ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 344 วิชาลับเงาผสาน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 344 วิชาลับเงาผสาน

บรรพจารย์สำนักวัชระตึงเครียดมาก ขณะที่กลัดกลุ้มใจ ก็พบว่าดวงตาสวี่ชิงตอนที่มองคลื่นวนที่เจ้าเงาอยู่ แลดูมีความคาดหวัง

สายตาเช่นนี้ เหมือนว่าสวี่ชิงไม่เคยมองตนเองเช่นนี้เลยในความทรงจำของบรรพจารย์สำนักวัชระ

ทั้งหมดนี้ ทำให้จิตใจของบรรพจารย์สำนักวัชระกระเสือกกระสนอย่างหนักหน่วง

ท้ายสุดตาทั้งสองก็ปรากฏแสงอัสนี ราวกับว่าหลังจากที่บีบคั้นตนเองถึงขีดสุดก็คุ้มคลังขึ้นมา จะสู้สุดชีวิตสักตั้ง

เขาจึงมองสวี่ชิงในทันใด

“นายท่าน โปรดนำกระจกเหล่านั้นให้ข้าด้วย”

แม้บรรพจารย์สำนักวัชระจะสื่อประโยคนี้มาทางจิต แต่สวี่ชิงสัมผัสถึงความแน่วแน่และความบ้าคลั่งในนั้นได้อย่างชัดเจน

เขาจึงมองบรรพจารย์สำนักวัชระผาดหนึ่ง เมื่อโบกมือกระจกน้อยใหญ่ที่ได้มาจากเทพวิญญาณโยวจิงเหล่านั้นก็ลอยออกมาทั้งหมด

บรรพจารย์สำนักวัชระไม่พูดให้มากความ ควบคุมเหล็กแหลมสีดำพุ่งทะลวงไปที่กระจกบานหนึ่ง กระจกที่แตกออกก็เหมือนมีเสียงกรีดร้องรางๆ ออกมาภายใต้การสูดรับ ราวกับว่ามีวิญญาณศัสตราถูกบรรพจารย์สำนักวัชระกลืนกิน

ส่วนที่เรียกว่าศัสตราวิญญาณนั้น สวี่ชิงเคยตรวจสอบมาแล้ว ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เป็นแค่จิตสำนึกส่วนหนึ่งเท่านั้น ห่างจากการกลายเป็นวิญญาณศัสตราที่แท้จริงอยู่ไกลโข

จากนั้นก็บานที่สอง บานที่สาม บานที่สี่…เพียงพริบตา บรรพจารย์สำนักวัชระก็กลืนกินกระจกไปกว่าเจ็ดส่วน รอบตัวเต็มไปด้วยแสงอัสนี ราวกับจะหลอมรวมเป็นแสงอัสนี ส่งเสียงคำรามเป็นระยะ

สวี่ชิงที่เห็นภาพนี้ยังรู้สึกเกินคาด เขารู้สึกว่าบรรพจารย์สำนักวัชระสู้สุดชีวิตแล้วจริงๆ

อันที่จริงนี่เป็นขีดจำกัดของบรรพจารย์สำนักวัชระแล้ว เขากลืนกินมากกว่านี้ได้ลำบาก แต่สำหรับการทะลวงขั้น เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจ

แต่พอสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกำลังสนใจตนเอง บรรพจารย์สำนักวัชระก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว

และตอนนี้เอง คลื่นวนที่เจ้าเงาอยู่ก็ผันผวนรุนแรงขึ้นฉับพลัน ด้านในมีเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนมนุษย์ดังออกมาเป็นระยะ

สวี่ชิงจ้องเขม็ง

บรรพจารย์สำนักวัชระเงียบนิ่ง มองกระจกที่เหลืออยู่เหล่านั้น หอบหายใจถี่ ดวงตาแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามพุ่งออกไป

กลืนไม่ได้ ก็ต้องกลืน

เมื่อเขาคิดว่าหากตนเองยกระดับไม่สำเร็จแล้วเจ้าเงาทำสำเร็จ เช่นนั้นก็คงจะถูกมองข้าม และเมื่อถูกมองข้ามก็จะถูกเจ้าเงารังแก และเมื่อถูกรังแกตนเองก็ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน

เมื่อไร้เรี่ยวแรงต่อต้านก็จะถูกเล่นงานให้ตายได้ง่าย ต่อให้ไม่ถูกเล่นงานจนตายก็จะถูกจอมมารสวี่โยนออกไปเป็นตัวล่อ ไม่เป็นเป้าล่อก็คงจะถูกทำร้ายหรือชิงไปเนื่องจากพลังอ่อนแอ จากนั้นจอมมารสวี่กคงเล่นงานให้ตายในพริบตา

ไม่สำเร็จก็คือตาย ถ้าสำเร็จก็คือรอด

หลังจากในสมองบรรพจารย์สำนักวัชระมีความคิดเหล่านี้ ก็บ้าคลั่งถึงขีดสุด

พริบตาที่เขาคลั่ง เจ้าเงาก็เช่นกัน แผ่คลื่นพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมาจากคลื่นวน เสียงคำรามต่ำก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มีเงาดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมากลางคลื่นวนรางๆ

เงาดำนี้เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยม ดำทมึนไปหมด ราวกับเป็นเสาแท่งสี่เหลี่ยมสีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นในคลื่นวน เสียงคำรามยิ่งแหลมขึ้นทีละชุ่น ไอพลังประหลาดที่ทะลักออกไปทั้งแปดทิศก็เข้มข้นขึ้น เหมือนเจ้าเงากำลังดิ้นรนอย่างสุดกำลัง

หลังจากดำเนินขั้นตอนนี้ถึงสี่ชั่วยาม ด้วยการหลั่งทะลักของไอพลังประหลาดมหาศาล คลื่นวนก็ส่งเสียงครืนครันลั่นฟ้าสะเทือนดินออกมา จากนั้นคลื่นวนก็หายไปฉับพลัน

จากการหายไป เงาขนาดยักษ์เงาหนึ่ง ก็ปรากฏอยู่บนกำแพง ชัดเจนแจ่มแจ้ง!

สวี่ชิงประทับใจ

นั่นเป็นเงายาวแนวตั้งสีดำ มีแถบผ้าสีเทาพันอยู่หลายรอบ

แถบผ้านี้เปรอะเลือดสดสีดำบางแห่ง แผ่ซ่านไอพลังประหลาดอัปมงคลออกมา

และเงาดำก็เหมือนจะสะท้อนอยู่บนกำแพง แต่สวี่ชิงกลับรู้สึกถึงความมีมิติ ดูคล้ายกับโลงศพสีดำ!

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกับเจ้าเงาเช่นนี้ ตอนที่เจ้าเงายกระดับเป็นเงาต้นไม้ก่อนหน้า ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ครั้งนี้แตกต่างออกไป

หากเปรียบเจ้าเงาก่อนหน้านี้เป็นภาพภาพหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าเงาในตอนนี้ ก็เหมือนกับเดินออกมาจากภาพนั้น

สวี่ชิงสัมผัสจุดนี้ได้อย่างชัดเจน

แต่ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังมีคลื่นพลังไม่ธรรมดาแผ่ออกมาจากเงาโลงศพสีดำด้วย เหมือนกับแก่นลมปราณวังสวรรค์

และที่ทำให้ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายยิ่งกว่าก็คือจู่ๆ เงาโลงศพสีดำก็ลืมตาขึ้น

ดวงตานับไม่ถ้วนจนไม่อาจจะนับจำนวนได้ในชั่วขณะหนึ่งล้วนเป็นแนวตั้ง กระจายไปทุกตำแหน่งบนเงาโลงศพนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งมีปรากฏขึ้นในดวงตาอีกด้วย

หลังจากลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งหมดล้วนเผยความเย็นชาขีดสุดออกมา คล้ายคลึงกับดวงตาเทพเจ้าที่สวี่ชิงเคยเห็นหลายส่วน

ราวกับว่าทุกสรรพชีวิตในดวงตาล้วนเป็นตัวตนที่ต่ำต้อยกว่า มีระดับพลังชีวิตที่ต่างกับมันราวฟ้ากับเหว

โดยเฉพาะท่าทางมองจากที่สูงนั่น ทำให้ดวงตาสวี่ชิงแผ่ความเย็นเยียบที่เย็นยิ่งกว่าออกมา

“รนหาที่ตายอีกแล้วหรือ”

สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ

เมื่อพูดออกไป เงาโลงศพก็สั่นเทิ้มฉับพลัน ราวกับว่าความทรงจำที่ฝังรากลึกในอดีตปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้ท่าทางหยิ่งทะนงของมันที่เพิ่งทะลวงขั้นหายไปทันที พริบตาต่อมาดวงตาทั้งหมดบนเงาโลงศพนี้ ก็แผ่ความเอาอกเอาใจออกมาตามสัญชาตญาณ

“นาย…ข้า…เชื่อฟัง…”

“หลังจากยกระดับก็ยังพูดไม่ได้ แล้วเจ้าจะมีประโยชน์อะไร!” สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ ดวงตายิ่งแผ่ความเย็นเยียบ ขณะที่แผ่แสงสีม่วง ลูกกลอนพิษของวังสวรรค์วังที่สาม ก็กำลังเคลื่อนไหวแผ่วเบา

ในพริบตา เจ้าเงาก็ยิ่งสั่นเทิ้มรุนแรงขึ้น ดวงตาทั้งหมดตื่นตกใจ และส่งระลอกคลื่นอึกอักตึงเครียดออกมาอีกครั้ง

“ข้า…แข็งแกร่ง…มีประโยชน์…”

“มีประโยชน์อะไรเล่า” สวี่ชิงถาม

พริบตานั้น เจ้าเงาก็ถอดแถบผ้าบนตัว ลอยมาอยู่ตรงหน้าสวี่ชิง

สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง

“ต้องห้าม…สูบจนแห้ง…”

สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองบรรพจารย์สำนักวัชระตามสัญชาตญาณ แต่เวลานี้บรรพจารย์กำลังกลืนกินวิญญาณศัสตรากระจกทั้งหมด กำลังร่างสั่นเทิ้ม ไม่สามารถมาแปลให้ได้

สวี่ชิงจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“ฟังไม่ออก”

เจ้าเงาร้อนรนทันที ขณะที่ตัวสั่นเทายิ่งขึ้นก็แยกเงาออกมาเริ่มวาดภาพ ในภาพวาดบรรยายเป็นเงาสวี่ชิง และข้างหน้าเขาก็มีต้นไม้ต้นน้อยต้นหนึ่งกำลังโขกศีรษะ

สวี่ชิงมองภาพนั้น นึกไดแล้ว

ก่อนหน้านี้ตนเองให้ชิ้นส่วนของวิเศษต้องห้ามกับเจ้าเงาไว้ เมื่อมองแถบผ้านั้นอีกครั้ง ก็รู้สึกแปลกประหลาด

“หลังจากเจ้าดูดซับไอพลังประหลาด ชิ้นส่วนนั้นก็กลายเป็นเช่นนี้หรือ”

โลงศพที่แปรมาจากเจ้าเงาโคลงไหวทันที เหมือนกำลังส่ายศีรษะ

สวี่ชิงขมวดคิ้วอีกครั้ง เจ้าเงามีปฏิกิริยาขึ้นมา รีบร้อนกะพริบตา สื่ออารมณ์ออกไป

“ลืม…เกลียดวัชระ…คือ…”

สวี่ชิงมองแถบผ้าสีเทาตรงหน้า มองเลือดสดสีดำที่เปื้อนอยู่หลายจุด เขาก็รู้สึกเหมือนกับเป็นผ้าห่อศพที่ฉีกออกมา

ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า กลับมีกลิ่นอายวิญญาณเซียนออกมาเป็นระยะอีกด้วย

ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ หลังจากถือมันไว้ในมือ เขาก็เพ่งดวงตา คลายมือออกแล้วมองที่ฝ่ามือ

เกิดบาดแผลเล็กๆ ขึ้นมามากมาย ราวกับว่าบนแถบผ้ามีหนามแหลม เมื่อถือไว้ในมือจึงถูกทิ่มแทง

ส่วนวิธีใช้ สวี่ชิงยังต้องค้นคว้า จึงเก็บมันลงไปแล้วมองเจ้าเงา

“แค่นี้หรือ”

เห็นว่าสวี่ชิงไม่พอใจ เจ้าเงาก็ตึงเครียด รีบร้อนส่งระลอกคลื่นออกมา

“ผสาน…เปลี่ยน…ขีดสุด…”

เจ้าเงาพูดพลางเปิดฝาโลงศพออกทันใด ขณะที่เสียงเอี๊ยดเสียดหูดังขึ้น ก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นความมืดทมึนไปหมดด้านใน

“นายท่าน…เข้า…” เจ้าเงาเอ่ยประจบ

สวี่ชิงหรี่ตา มองเจ้าเงาอย่างพินิจ

หลังจากครุ่นคิดก็ยิ้มเย็นชาในใจ ต่อให้เจ้าเงายกระดับ แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสะกดมันได้ ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายคิดทรยศ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยมันไว้

จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในโลงศพ ฝาโลงศพปิดลงช้าๆ จากการย่างเข้าไป

พริบตาที่ปิดสนิท ร่างกายเจ้าเงาก็สั่นเทิ้ม ดวงตานับไม่ถ้วนปิดสนิท ในพริบตาร่างของมันก็เหมือนกลายเป็นของเหลว หดเล็กลงมาต่อเนื่องจนเผยร่างของสวี่ชิง

เพียงแต่ร่างกายนี้ที่ถูกเงาคลุมไว้ ยังเป็นสีดำสนิท

สวี่ชิงลืมตาฉับพลัน ดวงตาเผยความตกตะลึงรุนแรงออกมา

เขาก้มมองร่างกายตนเอง เมื่อขยับตัว ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างมาก ซัดหนึ่งหมัดไปที่กำแพงกว้างใหญ่

ทั้งกำแพงกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา พลานุภาพยังเหลืออยู่เป็นระลอกคลื่น กระทั่งเกิดเป็นรูกว้างใหญ่นับพันจั้งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิง

จิตวิญญาณสวี่ชิงหอบม้วน นี่ไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขา เป็นหมัดที่ยั้งเอาไว้ระดับหนึ่ง

แต่ระดับเช่นนี้ เป็นสิ่งที่กายเนื้อก่อนหน้านี้ของเขาไม่อาจทำได้

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ มองเข้าไปในร่างตนเอง

เขาสัมผัสได้ว่าเวลานี้ไม่ว่าจะพลังป้องกัน ความเร็วหรือว่าพละกำลังก็ล้วนไปถึงระดับที่น่าตกตะลึง

ทว่าในร่างกายดำทมิฬไปหมด เขามองไม่เห็นวังสวรรค์ มองไม่เห็นพลังบำเพ็ญ มองไม่เห็นพลังเวทของตนเอง ทั้งหมดทั้งมวลเหมือนว่าสลายหายไปในพริบตา

และการหายไปของพวกมันก็แลกมากับพลังกายเนื้อที่น่าตกตะลึงของเขาเวลานี้

ขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิดก็กระตุ้นความคิด ฉับพลันความมืดมิดนอกร่างกายก็หดลง จนเผยผิวหนังเดิมของเขาออกมา เงาดำทั้งหมดก็ไปรวมกันอยู่ที่หน้าผากเขา

ก่อตัวขึ้นเป็นดวงตาแนวตั้ง กำลังขยับลูกตาด้วยตนเอง

“นี่น่าจะเป็นวิชาลับประเภทหนึ่งหลังจากเจ้าเงายกระดับขึ้น สามารถผสานรวมร่างกับข้าได้”

สวี่ชิงพึมพำ ยกมือประกบปางมือ แต่กลับไม่มีวิชาเวทสำแดงออกมา

‘หลังจากผสานกันแล้ว วิชาเวทของข้าจะหายไป กลายเป็นผู้บำเพ็ญฝึกกายาโดยสิ้นเชิง แต่พิษยังสามารถใช้ได้

‘และความแข็งแกร่งกายเนื้อ ข้ารู้สึกว่าเหนือกว่าพลังต่อสู้สี่วังสวรรค์ น่าจะไปถึงระดับห้าวังสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อระดับห้าวังสวรรค์ก็น่ากลัวอย่างมาก’

คลื่นในใจสวี่ชิงยังคงโหมซัด เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากที่ตนเองออกมาจากเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ความสามารถก็เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

นี่คือการสั่งสมแล้วค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา เป็นสิ่งที่เขาเคยสั่งสมไว้ทั้งหมด เมื่อมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็ระเบิดออกมา

และเมื่อสัมผัสสภาพการณ์อีกครั้ง ดวงตาสีดำที่หน้าผากเขาจากการกระตุ้นความคิดของสวี่ชิงก็กระจายไปทั่วร่าง จากนั้นก็กระจายออกไปภายนอกแล้วกลายเป็นโลงศพสีดำอีกครั้ง

จากนั้นฝาโลงศพก็เปิด สวี่ชิงเดินออกมาจากด้านใน

เมื่อโบกมือเพลิงวิญญาณสีดำหม่นก็ปรากฏขึ้น วังสวรรค์ในร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงยิ่งยืนยันว่าวิชาที่ได้รับหลังจากเจ้าเงายกระดับ เป็นวิชาลับผสานร่างอย่างหนึ่ง

“ไม่เลว!” สวี่ชิงพยักหน้า ดวงตาเผยความชื่นชม

เห็นสวี่ชิงพอใจ เจ้าเงาก็ตื่นเต้น

“นายท่าน…ข้า…เชื่อฟัง…”

เจ้าเงารีบแสดงท่าที นี่เป็นสิ่งที่มันเรียนมาจากบรรพจารย์สำนักวัชระ ขณะที่ดีใจอย่างมากก็วางใจ มองบรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังสั่นเทิ้มอย่างทุกข์ทรมานอย่างท้าทายและหยามหมิ่น

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท