผัสร่องรอยของเขาได้ ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าอริยะเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะยินยอมลดฐานะของตัวเองลงมากระทำเรื่องฆ่าคนชิงอาวุธเทพแบบนี้

 

พลังอาวรณ์ที่ลู่เซิ่งได้รับมีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการกลืนกิน ในที่สุดก็ทะลุสามหมื่นหน่วย

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจอยู่บ้างก็คือ พลังอาวรณ์ที่แฝงอยู่ในอาวุธเทพศัสตรามารที่ได้มาในภายหลังทั้งมีเยอะและมีน้อย ที่มีเยอะมีทั้งสองสามพันหน่วย และสี่ห้าพันหน่วย ที่มีน้อยมีแค่สองสามร้อยหน่วย

 

นี่มีความแตกต่างมหาศาล ลู่เซิ่งเดาว่าสมควรเกี่ยวข้องกับระยะเวลาการดำรงอยู่กับชื่อเสียงของอาวุธเทพแต่ละชิ้น

 

ลู่เซิ่งค่อยๆ สะบัดเลือดบนตัวกระบี่ทิ้ง เลือดเนื้อและซากศพของมารที่อยู่รอบๆ ถูกไฟสีทองหลายกลุ่มเผาไหม้และทำลายกลายเป็นควันดำ ก่อนจะสลายหายไปกลางอากาศ

 

ลู่เซิ่งมองดูรอบๆ พอยืนยันได้ว่าไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเหลืออีก ก็คิดจะกระโดดขึ้นท้องฟ้าเพื่อเดินทางต่อ

 

ครั้งนี้เขาเพิ่งกลับมาจากค่ายของทัพมารแห่งหนึ่ง ล่าได้มีดสั้นศัสตรามารที่ดูโบราณมากเล่มหนึ่ง กำลังจะนำไปเก็บที่เขตจันทราสารท

 

อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงแหวกอากาศเบาๆ เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง

 

เงาคนสีดำเขียวสายหนึ่งกลางอากาศโผบินมาพร้อมเมฆสีขาวหลายก้อน แล้วลอยหยุดอยู่ด้านหน้าพื้นที่ว่างผืนนี้

 

“สหายเก๋อหลินเล่า เหตุใดจึงมีเจ้าเพียงคนเดียว” บุรุษผู้นี้มีอายุราวสามสิบสี่สิบปี ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ สวมชุดนักพรตสีเขียวขลิบทองรูปยันต์แปดทิศ ถือที่ปัดฝุ่นสีขาวราวหิมะ แต่งกายแบบนักพรตผู้สูงส่ง

 

ลู่เซิ่งไม่ตอบ เขาจำได้อย่างเลือนลางว่า ราชามารที่เป็นผู้นำกลุ่มในทัพมารที่เขากำจัดทิ้งเมื่อครู่ถูกเรียกว่าใต้เท้าเก๋อหลิน

 

และคนตรงหน้านี้

 

ลู่เซิ่งหยีตา ดูเหมือนจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนจากทัพมารที่มารับแล้ว

 

“เอาของมาหรือยัง” นักพรตผู้นี้ไม่รอให้ลู่เซิ่งตอบ ก็ถามอย่างเร่งร้อน “เจ้ามาคนเดียวหรือ หรือว่านึกเสียใจ จึงหลอกลวงข้า” สีหน้าเขากลายเป็นสีเขียวแวบหนึ่ง ที่ปัดฝุ่นในมือเรืองแสงสีเขียวหลายสาย เงากระเรียนเซียนสีขาวตัวหนึ่งลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเขาช้าๆ สิ่งที่แตกต่างก็คือ สองตาของกระเรียนเซียนมีชีวิตชีวามาก สมจริงกว่าเงาของอาวุธเทพเมื่อก่อนหน้านี้ไม่น้อย

 

“อ้อ? อาวุธเทพดาวหยกหรือ” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย นี่เป็นอาวุธเทพระดับดาวหยกที่เขาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกล่า

 

ระดับของอาวุธเทพไม่ได้ส่งผลต่อพลังของผู้ถืออาวุธ พวกมันเพียงกำหนดศักยภาพของพวกผู้ถืออาวุธเท่านั้น

 

พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ผู้ถืออาวุธคนหนึ่งได้รับอาวุธเทพระดับเทวปัญญา พลังก็ไม่อาจก้าวข้ามผู้ถืออาวุธทั่วไปได้ สิ่งที่พลังระดับนี้วัดกันคือการควบคุมและการใช้งานกฎเกณฑ์หลักของอาวุธเทพ ต่อให้อาวุธเทพมีอานุภาพแตกต่างกันมาก แต่ผู้ถืออาวุธด้วยกันก็ต่างกันอย่างมากสุดหนึ่งถึงสองเท่า ไม่มีทางห่างกันเกินไป

 

เหมือนกับท่านใช้ท่อน้ำเล็กๆ ปล่อยน้ำจากถังน้ำ และใช้ท่อน้ำเล็กๆ ปล่อยน้ำจากบ่อน้ำ อย่างมากสุดแรงดันน้ำก็ทำให้ความเร็วในการไหลแตกต่างกันเล็กน้อย ทว่าความจริงแล้วปริมาณน้ำที่ออกมาไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่

 

ลู่เซิ่งพิจารณาที่ปัดฝุ่นในมือนักพรตผู้นี้อย่างละเอียด

 

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ?!” นักพรตผู้นี้เห็นลู่เซิ่งไม่มีปฏิกิริยาใด พลันเคร่งเครียดอยู่บ้าง

 

“สมคบคิดกับศัตรู ตาย!” ลู่เซิ่งสาดประกายกระบี่

 

ผ้าสีเงินผืนหนึ่งลอยขึ้นจากในมือเขา บนผ้ามีลวดลายเค้าโครงของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรติดอยู่อย่างลางเรือน มันส่งเสียงแหวกลมพร้อมกับไปถึงตรงหน้านักพรตในชั่วพริบตา

 

“กวาดล้างทำลาย!” นักพรตแสดงสีหน้าเคร่งเครียด ยังไม่ทันสัมผัสก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคลื่นยักษ์และเขาสูงกดทับลงมาหาตำแหน่งของตัวเอง จึงรีบโบกที่ปัดฝุ่น ใช้การโจมตีแทนการป้องกันเพื่อปกป้องตัวเอง

 

เผชิญหน้ากับผ้าที่ยาวแค่สิบกว่าหมี่ แต่กลับมอบความรู้สึกหลอนดั่งเผชิญคลื่นยักษ์จากทะเลลึกให้แก่เขา

 

เงามืดของประกายกระบี่ปกคลุมเขาไว้ด้านใน

 

ครั้นที่ปัดฝุ่นสัมผัสประกายกระบี่สีเงิน มันกลับส่งเสียงร้องโหยหวน จากนั้นพละกำลังอันมหาศาลก็กระแทกใส่ที่ปัดฝุ่น แล้วกระแทกให้มันหักพับไปชนทรวงอกของนักพรต

 

ตูม!

 

ปราณจริงแท้ของเขาระเบิดเหมือนกับลูกโป่ง ไอหมอกสีเขียวหลายกลุ่มกระจายออกมารอบๆ ทรวงอกมีรูเลือดขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมา

 

นักพรตก้มหน้ามองอาการบาดเจ็บตรงทรวงอกของตัวเองอย่างอึ้งงัน เปลวไฟสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งกำลังลุกไหม้อย่างช้าๆ และเงียบเชียบกลางรูเลือดที่ทรวงอก

 

วินาทีนี้ เขาคิดถึงเรื่องราวมากมาย ชั่วชีวิตนี้นักพรตได้กระทำเรื่องราวผิดครรลองครองธรรมและไร้กฎไร้เกณฑ์ในสายตาของคนอื่นนับไม่ถ้วน เขามีปณิธานแรงกล้าตั้งแต่เด็ก กอปรกับมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา เฉลียวฉลาดโดยกำเนิด จึงเริ่มมีอิทธิพลกับทิศทางการพัฒนาของตระกูลแต่แรก เรื่องราวเลวร้ายที่เขาได้ทำมาชั่วชีวิตเพื่อตระกูลมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้และที่นี่ ผู้ที่เขาคิดถึงมากที่สุดคือลูกชายไม่เอาอ่าวที่บ้านผู้นั้น

 

“ถ้าข้าจากไปแล้ว…เขาจะทำอย่างไร” ความคิดนี้แวบขึ้นในใจนักพรตเป็นครั้งสุดท้าย

 

ตูม!

 

ร่างของเขาระเบิดออกกลายเป็นเปลวไฟสีทองกลุ่มหนึ่ง แค่ไม่กี่อึดใจก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน

 

เปลวไฟสีทองหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลับมายังมือของลู่เซิ่ง ก่อนจะหายไปในผิวหนัง

 

ที่ปัดฝุ่นด้ามนั้นตกลงพื้น พอลู่เซิ่งกวักมือมันก็ลอยขึ้นมา แล้วตกลงกลางฝ่ามือของเขา

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท