บทที่ 441 มารสวรรค์ (5)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 441 มารสวรรค์ (5)

 

หมอกดำที่สลายไปทำให้เงาดำตนอื่นๆ ตกตะลึง

 

ภายในวงอาณาเขตของแสงเทียนเงีบบสงัด

 

‘ตอนนี้ยังมีใครคิดจะพูดอีกไหม’ หลังจากลู่เซิ่งจัดการเงาดำทิ้งไปตนหนึ่ง ก็กวาดตามองเงาดำตนที่เหลืออย่างเย็นชา ‘การเชื่อมต่อต้องใช้ทักษะ และข้าก็ชอบรูปแบบที่มีประสิทธิผลที่สุดมาโดยตลอด’

 

‘เจ้า…เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้…’ เงาดำร่างเล็กขนลุก ‘ถ้าเจ้าทำแบบนี้ ครั้งหน้าจะไม่มีวิญญาณคุ้มครองยอมมาแล้ว’

 

‘ไม่เป็นไร แค่พวกเจ้าก็พอแล้ว’ ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม เขาเตรียมจะใช้วิญญาณคุ้มครองเหล่านี้ทำการทดลองดูว่า จะทำสัญญาถาวรได้หรือไม่

 

เขาทำความเข้าใจเนื้อหาการทำสัญญาตอนจบพิธีมาแล้ว สัญลักษณ์ลวดลายค่ายกลบนพื้น เขาก็ศึกษามาคร่าวๆ แล้วว่าสัญลักษณ์ไหนดูแลเนื้อหาสัญญา สัญลักษณ์ไหนดูแลการทำสัญญา

 

ดังนั้น ขอแค่ปรับเปลี่ยนนิดหน่อย…

 

ลู่เซิ่งนั่งลงแล้วดึงสัญลักษณ์เส้นสายส่วนหนึ่งบนพรมออกมาอย่างแรง

 

แคว่ก

 

ขนแกะที่เป็นสีสันเส้นสายบนพรมถูกฉีกออกโดยสิ้นเชิง ลวดลายค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง เกือบจะรักษาพิธีกรรมไว้ไม่อยู่ ทว่าผ่านไปพักหนึ่ง พิธีกรรมก็กลับสู่สภาพเดิมภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่าง

 

‘มีผลอย่างที่คิดไว้…ดูเหมือนเราจะคิดถูกแล้ว ตัวพิธีกรรมนี้ไม่ได้ยากอะไร เป็นแค่การทำสัญญาปากเปล่าง่ายๆ เท่านั้น ตอนนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือการตัดเนื้อหาที่เกี่ยวกับการจำกัดเวลาของสัญญาส่วนหนึ่งทิ้งไป…’

 

ลู่เซิ่งนั่งลงฉีกซ้ายฉีกขวา แสงเทียนของพิธีส่ายไหวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ดับลง

 

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ด้านนอกมีเสียงไก่ขันดังมาเบาๆ ลู่เซิ่งจึงค่อยหยุดลง แล้วลุกขึ้นมองเงาดำสิบกว่าสายตรงหน้าที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน

 

‘เจ้าคิดทำอะไรกันแน่’ เงาดำร่างกำยำตนหนึ่งถามเสียงขรึม ‘พวกเราสู้เจ้าไม่ได้ แต่หากการทำสัญญาจบลงพวกเราก็แยกย้ายกันได้เอง แถมเจ้าก็จับพวกเราไม่ได้เช่นกัน เพาะความแค้นกันแบบนี้ หรือเจ้าจะบ้าไปแล้ว’

 

ลู่เซิ่งยิ้มๆ เขาศึกษาพิธีกรรมจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ตอนแรกยังเป็นห่วงอยู่บ้างว่าอาจจะเกิดปัญหา ยังดีที่แก้ไขได้ทันที จึงไม่มีปัญหาอะไร

 

เรื่องเลวร้ายอย่างการจับวิญญาณคุ้มครองต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นหากความแตก วิญญาณคุ้มครองตนอื่นจะไม่ติดกับอีก ดังนั้นจำเป็นต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว ในเมื่อมีโอกาสหนเดียว ลู่เซิ่งจึงกระทำอย่างเด็ดขาด จับเงาดำเข้ามาหลายตนหน่อย

 

ตอนนี้สำเร็จจริงๆ แล้ว

 

เขากวาดตามองเหล่าเงาดำตรงหน้า สองมือพลันขยับ แสดงท่วงท่าพิสดารมากมาย เหมือนกับกวนอิมพันกรในวัด และเหมือนมุทราอรหันต์ หรือท่ามือสำหรับฝึกปราณของลัทธิเต๋า

 

ไม่ถึงหนึ่งวินาที ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนท่วงท่าพิธีกรรมที่แตกต่างกันถึงสิบสองชนิด ขณะเดียวกันก็ตะโกนเสียงหลายสิบเสียงซึ่งเหมือนการกรีดร้องในเวลาไม่กี่วินาที

 

ยังไม่รอให้เงาดำทั้งหมดตอบสนอง

 

พรึ่บ!

 

แสงเทียนสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นก็กลายเป็นสีน้ำเงินสามวินาที ก่อนจะดับลงอย่างฉับพลัน ห้องตกสู่ความมืดมิดโดยสมบูรณ์

 

วิญญาณคุ้มครองสิบกว่าสายยังไม่ทันตอบสนอง ก็รู้สึกว่าบนร่างมีโซ่พันธะสัญญาที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดเพิ่มมาเส้นหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้ นี่เป็นสภาพตามปกติหลังทำสัญญาเสร็จ ความยาวสั้นของโซ่นี้จะกำหนดความยาวสั้นของเวลาในการทำสัญญา

 

นอกจากนี้โซ่ยังจะหดสั้นลงตามเวลาที่ผ่านไปด้วย ทว่าโซ่ที่อยู่บนร่างในตอนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่มีร่องรอยว่าจะหดสั้นลง และยิ่งสัมผัสเงื่อนไขกับเวลาที่สัญญาจะลุล่วงไม่ได้…

 

‘ไม่!’

 

เงาดำหลายตนพลันตกใจหวาดกลัว มีหลายตนพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งด้วยความร้อนรน

 

‘เจ้าทำอะไร!’

 

‘เจ้าบ้าไปแล้ว!’

 

‘ฆ่ามัน! พวกเราจะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อฆ่ามันได้’ เงาดำร่างเล็กสั่งเสียงดัง

 

เปรี้ยง!

 

ไม่นานเงาดำสายหนึ่งก็ลอยกลับมาชนใส่กำแพงด้านในห้องเต็มแรง แล้วติดอยู่บนกำแพงโดยไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับภาพแปะผนัง

 

จากนั้นเงาดำสายหนึ่งก็กระแทกเข้ากับเก้าอี้ไม้จนหัก ก่อนจะนอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้น

 

ลู่เซิ่งจับศีรษะของเงาดำตนหนึ่งไว้และลากมันเดินเข้าหาเงาดำร่างเล็กนั้น

 

‘ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ ยังจะลองดีอีก เปลืองแรงเปล่าๆ แทนที่จะเอาแรงไปอาละวาด ควรคิดดีกว่าว่าจะเอาใจข้าอย่างไรเพื่อให้ข้าปล่อยพวกเจ้าไป’ ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับโยนเงาดำที่เป็นวิญญาณคุ้มครองในมือไปบนพื้นตรงหน้า

 

‘นอกจากนี้สัญญาก็กำหนดเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่สัญญาจะจบลง พวกเจ้าไม่สามารถทำร้ายใครในหมู่บ้านควันม่วงได้ พวกเจ้าคงไม่ลืมเนื้อหากระมัง’

 

เงาดำร่างเล็กก้มศีรษะ จนถึงตอนนี้มันยังอึ้งงันอยู่ ตนถูกจับทำสัญญาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังกลายเป็นเนื้อบนเขียงของคนอื่นอีก

 

‘เข้าใจแล้ว’ ด้านข้างมันมีเงาดำตอบอย่างใจเย็น

 

ลู่เซิ่งกวาดตามองวิญญาณคุ้มครองที่เอ่ยปากพูด เป็นเงาดำร่างสูงชะลูดที่มีผมยาว เสียงคล้ายเสียงสตรี

 

‘ขอถามสักข้อ พวกเจ้าออกมาตอนกลางวันได้หรือไม่’

 

‘ย่อมได้ มนุษย์เช่นพวกเจ้าเห็นพวกเราเป็นสีดำสนิทพราะดวงตาของพวกเจ้าไม่อาจเห็นแสงกับสีอีกชนิดที่อยู่บนตัวพวกเราได้ ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นสีดำ’ เงาดำร่างสูงชะลูดตอบอย่างจริงจัง

 

‘เช่นนั้นชื่อของเจ้าคือ?’ ลู่เซิ่งชื่นชมในตัวคนที่รู้จักเวลาและหน้าที่มาก ไม่ใช่ใครๆ จะก้มหน้าปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างแน่วแน่และรวดเร็ว

 

‘ซันปู้ ซันที่หมายถึงสาม ปู้ที่หมายถึงผืนผ้า’

 

‘ซันปู้…ข้าจำไว้แล้ว…’ ลู่เซิ่งพยักหน้า ‘ข้ายังมีคำถามอีกมากมายอยากจะให้เจ้าชี้แนะ ถ้าเจ้ายินยอม’

 

‘เจ้าถามข้าตอบ จะไม่มีการปิดบัง’ ซันปู้ตอบอย่างเรียบเฉย

 

‘เจ้าไม่เลวทีเดียว’ ลู่เซิ่งพยักหน้า

 

‘ขอบคุณ นอกจากนี้ ขอเตือนเจ้าสักประโยค หลังพิธีกรรมจบลง พวกเราได้แต่ติดตามเจ้า ไม่อาจจากไปไหนไกลได้เพราะสัญญา’ ซันปู้พูดอย่างรวดเร็ว

 

‘อย่างนั้นหรือ…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ตอนนี้แสงเทียนกำลังวูบไหว ในที่สุดก็ดับลงโดยสมบูรณ์ ทว่าวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนยังคงไม่อาจจากไป เป็นเพราะว่าพวกเขาทำสัญญาแล้ว

 

ทว่าไม่อาจจากไป ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณคุ้มครองเหล่านี้ยอมเข้าใกล้ลู่เซิ่ง ส่วนใหญ่บินทะลุกำแพงออกไปถึงจุดที่อยู่ห่างจากลู่เซิ่งมากที่สุดชั่วขณะ

 

เหลือแค่ซันปู้

 

ลู่เซิ่งย่อมสัมผัสได้เพราะสัญญา

 

‘ไม่เป็นไรหรือ’ เขาถาม

 

‘ไม่เป็นไร ข้าไม่ชอบพวกเขา พวกเขาก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน ต่อให้ไม่มีสัญญาก็เป็นเหมือนเดิม’ ซันปู้เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

‘พวกเจ้าวิญญาณคุ้มครองใช้อะไรสู้กับวิญญาณชั่วร้าย บอกได้หรือไม่’ ลู่เซิ่งถามอย่างสนใจ ถือโอกาสนั่งขัดสมาธิคุยกับซันปู้ผู้นี้

 

‘พวกเราอาศัยพลังวิญญาณ พูดอีกอย่างก็คือพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในตัวพวกเรา หรือสายเลือดและโลหิตของพวกเราซึ่งเป็นเสาค้ำของชีวิต วิญญาณคุ้มครองคุ้มครองวิญญาณ ย่อมไม่ใช่ว่าเรียกแบบนี้โดยไม่มีความหมาย’ ซันปู้อธิบายอย่างรวบรัด

 

‘พลังวิญญาณหรือ สาธิตได้หรือไม่’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจอย่างฉับพลัน เป็นระบบพลังอีกแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาสนใจในทุกสิ่งที่ทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นได้

 

‘ย่อมได้’ ซันปู้ให้ความร่วมมืออย่างดี

 

นางยื่นมือออกมา หรือก็คือหนวดที่เป็นเงาสีดำซึ่งเหยียดตรงเหมือนกับกิ่งไม้แท่งหนึ่ง บนหนวดมีเงาดำที่เหมือนกับเปลวไฟกลุ่มหนึ่งผุดออกมาตลอดเวลา

 

‘นี่ก็คือพลังวิญญาณของข้า ผลของพลังงานชนิดนี้คือการมอบชีวิตให้แก่สิ่งของ ขณะเดียวกันก็มีผลกดข่มที่รุนแรงที่สุดต่อวิญญาณชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยไอความตายเช่นกัน’ ซันปู้เอ่ยอย่างเรียบเฉย

 

‘อ้อ? มอบชีวิตให้สิ่งของหรือ แสดงให้ดูได้หรือไม่’ ลู่เซิ่งสนใจกว่าเดิม

 

‘น่าเสียดายนัก พลังของข้าอ่อนแอเกินไป จึงไปไม่ถึงระดับนั้น แต่ว่าการใส่พลังวิญญาณจำนวนน้อยจะทำให้สิ่งของมีพลังชีวิต และอาจจะทำให้เกิดของล้ำค่าในสายตามนุษย์เช่นพวกเจ้าขึ้นมา’ ซันปู้อธิบาย

 

‘น่าสนใจ…นอกจากนี้แล้วยังมีผลอะไรอีกหรือไม่’ ลู่เซิ่งถามต่อ

 

‘มี…ทำให้สิ่งมีชีวิตมีพลังชีวิตเพิ่มกว่าเดิมและแข็งแรงกว่าเดิม…’ ซันปู้กล่าวอย่างไม่แน่ใจ ‘ข้ายังไม่เคยลอง แต่น่าจะทำถึงขั้นนี้ได้’

 

‘อย่างนั้นทำไมพวกเจ้าถึงทำสัญญากับมนุษย์ พวกเจ้าต้องการอะไรจากพวกเรา’ ลู่เซิ่งถามคำถามสำคัญ

 

ซันปู้เงียบเสียง ก่อนจะค่อยๆ ตอบ

 

‘ผลิตภัณฑ์หลายอย่างในโลกของพวกเจ้าเป็นของที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา หากพวกเราได้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาดูดซับแก่นสารด้านใน พลังของพวกเราจะพัฒนาขึ้นหนึ่งระดับ’

 

‘อย่างนี้นี่เอง…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วถามต่ออีกหลายคำถาม

 

ซันปู้ตอบทุกคำถาม ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มองการโกหกปิดบังไม่ออก

 

สุดท้ายลู่เซิ่งก็ถามอีกคำถาม ‘ทำไมเจ้าให้ความร่วมมือกับข้าขนาดนี้’

 

‘เพราะข้าไม่เห็นนัยสำคัญในการต่อต้านเจ้า’ ซันปู้ตอบอย่างจริงจังยิ่ง

 

‘คำขอสุดท้าย’ ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น ‘รบกวนเจ้าใส่พลังวิญญาณมาในมือข้าด้วย ข้าขอลองสัมผัสดูหน่อย…’

 

ซันปู้ส่ายหน้า ‘ไม่มีประโยชน์ ก่อนหน้านี้เคยมีคนขอแบบนี้แล้ว แต่ไม่เกิดผลอะไร ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็สัมผัสการดำรงอยู่ของพลังวิญญาณไม่ได้’

 

ถึงแม้นางไม่คิดว่าลู่เซิ่งจะทำสำเร็จ แต่ก็ยังคงทำตามคำสั่ง ค่อยๆ พาดหนวดกับฝ่ามือของลู่เซิ่ง แล้วใส่พลังวิญญาณด้านในร่างกายตัวเองลงไป

 

ลู่เซิ่งมองฝ่ามือของตนที่ค่อยๆ แวววาวและคล่องแคล่วขึ้นอย่างสงบ มีแสงสว่างสีขาวจางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมอย่างขมุกขมัวราวกับรูปสลักที่แกะจากหยกขาว

 

เขาสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของพลังวิญญาณไม่ได้โดยสิ้นเชิง ต่อให้จะเป็นจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้า ก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย

 

แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ จินตนาการว่าพลังวิญญาณบนมือไหลตามเส้นเลือดและเส้นชีพจรจากมือตรงไปยังบ่า และตกลงไปถึงทรวงอก ก่อนจะเริ่มโคจรอย่างรวดเร็วไปตามเส้นชีพจรเริ่น[1]และเส้นชีพจรตู[2]

 

ถึงแม้จะยังคงสัมผัสการดำรงอยู่ของพลังวิญญาณไม่ได้ แต่หลังจากทำแบบนี้อยู่หลายสิบครั้ง ในที่สุดลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองบวมพองและมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับที่พลังวิญญาณที่ซันปู้ใส่เข้ามามีมากขึ้นเรื่อยๆ

 

‘ดีปบลู’ เขานึกในใจ

 

ชิ้ง

 

กรอบสีฟ้าโผล่ขึ้นตรงหน้าเขา

 

เดิมทีส่วนของลู่จ้งมีแค่สองกรอบ หนึ่งคือวิชากระบี่ยอดพฤกษา อีกหนึ่งคือวิชาสารกายปริศนา

 

ทว่าตอนนี้มีกรอบใหม่โผล่มาด้านล่างสุด

 

[วิชาพลังวิญญาณปริศนา: ขั้นพื้นฐาน (ประสิทธิผลเพิ่มเติม: คล่องแคล่วระดับหนึ่ง, อายุยืนระดับหนึ่ง)]

 

‘พลังวิญญาณมีผลทำให้อายุยืนด้วยหรือนี่!?’ลู่เซิ่งตกใจ จะดูถูกไม่ได้เสียแล้ว

 

‘ดีมาก พอแล้ว ขอบคุณ’ แม้เขาจะตกตะลึง แต่ก็ยังใช้จิตส่งความตั้งใจของตัวเองให้ซันปู้

 

‘เป็นอย่างไร’ ซันปู้มองลู่เซิ่งอย่างคาดหวังเล็กน้อย นางรู้สึกว่ามนุษย์คนนี้แตกต่างจากมนุษย์คนใดที่นางได้เจอมาก่อน

 

ดังนั้นนางจึงร่วมมือกับอีกฝ่าย

 

‘สัมผัสไม่ได้เลย…’

 

ลู่เซิ่งส่ายหน้า ‘ช่วยอธิบายขั้นตอนการฝึกพลังวิญญาณได้หรือไม่’

 

……………………………………….

 

[1] เส้นชีพจรเริ่น เป็นเส้นชีพจรที่อยู่ตั้งแต่กลางหัวเหน่าไปถึงใต้ริมฝีปากล่าง

 

[2] เส้นชีพจรตู เป็นเส้นชีพจรที่อยู่ด้านหลังตั้งแต่ใต้อวัยวะเพศไปถึงกลางกระหม่อม

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท