บทที่ 410 เรียนรู้ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 410 เรียนรู้ (2)

 

แก่นหยางสีทองกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มที่ปัดฝุ่นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วลอยไปติดอยู่ด้านหลังของเขา ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลกระดูกของนักพรตบนพื้น กระโดดเบาๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำหายไปยังที่ไกล

 

ส่วนนักพรตที่โผล่มาทีหลังผู้นั้นเป็นใครมีพลังระดับไหน เขาล้วนไม่สนใจ สำหรับเขาที่ครอบครองลักษณะพิเศษของอัคคีทองคำแปดเศียรขั้นต้น ขอแค่ไม่ใช่ระดับอริยะเจ้า แค่จุดไฟเผาก็จัดการได้แล้ว

 

ส่วนการพร่ำเพ้อในตอนสุดท้ายของนักพรตผู้นั้น คนที่เขาฆ่าทิ้งมีมากเกินไป มนุษย์และมารที่สังหารไปในเวลาแค่สองเดือนแม้ไม่ถึงหมื่นก็มีถึงแปดพัน ไหนเลยสนใจนักพรตคนเดียวที่เจอโดยบังเอิญ

 

ต่อให้เขามีอาวุธเทพดาวหยกก็เป็นเหมือนกัน

 

……

 

เขตพิทักษ์ราษฎร์ ตำบลตั้งโอ๋

 

“เป็นอะไรไปเสี่ยวเต๋อ” พอฉยงซังรู้สึกได้ว่าสหายที่อยู่ข้างๆ หยุดลงอย่างกะทันหัน เขาก็หยุดตาม แล้วเงยหน้ามองอย่างสงสัย

 

บนใบหน้าเย็นชาของฮั่วเฉิงเต๋อฉายแววเจ็บปวดแวบหนึ่ง

 

“ไม่มีอะไร…อยู่ๆ ก็ปวดหน้าอก อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยล้าเกินไป พักผ่อนเดี๋ยวเดียวก็คงหาย”

 

“จะว่าไปครั้งนี้พวกเรามาขอหลบภัยที่บ้านเจ้า คงจะไม่สร้างปัญหาให้แก่พวกเจ้ากระมัง” หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างถามเบาๆ พลางขมวดคิ้ว “ถึงอย่างไรลุงฮั่วก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้เฒ่าภูผาวารีที่โด่งดัง เกิดถูกพบว่าซ่อนตัวพวกเราไว้…”

 

“ข้าเชื่อพ่อข้า ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังสักครั้ง” ฮั่วเฉิงเต๋อกล่าวพลางส่ายหน้า

 

ฮั่วซินหยวนบิดาของเขาสร้างตระกูลขุนนางใหม่อย่างตระกูลฮั่วด้วยมือเดียวตั้งแต่เริ่มต้น ครอบครองอาวุธเทพที่เป็นที่ปัดฝุ่นกวางขาวกวาดหทัย มีอานุภาพน่าตกตะลึง

 

ต่อให้เขาเป็นเด็กน้อยในตระกูล ถูกเรียกว่าเป็นคนที่ไม่เอาอ่าวที่สุด แต่ยามก่อเรื่องมักจะพึ่งชื่อเสียงของบิดาในการแก้ไขปัญหาให้จบๆ ไปได้ เป็นที่เห็นได้ว่าฮั่วซินหยวนมีอิทธิพลขนาดไหนในเขตพิทักษ์ราษฎร์

 

เพียงแต่ช่วงนี้ฮั่วเฉิงเต๋อได้ยินคนลือกันว่า ฮั่วซินหยวนบิดาของตนเหมือนกับแอบติดต่อกับทัพมารในพิภพมาร เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง

 

ครั้งนี้เขาพาสหายสนิทกลับมาบ้าน ข้อแรกเพื่อหาที่ซ่อนให้แก่สหาย ข้อสองคือเกลี้ยกล่อมให้ฮั่วซินหยวนผู้เป็นบิดาตัดเส้นทางทำการค้ากับเผ่ามาร

 

แม้ตอนนี้ราชสำนักจะง่อนแง่น สามสำนักไม่ดูแล ทว่ามนุษย์และมารนั้นต่างวิถี หากว่าสถานการณ์สงบลงเมื่อไหร่ เกรงว่าคนที่หาผลประโยชน์จากสงครามอย่างบิดาจะถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด

 

ทั้งสามเดินอยู่ทางฝั่งขวาของถนน ได้ยินคนเดินเท้าสนทนากันถึงเรื่องใหญ่ในตำบลตลอดเวลา

 

เวลานี้หลี่ซุ่นซีมีพลังฝึกปรือไม่เลว อาวุธเทพปรับปรุงประสาทสัมผัสทั้งห้าจนเฉียบแหลมถึงขีดสุด ตอนนี้ได้ยินเรื่องใหญ่ล่าสุด ที่พวกสหายร่วมงานกันกำลังคุยกันอยู่ในร้านค้าหลายร้านตรงหน้า

 

“น่าอนาถจริงๆ…ดีที่เจ้าไม่ได้ไป ข้าอดไปดูไม่ได้ จุ๊ๆ คนหนึ่งร้อยแปดคนทั้งตระกูลไม่เหลือสักคน ทั้งหมดถูกย่างจนสุก จุดที่มีเนื้อเยอะบนตัวถูกกินเกลี้ยง เหลือแค่พวกกระดูกและเส้นผมที่กินไม่ได้…”

 

“เผ่ามารอีกแล้วหรือ”

 

“ไม่เหมือน กองทัพในเขตมาตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว แยกแยะว่าไม่ใช่เผ่ามาร เป็นสัตว์ประหลาดสักชนิดที่ตระกูลฮั่วปล่อยออกมาจากภายใน คล้ายจะถูกกำจัดไปพร้อมกับค่ายกลใหญ่ภายในที่ตระกูลฮั่ววางไว้แล้ว”

 

“วาจานี้หลอกผู้ใดได้”

 

“ถึงอย่างไรสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็สมควรหนีหายไปแต่แรกแล้ว ต่อให้ลอบโจมตีก็คงเล่นงานทัพรักษาการณ์ก่อน พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ จะกลัวอะไร…”

 

ฟังไปฟังมา สีหน้าของหลี่ซุ่นซีผิดปกติเล็กน้อย ฮั่วเฉิงเต๋อเป็นหนึ่งในสหายที่เขาพาออกมา ตอนไปรับตัวฉยงซังจากเผ่ามาร

 

ในสองเดือนมานี้ พวกเขาทั้งสามคนและหญิงสาวเผ่ามารนางนั้นเรียกได้ว่าทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส คนที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือหญิงสาวเผ่ามารนางนั้น จากตอนแรกเป็นปีศาจที่สะโอดสะองมีเสน่ห์เวลานี้กลับผอมโซลงมาก

 

หรือว่าตอนนี้บ้านของสหายฮั่วจะเกิดปัญหาเช่นกัน ฟากฟ้าไฉนจึงไม่ยุติธรรม!

 

ฮั่วเฉิงเต๋อหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว เขาได้ยินคำสนทนากันของพวกสหายร่วมงานเหล่านั้นเช่นกัน

 

หยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง เขาก็พลันเร่งความเร็วพุ่งไปยังทิศทางบ้านของเขา

 

“เสี่ยวเต๋อ! รอเดี๋ยว!” หลี่ซุ่นซีกับฉยงซังตกใจ รีบไล่ตามไป

 

ทั้งสามไปถึงสถานที่ที่คฤหาสน์ฮั่วตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว ไหนเลยยังมีคฤหาสน์หรูหราอันใด เหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น

 

ฮั่วเฉิงเต๋อเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่อย่างตะลึงงัน แล้วคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับยกสองมือขึ้นกุมหน้า

 

……

 

เขตจันทราสารท อารามพันอาทิตย์

 

ลู่เซิ่งพลิกที่ปัดฝุ่นในมือเล่นพร้อมกับฟังคำขอความเมตตาจากจิตอาวุธเทพ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร

 

กระบี่ธารธาราแขวนอยู่บนกำแพง ไม่ได้ส่งเสียงเช่นกัน มันเคยเห็นลู่เซิ่งถืออาวุธเทพศัสตรามารหลายชิ้นเข้าไปในห้องลับฝั่งตรงข้าม อาวุธเทพที่เข้าไปไม่เคยได้ออกมาอีก

 

มันไม่รู้ว่าพวกมันไปอยู่ไหน เหตุใดจึงสัมผัสกลิ่นอายไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่านี่เป็นความลับของลู่เซิ่ง มันไม่สะดวกถาม

 

อย่างเช่นที่ปัดฝุ่นในตอนนี้ มันกำลังถูกลู่เซิ่งจับเอาไว้อย่างระมัดระวัง และสัมผัสอย่างช้าๆ

 

“ใบไม้ทองคำกับดาวหยกแตกต่างกันตรงไหนกันแน่ สิ่งใดเป็นตัวกำหนดว่าอาวุธเทพชิ้นหนึ่งเป็นใบไม้ทองคำหรือว่าดาวหยก” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความทรงจำมากมายหายไปแล้ว…” กระบี่ธารธาราเงียบงันพักหนึ่งก่อนจะตอบอย่างช้าๆ

 

ลู่เซิ่งไม่ได้คาดหวังว่ากระบี่ธารธาราจะตอบคำถามนี้ได้ นี่เหมือนกับให้คนทั่วไปตอบว่าอะไรคือสิ่งที่กำหนดความแตกต่างระหว่างตัวเองกับอัจฉริยะ

 

ช่วงนี้เขาออกล่าอาวุธเทพศัสตรามารอย่างบ้าคลั่ง ทุกๆ ครั้งที่กินเข้าไปจะไม่ให้กระบี่ธารธาราและบริวารทุกคนเห็น ยิ่งกลืนกินอาวุธเทพเท่าไหร่ รอบๆ ตัวลู่เซิ่งก็เริ่มปนเปื้อนกลิ่นประหลาดซึ่งไม่ใช่กลิ่นดอกไม้และไม่ใช่กลิ่นเหม็น

 

กลิ่นอายนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นสนิมจากโลหะ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

 

“ช่างเถอะ เจ้าออกไปซะ” ลู่เซิ่งยื่นมือไปใช้พลังจับกระบี่ธารธารา แล้วโยนไปที่หน้าต่าง

 

กระบี่ธารธาราพลันพุ่งออกไป ลอยเข้าไปในหอเก็บอาวุธที่อยู่ใกล้ๆ อย่างนุ่มนวล

 

ลู่เซิ่งลุกขึ้น กำลังจะถือที่ปัดฝุ่นเดินเข้าไปในห้องลับฝั่งตรงข้ามเพื่อกลืนกินอาวุธเทพชิ้นใหม่ต่อ

 

อยู่ๆ เหนือท้องฟ้านอกหน้าต่างก็มีแสงสีขาววาดผ่าน นกตัวน้อยสีขาวบริสุทธิ์ที่เหมือนกับนกกระจอกบินมาถึงเหมือนกับลูกศร ก่อนจะบินข้ามหน้าต่างเข้ามาหยุดอยู่บนพื้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา

 

ควันขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมารอบตัวนกกระจอกน้อย แล้วลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเด็กหญิงงดงามซึ่งสวมเสื้อคลุมขนนกสีขาว

 

“ไป๋อิงคำนับประมุขคฤหาสน์ลู่” หว่างคิ้วของเด็กผู้หญิงมีเส้นสีแดงอยู่จุดหนึ่ง ปราณจริงแท้บนร่างบริสุทธิ์และละเอียดอ่อน ไม่ได้มีสารกายขุ่นมัวอันเป็นลักษณะเด่นของเผ่าปีศาจแม้แต่น้อย ทำให้คนที่เห็นจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย

 

“สหายร่วมเส้นทางทงเซิงมีเรื่องใดมาแจ้งหรือ” ลู่เซิ่งจำเด็กหญิงได้ นางเป็นปีศาจที่อยู่ข้างกายอริยะเจ้าทงเซิง เป็นเด็กรับใช้ของอริยะเจ้าทงเซิง

 

“เจ้าค่ะ นายท่านกำชับว่า ช่วงนี้ ละแวกนี้เกิดคดีลอบสังหารในที่ลับติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมารล้วนไม่มีจุดจบอันดี แม้แต่อาวุธเทพศัสตรามารก็ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย ตระกูลขุนนางกับสำนักแต่ละแห่งต่างก็หวาดกลัว ถึงขั้นที่ความหวาดกลัวนี้ลามไปถึงเขตด้านนอกแล้ว จึงขอให้ประมุขคฤหาสน์ส่งยอดฝีมือไปตรวจสอบ”

 

ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึม เรื่องล่าสังหารแม้แต่อริยะเจ้าทงเซิงก็สังเกตเห็นแล้วหรือ

 

“โปรดแจ้งต่อสหายร่วมเส้นทางทงเซิงว่า ข้ารับทราบแล้ว”

 

“อื้อ” เด็กหญิงไป๋อิงพยักหน้า จากนั้นก็นั่งย่อตัวลงบนพื้น กลายเป็นนกกระจอกสีขาวตัวน้อยอีกครั้ง ก่อนจะกระพือปีกบินไปยังที่ไกล

 

ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ ค่อยๆ ชักมือออกมาจากแขนเสื้อที่หลวมโพรกอย่างช้าๆ แล้วลูบที่ปัดฝุ่นอันเย็นเยียบเรียบลื่น คล้ายมีความคิดใด

 

‘อาวุธเทพศัสตรามารที่สะสมไว้ก็ครบพอดี ย่อยสลายแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ช่วงนี้หยุดพักรอเวลาก่อน’

 

ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง ร่างลอยเข้าไปในประตูที่เปิดออก ทะลุประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลอยเข้าไปในห้องลับสำหรับกักตนในอารามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

 

ประตูใหญ่ของห้องลับค่อยๆ ปิดลง ลู่เซิ่งทรุดลงนั่งขัดสมาธิพร้อมกับโบกมือ

 

ไฟตะเกียงสีเหลืองอ่อนพลันสว่างขึ้นจากสี่มุมของห้อง ลวดลายค่ายกลบนพื้นสาดแสงสีทองอ่อนแวบหนึ่ง

 

ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางค่ายกล จากนั้นก็ยกมือขึ้นมองคำว่าชั่วร้ายตรงกลางฝ่ามืออย่างฉับพลัน

 

“พรุ่งนี้พิธีกรรมจะเริ่ม เป็นสถานที่เดิม จงอย่าลืม…” เสียงของสือจื้อซิงดังมาจากในตัวหนังสือแต่ไกล

 

แค่ลู่เซิ่งได้ยินเสียงนี้ก็ขนลุกไปทั่วร่างแล้ว

 

“ไม่มีทางลืม” เขาส่งกระแสเสียงไปยังคำว่าชั่วร้ายเบาๆ

 

“ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่เข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งนี้มีค่อนข้างมาก คนที่อยากจะไปยังโลกวัตถุก็มีไม่น้อยเช่นกัน เจ้าอย่าได้ตกปากรับคำอะไรง่ายๆ และจำไว้ด้วยว่าอย่าได้แจ้งชื่อและวันเกิดของตัวเองส่งเดช ต้องจำไว้ให้ดี” สือจื้อซิงกล่าวย้ำ

 

“เกิดว่าข้าเผลอเปิดเผยเล่า” ลู่เซิ่งเงียบสักครู่ ก่อนจะถาม

 

“อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้า” สือจื้อซิงตอบกลับอย่างรวบรัด

 

ลู่เซิ่งเงียบงัน

 

ช่วงนี้เขาติดต่อกับสือจื้อซิงหลายครั้ง จึงเข้าใจระบบของพันธมิตรทมิฬในโลกแห่งความเจ็บปวดคร่าวๆ แล้ว

 

ในโลกแห่งความเจ็บปวดมีการแบ่งหมวดหมู่สองอย่าง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่อง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายคือต้นกำเนิดของอาวุธเทพ ส่วนผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องก็คือต้นกำเนิดของศัสตรามาร

 

ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสร้างอาวุธชั่วร้าย อาวุธที่ล้มเหลวจะถูกโยนไปยังโลกมนุษย์ แล้วใช้เลือดเนื้อของมนุษย์ทำพิธีกฎเกณฑ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง รอหลังจากนั้นค่อยนำมาทำเป็นวัตถุดิบ

 

ส่วนผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องก็เป็นเหมือนกัน เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาสร้างคือปีศาจคันฉ่อง สถานที่ที่โยนของที่ล้มเหลวเข้าไปคือพิภพมาร

 

เป้าหมายของพวกเขา หรือความต้องการสูงสุดของพวกเขาก็คือการสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถสังหารมารดาแห่งความเจ็บปวดได้ เพื่อทำลายรากเหง้าของความเจ็บปวด ทำลายบาปของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และสร้างกฎใหม่ให้โลกทั้งใบ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งตอบเบาๆ พลังของสือจื้อซิง แม้แต่เซียวจื่อจู๋ก็ยังต้านทานไม่ได้ นับประสาอะไรกับเขา

 

คำว่าชั่วร้ายตัดการติดต่อทิ้งแล้ว

 

ลู่เซิ่งสงบจิตใจ นั่งนิ่งอยู่กับที่ สักพักใหญ่ๆ เขาก็ยื่นมือไปดึงเชือกตรงมุมผนังเบาๆ

 

ไม่นานก็มีศิษย์ของสำนักพันอาทิตย์คนหนึ่งส่งเสียงถามมาจากด้านนอกประตู

 

“ประมุขคฤหาสน์มีคำสั่งใด”

 

“ไปนำพวกคัมภีร์วิถีสามกำเนิด คัมภีร์กระบี่โกลาหล และวิชาอัคคีโลกาซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานที่ซ้อนกันไว้ในที่เก็บหนังสือมา” ลู่เซิ่งจัดคัมภีร์วิชาจริงแท้พื้นฐานที่ตัวเองต้องการไว้ในที่เก็บหนังสือแต่แรก ตอนนี้เพียงเรียกคนไปนำหนังสือมาเท่านั้น

 

“ทราบแล้ว”

 

ศิษย์จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง โดยส่งคัมภีร์เข้ามาผ่านเส้นทางพิเศษของห้องลับ

 

“ประมุขคฤหาสน์ยังมีคำสั่งใดอีกหรือไม่”

 

“ไปเถอะ สามวันให้หลังค่อยมาหาข้าอีกรอบ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย

 

“ทราบแล้ว…”

 

ศิษย์เดินจากไป เสียงฝีเท้าค่อยๆ เบาลงแล้วหายไป

 

ลู่เซิ่งโบกมือ ฉับพลันนั้นตำราวิชาจริงแท้พื้นฐานห้าเล่มก็กระจายออกมาด้านหน้าเขา แล้วเรียงกันเป็นแถวเดียว

 

‘นี่คือเคล็ดวิชาจริงแท้พื้นฐานทั้งหมดที่สำนักพันอาทิตย์รวบรวมไว้ สามารถเปลี่ยนสารกายให้กลายเป็นปราณจริงแท้พื้นฐานห้าชนิดได้’

 

ลู่เซิ่งดีดนิ้ว แก่นหยางกลุ่มหนึ่งพลันลอยออกมาอยู่เหนือตำราห้าเล่มอย่างแผ่วเบา

 

‘วิชากระบี่โกลาหล’ ‘วิชาอัคคีโลกา’ ‘วิชาวิถีสามกำเนิด’ ‘วิชาไม้เขียว’ ‘วิชาพัดพาตามลม’

 

ตำราห้าเล่มค่อยๆ เปิดออก สำหรับลู่เซิ่งแล้ว วิธีการสกัดสิ่งเหล่านี้ง่ายดายถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ศิษย์ธรรมดาที่เพิ่งเข้าสำนักก็ยังสกัดแก่นจริงแท้พื้นฐานห้าชนิดนี้ได้

 

หลังจากอ่านตำราแต่ละเล่มจนจบ ลู่เซิ่งก็ดีดนิ้วอีกครั้ง

 

แก่นหยางห้ากลุ่มที่ลอยอยู่เหนือตำราห้าเล่มพลันเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ หลายอึดใจต่อมา ถึงกับกลายเป็นแก่นจริงแท้ที่มีสภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงห้าชนิด

 

‘แก่นกระบี่’ กึ่งโปร่งแสง ‘ปราณอัคคีโลกา’ สีแดง ‘ปราณวิถี’ สีขาว ‘แก่นไม้’ สีเขียว รวมถึง‘แก่นปราณ’ ที่มองไม่เห็น

 

‘เริ่มเลย…’ ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตาลง ‘ดีปบลู’

 

กรอบของดีปบลูโผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขาทันที สิ่งที่โผล่มาพร้อมกันคือไฟหยินอาวรณ์แปดเศียรอันเป็นร่างหลักของตัวเอง

 

การรับรู้ของลู่เซิ่งกลับหยุดอยู่ที่พลังอาวรณ์จำนวนสามหมื่นกว่าหน่วยในร่างกายอย่างสงบนิ่ง เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการกำจัดภัยซ่อนเร้นในตัวก่อน จากนั้น…ค่อยเรียนรู้ไฟหยินอย่างสุดกำลังเพื่อให้ไปถึงระดับสูงสุดที่ไปถึงได้!

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท