ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 342 กุญแจมุ่งสู่เทพเจ้า!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 342 กุญแจมุ่งสู่เทพเจ้า!

แดนต้องห้ามกระบี่เป็นแดนต้องห้ามที่มีเพียงแห่งเดียวในมณฑลรับเสด็จราชัน

ที่นี่อยู่ใกล้พื้นที่ใจกลางมณฑลรับเสด็จราชันเยื้องไปทางตะวันตกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ปกคลุมกินพื้นที่แม่น้ำหลักของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนช่วงหนึ่ง

ก่อนที่แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนจะไหลเข้าสู่แดนต้องห้ามกระบี่ น้ำในแม่น้ำเต็มไปด้วยพลังเซียน แต่หลังจากไหลออกไปก็ดำสนิททั้งหมด

ที่นี่มีหมอกหนาตลอดปี แสงแดดยากจะส่องเข้าไปได้ ดังนั้นมองไปจากท้องฟ้าก็จะเห็นเพียงน้ำสีดำสนิทไหลทะลักโหมบ่าออกไป แต่กลับมองไม่เห็นสภาพโดยละเอียดของแม่น้ำในแดนต้องห้าม

หมอกปกคลุมซึ่งทุกสิ่ง

จะเห็นได้เพียงรางๆ ว่า แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนแบ่งแดนต้องห้ามกระบี่เป็นสองส่วน แต่การที่หมอกลอยก็เหมือนจะเชื่อมพวกมันเอาไว้ด้วยกัน

“จากบันทึกของพันธมิตร เมื่อสามพันปีก่อน แดนต้องห้ามกระบี่เคยมีเคราะห์ภัย จักรพรรดิกระบี่ผู้นั้นตื่นขึ้นเดินออกไป แตกตื่นไปทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร สุดท้ายก็ถูกขั้วอำนาจหมื่นเผ่าพันธุ์ในเขตปกครองผนึกสมุทรร่วมมือกัน ถึงจะพอสะกดเอาไว้ได้

“จักรพรรดิเพลิง จักรพรรดิศพ จักรพรรดิกระบี่ ทั้งสามคนนี้ต่างเป็นนายแห่งแดนต้องห้าม พลังแท้จริงของพวกเขาลึกล้ำเกินหยั่ง” นายกองมองไปในป่ามืดมิดไกลๆ ในเสี้ยวพริบตาที่เสียงดังออกมา ร่างของสวี่ชิงก็พุ่งออกไปแล้ว

รวดเร็วยิ่งยวด ทั้งตัวเขาแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาว พุ่งตรงไปยังแดนต้องห้ามกระบี่

บนเรือศึกเวท เหยียนเหยียนมองนายกองอย่างกังวล

“ศิษย์พี่ใหญ่…”

นายกองมองเงาร่างสวี่ชิงพลางยิ้มบางๆ

“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ รับประกันว่าสวี่ชิงจะปลอดภัย แต่ว่าเหยียนเหยียนช่วงนี้ข้าค่อนข้างจะขัดสน เจ้าทางนั้น…”

เหยียนเหยียนโยนถุงเก็บของออกมาใบหนึ่งทันที

นายกองตาวาววาบ รับมาก็กวาดตามอง ตื่นเต้นดีใจทันที ตบอกปุๆ เอ่ยเสียงดังว่า

คำว่าน้องสะใภ้ทำให้เหยียนเหยียนหน้าแดงขึ้นมา โยนถุงเก็บของอีกใบมาอย่างเบิกบาน

“โอ้โห นับจากนี้เป็นต้นไป เหยียนเหยียน เจ้าคือน้องสะใภ้เพียงคนเดียวที่ข้ายอมรับ!” นายกองสั่นสะท้านไปทั้งตัว ถือถุงเก็บของเอาไว้ ร่างเพียงไหววูบ ก็พุ่งไล่ตามสวี่ชิงไปทันที

ได้ยินคำพูดของนายกอง เหยียนเหยียนดีใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าดวงน้อยๆ แดงระเรื่อ

แต่นางไม่รู้ว่า นายกองที่ไล่ตามสวี่ชิงไปในตอนนี้ พุ่งทะยานไปด้วยจิตใจเริงร่า ดวงตายิ่งฉายประกายวาววาบ มีท่าทางเหมือนหาวิธีรวยทางใหม่ได้แล้ว

“ข้านี่โง่จริง ไม่ควรไปอิจฉาอาชิงน้อย ทุกครั้งที่ออกไปกับเขาข้าควรเรียกผู้บำเพ็ญหญิงไปด้วยคนหนึ่ง จากนั้นก็ทำเช่นนี้ ข้าจะต้องไม่ขาดเงินขาดทองแน่นอน!

“แล้วยังมีติงเสวี่ยเศรษฐีนีน้อยนั่น ในกระเป๋านางมีเงินเยอะที่สุดแล้ว!”

นายกองตื่นเต้นดีใจ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าวันหนึ่งหากคนที่ปรากฏข้างกายสวี่ชิงคือจอมเซียนจื่อเสวียน อีกฝ่ายหากเรียกตนว่าศิษย์พี่ใหญ่อย่างเชื่อฟังว่าง่าย เช่นนั้นก็น่าตื่นๆ สุดๆ ไปเลยจริงๆ

“เช่นนี้แล้ว เดี๋ยวข้าจะส่งของกำนัลเล็กๆ ไปให้พวกนางทุกคนในนามของสวี่ชิง รักษาความสัมพันธ์ของพวกนางกับอาชิงน้อย อาชิงเอ๋ยอาชิง เจ้ามีศิษย์พี่ใหญ่เช่นข้าจะต้องเป็นบุญที่เจ้าทำไว้แต่ชาติปางก่อนเป็นแน่!”

นายกองตื้นตันซาบซึ่ง จิตใจเบิกบาน

ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ

ตอนนั้นเขากับสวี่ชิงไปทำเรื่องใหญ่ที่เผ่าสิงซากสมุทรหนีกลับมายังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ตอนที่ถูกจัดให้เป็นลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักต้อนรับต่างเผ่า เหตุที่ติงเสวี่ยและกู้มู่ชิงปรากฏตัวข้างกายสวี่ชิงพร้อมกันก็เป็นเขาที่แอบลงมือลับหลัง

ความจริงตอนนั้นคนที่สำนักกำหนดคือกู้มู่ชิง นายกองจึงบอกกับติงเสวี่ย ขายสิทธิ์รายชื่อให้ติงเสวี่ยสิทธิ์หนึ่ง…

ตอนนี้ในขณะที่ได้ใจอยู่ เขาก็เร่งความเร็วขึ้น ไล่ตามสวี่ชิงไปถึงในแดนต้องห้ามกระบี่ทันที

ในป่าแดนต้องห้ามกระบี่ สวี่ชิงรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง หลังจากพุ่งเข้าในพริบตาแล้ว ไอพลังประหลาดรอบๆ ก็ทะลักเข้ามา ลอยตลบอบอวลมาที่ร่างสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว เขาดูดซับมันไว้ทันทีแล้วถ่ายทอดไปในวังสวรรค์วังที่สาม

ฝีเท้าของเขาไม่หยุดนิ่ง ตอนนี้ทะยานไปในป่า มือขวายื่นคว้าออกไปข้างๆ งูใหญ่ที่ทั้งตัวแผ่ระลอกคลื่นพลังไม่ธรรมดาบนต้นไม้ตัวหนึ่ง

แทบจะในพริบตาเดียวกับที่มือของเขาสัมผัสงูใหญ่ตัวนี้ งูที่มีขนาดเท่ามนุษย์คนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา กายเนื้อแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงพริบตาก็กลายเป็นกระดูก พลังชีวิตทั้งหมดในกายหายไปจนหมดสิ้น

ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เขาเคลื่อนไปข้างหน้าต่อโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น ไม่นานนัก อสูรร้ายเหมือนกิเลนสีแดงตัวหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาสวี่ชิง

อสูรร้ายตัวนี้กลิ่นอายไม่ธรรมดา ทั่วทั้งร่างแผ่รังสีอำมหิต ทั้งตัวมีใบหน้าเต็มไปหมด มีใบหน้ามนุษย์และมีใบหน้าอสูร

ข้างหน้ามันมีหมาป่าแปดขากลุ่มหนึ่ง หมาป่าพวกนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เหมือนมีสองตัวติดอยู่ด้วยกัน มีสองตัวแต่กลับมีหัวเพียงหัวเดียว อีกทั้งหัวใหญ่มาก เทียบได้เท่ากับตัวทั้งตัว ในขณะที่รูปร่างแปลกประหลาด ดุร้ายเหี้ยมโหดนัก เพียงแต่ด้วยการไล่ล่าจากอสูรร้ายที่เหมือนกิเลนตัวนั้น ความดุร้ายหดหาย หนีหัวซุกหัวซุน

การมาเยือนของสวี่ชิงปรากฏขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ไล่ล่ากันอย่างกะทันหัน อสูรร้ายที่เหมือนกิเลนตัวนั้นฝีเท้าหยุดชะงักทันที รังสีอำมหิตเพิ่งจะปะทุขึ้น สวี่ชิงก็มาถึงข้างหน้ามันแล้วเงื้อมือขวากดลงไป

อสูรร้ายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่มีสิทธิ์ที่จะหลบหลีกหรือต้านทาน เพียงพริบตาฝ่ามือของสวี่ชิงก็ซัดมาที่หัวของมัน เสียงบึ้มดังขึ้น ร่างของอสูรร้ายตัวนี้ก็แห้งเหี่ยวทันที เพียงพริบตาก็กลายเป็นกระดูก

ภาพนี้ทำให้ฝูงหมาป่าแปดขาต่างตัวสั่นงันงก หนีเร็วยิ่งกว่าเดิม แต่สวี่ชิงเลียริมฝีปาก กระโจนออกไปแปรเปลี่ยนเป็นรอยเงาไล่ตามไป เริ่มทำการดูดซับ

ไม่นานนัก หลังจากที่ทิ้งกระดูกเอาไว้เกลื่อนกลาด เงาร่างของสวี่ชิงก็จากไปไกล หายไปในป่า

หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ เงาร่างของนายกองก็มาปรากฏตัวที่นี่

เขามองกระดูกที่เกลื่อนไปทั่วพื้นก็วางใจ

“แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว”

นายกองพึมพำ กำลังจะไล่ตามต่อไป

แต่ในตอนนี้เอง สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป จมูกสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย หันไปมองในจุดลึกของแดนต้องห้ามอย่างสงสัย

ตรงนั้นเป็นคนละทิศกับทางที่สวี่ชิงไป

หลังจากสังเกตอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็วาววาบ

‘ที่นี่ยังมีของวิเศษเช่นนี้อยู่อีกหรือ’ นายกองเลียริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองเป็นประกายวาววาม

‘ศิษย์น้องเล็กไม่เป็นอะไรมาก ข้ามิสู้ไปดูของวิเศษชิ้นนี้สักหน่อยก่อนดีกว่า’

นึกถึงตรงนี้ นายกองก็เปลี่ยนทิศพุ่งออกไปทันที หายไปในป่า

เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปครึ่งเดือน

ในเวลาครึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงสังหารบ้าคลั่งมาก ทุกที่ที่พาดผ่าน ขอเพียงสิ่งที่เจอเป็นอสูรร้ายก็ล้วนต่างถูกเขาดูดซับพลังชีวิตไปหล่อเลี้ยงลูกกลอนพิษของตัวเอง แม้สิ่งที่ได้พบเจอจะเป็นสิ่งประหลาดก็ทำเช่นเดียวกัน

ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ว่าฆ่าอสูรร้ายไปมากเท่าไรแล้ว ด้วยกำลังรบวังสวรรค์สี่วังของเขาในตอนนี้ โดยพื้นฐานแล้วในพื้นที่รอบนอกของแดนต้องห้ามแห่งนี้ล้วนสามารถกวาดกำราบได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น ไม่นานนักสวี่ชิงก็เข้าใกล้ส่วนลึกไปเล็กน้อย และจากการที่เขาเดินลึกเข้าไป อสูรร้ายที่ได้พบก็มากยิ่งขึ้น การสังหารดำเนินไปไม่หยุด การดูดซับดำเนินไปตลอด

สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แววตาของเขาไม่มืดหม่นอีกต่อไป ร่างกายก็ฟื้นคืนจากสภาพเหลือแต่กระดูกแบบก่อนหน้านี้ขึ้นมาก

รวมกับความสามารถของผลึกวารีสีม่วง ดังนั้นเขาในตอนนี้ดูแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่ผอมกว่าแต่ก่อนเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนผมก็งอกใหม่แล้ว เสื้อผ้าอาภรณ์ก็เปลี่ยนใหม่แล้ว ลูกกลอนพิษต้องห้ามที่อยู่ในวังสวรรค์วังที่สามในร่างก็ฟื้นคืนกลับมาภายใต้พลังชีวิตและไอพลังประหลาดที่เข้มข้นเช่นนี้จนเหลืออีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นแล้ว

เสี้ยวนี้ก็จัดการได้ง่ายๆ ตอนนี้สวี่ชิงกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ ความเร็วของเขารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พุ่งตรงไปยังแมงกะพรุนตัวยักษ์ที่บินมาบนท้องฟ้าฝูงนั้น

แมงกะพรุนพวกนั้นต่างแผ่พลังเย็นยะเยือกออกมา ทุกที่ที่พาดผ่านต้นไม้ใบหญ้าบนพื้นล้วนถูกแช่แข็ง อสูรร้ายส่วนใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนี้ล้วนยากจะหลีกหนีความตายพ้น

แมงกะพรุนพวกนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย ตัวเล็กตัวใหญ่มีถึงหลายสิบตัว ในร่างกายกึ่งโปร่งแสงของพวกมันล้วนมองโครงกระดูกเปื่อยเน่าที่กำลังทำการย่อยอยู่

แมงกะพรุนที่เหมือนพวกมัน สวี่ชิงก็เคยเห็นในตอนที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแล้วเช่นกัน

คล้ายว่าแมงกะพรุนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไปในพื้นที่ต้องห้าม หลังจากได้เห็นพวกมัน ความกดดันรุนแรงที่เขาเคยสัมผัสในตอนนั้นล้วนสลายหายไปโดยสิ้นเชิง

มองแมงกะพรุน สวี่ชิงก็นึกถึงผู้บำเพ็ญระดับต่ำนับในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดไม่ถ้วนที่ถูกสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันนี้สังหาร ในนั้นรวมถึงตาแก่หัวแข็งที่สวี่ชิงช่วยฝังศพให้ด้วย

ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววาบ ร่างพลันทะยานออกไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งเข้าไปในแมงกะพรุนฝูงนี้

จากเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเป็นระลอกๆ แมงกะพรุนแห้งเหี่ยว สูญเสียพลังชีวิตทีละตัวร่วงลงมาจากกลางอากาศ

จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างของสวี่ชิงก็ลอยต่ำลงมายืนอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง

ดวงตาของเขาฉายประกายความมีชีวิตชีวาออกมา ในร่างมีเสียงประดุจอัสนีสวรรค์สะท้อนดังกึกก้อง

ในวังสวรรค์วังที่สามของเขาตอนนี้ลูกกลอนพิษต้องห้ามที่ถูกหลอมผสานและแปรเปลี่ยนให้เป็นของวิเศษแก่นวิญญาณของเขา ในเสี้ยวพริบตานี้ก็ถูกจุดขึ้นด้วยไฟแห่งชีวิตอีกครั้ง แผ่ซ่านระลอกคลื่นพลังชีวิตเข้มข้นออกมา

กระทั่งว่าร่างของเขายังสั่นสะท้านไปเล็กน้อย

การสั่นสะท้านนี้ดำเนินอยู่ตลอดเหมือนกับหัวใจเช่นนั้น

สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกเชื่อมโยงอันแนบแน่น ความรู้สึกประเภทนี้เหมือนลูกกลอนพิษต้องห้ามในวังสวรรค์วังที่สามที่เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายสวี่ชิง

เมื่อสวี่ชิงสัมผัสก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

เขาเอาแมลงสีดำออกมาก่อน แมลงสีดำพวกนี้ก็ไชเข้าไปในร่างสวี่ชิงทันที เข้าไปในวังสวรรค์วังที่สาม ล้อมอยู่รอบๆ ลูกกลอนพิษต้องห้าม

จากนั้นสวี่ชิงก็เงยหน้า มองไปยังท้องฟ้าเหนือป่าที่อยู่ไกลๆ ตอนนี้มีแมงกะพรุนที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วอีกฝูงหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฝูงแมงกะพรุนที่นี่ใหญ่กว่ามาก ก่อนหน้านี้ที่เขาฆ่าไปเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และดึงความสนใจของแมงกะพรุนที่นี่ ตอนนี้แมงกะพรุนที่พุ่งมาจากที่ไกลมีมากถึงหลายร้อยตัว

ในนั้นมีสามตัวที่มีขนาดถึงหลายร้อยจั้ง น่าพรึ่นพรึงยิ่งนัก แผ่รัศมีแข็งแกร่ง ระลอกคลื่นพลังที่แผ่ออกมาเทียบได้กระทั่งผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์สองหรือสามวัง

“สมเป็นพื้นที่ต้องห้าม ข้ายังไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ข้างในจริงจังก็เจอสูรร้ายที่แข็งแกร่งประเภทนี้แล้ว

“ก็ดี ทดลองลูกกลอนพิษต้องห้ามของข้าที่นี่ ดูสิว่าพลานุภาพของมันจะขนาดไหน!”

สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาฉายประกายวาบ วังสวรรค์วังที่สามในกายพลันสั่นสะเทือนครืนครัน ลูกกลอนพิษต้องห้ามในกายปะทุขึ้นมาทันที

ทุกที่ที่พาดผ่าน ต้นไม้มากมายบนพื้นดินเน่าสลายไปในทันที พืชพรรณทุกอย่างกลายเป็นเถ้าธุลีในเสี้ยวพริบตา อสูรร้ายบนพื้นดินไร้ความสามารถที่จะดิ้นรนใดๆ ทั้งสิ้น โดนพิษทันที ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาเป็นระลอกๆ ก็กลายเป็นเลือด

แมงกะพรุนที่พุ่งมาบนท้องฟ้าพวกนั้นยิ่งยากจะหนีคราวเคราะห์ แต่ละตัวล้วนเปลี่ยนเป็นสีดำโดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า ภายใต้เสียงโหยหวนสิ้นหวังก็เปื่อยเน่ากลายเป็นน้ำสีดำสาดกระจายลงพื้น

ไม่ใช่แค่พวกมัน ผืนดินก็เช่นกัน

พื้นดินกลายเป็นดินต้องห้าม หนอนแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนต่างถูกพิษ อสูรร้ายที่อยู่ใต้ดินลึกก็ไม่อาจหลบหลีกได้ ถูกสังหารทันที

หมอกบนท้องฟ้าสลายอย่างรวดเร็วในเสี้ยวพริบตานี้เช่นกัน เกิดเป็นช่องโหว่ ทำให้แสงจันทร์จากโลกภายนอกสาดเข้ามา

ปกคลุมบนร่างสวี่ชิง ปกคลุมไปบนพื้นที่ห้าร้อยจั้ง!

และในพื้นที่ห้าร้อยจั้งต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวแห้ง ทุกอย่างมอดม้วย

กวาดตามองไป บนพื้นดิน…ว่างเปล่า

มีเพียงดินดำสนิท แผ่ความน่าหวาดกลัวชวนให้คนพรั่นพรึงออกมา

สวี่ชิงยืนอยู่กลางอากาศพลางมองทุกอย่างนี้ เจ้าเงาที่อยู่ข้างหลังเขาปรากฏขึ้นช้าๆ ก่อร่างเป็นต้นไม้ใหญ่ดำสนิทต้นหนึ่ง โค้งคำนับหมอบเคารพอยู่ข้างหลังเขา

มองไป เงาของต้นไม้ต้นนี้เหมือนเป็นผ้าคลุมของสวี่ชิง ภายใต้การขับเน้นจากการสังหารทำลายล้างห้าร้อยจั้งนี้ ร่างของสวี่ชิงเหยียดตรง ใบหน้างดงามล้ำ ภายใต้การขับเน้นจากเงาต้นไม้ยิ่งดูงดงามแปลกประหลาด

เหล็กแหลมสีดำลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้กำลังสั่นสะท้าน บรรพจารย์สำนักวัชระที่ปรากฏร่างบนนั้นก็คุกเข่าหมอบคารวะเช่นกัน

ในใจของเขาเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ทุกอย่างล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงพึมพำในใจ

‘เทพเจ้าหรือ’

เหตุที่คิดเช่นนี้เพราะตอนนี้บนพื้นเกิดไอพลังประหลาดขึ้นมาช้าๆ

ไอพลังประหลาดพวกนี้ไม่ใช่ไอพลังที่อยู่ในแดนต้องห้าม แต่เกิดขึ้นเองหลังจากที่พิษของสวี่ชิงปกคลุมที่นี่

สิ่งที่แปลกประหลาดไปยิ่งกว่านั้นคือไอพลังประหลาดเหล่านี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกมาจากต้นกำเนิดเดียวกันอย่างหนึ่ง

เหมือนว่ามันเกิดขึ้นเพราะเขา

ต่างไปจากไอพลังประหลาดที่ตลบอวลอยู่ที่นี่!

สวี่ชิงร่างพลันสั่นสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่…คือความสามารถของเทพเจ้า!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท