บทที่ 1346 การบรรลุที่ไม่คาดคิด
บทที่ 1346 การบรรลุที่ไม่คาดคิด
มีข้อจำกัดของทวยเทพทั้งหมดสามสิบหกประการในตำหนักบรรลุเทพ
พวกมันทำให้ไม่อาจแทรกแซงขณะที่มีผู้อื่นท้าทายข้อจำกัดได้
ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจากนิกายอำนาจเทวะคือผู้ที่ท้าทายอยู่ในข้อจำกัดสุดท้าย ทว่าสืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ทำได้แค่รอเท่านั้น
ทว่าการรอคอยเช่นนี้จะไม่นานนัก เพราะทุกข้อจำกัดมีระยะเวลาที่จำกัด ดังนั้นผู้ที่ไม่สามารถผ่านข้อจำกัดได้ตามเวลาที่กำหนด ก็จะติดอยู่ภายในนั้นตลอดไป
ตัวอย่างเช่น ข้อจำกัดที่สามสิบหกที่อยู่ตรงหน้านี้ ข้อจำกัดแผ่นศิลามีการจำกัดเวลาอยู่ที่สามชั่วยาม!
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าสารเลวนี่จะผ่านข้อจำกัดไปเร็วนัก” สืออวี๋หัวเราะอย่างเย็นชา แววตาทอประกายเย็นเฉียบและจิตสังหารก็พวยพุ่งออกมาจากหัวใจอย่างควบคุมไม่ได้
“เทวาคารบรรลุเทพอยู่ถัดจากข้อจำกัดแผ่นศิลา หากพวกมันไปถึงที่นั่นก่อนเรา สถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก” การวิเคราะห์ของเซียงหลิวหลีครอบคลุมมากขึ้น และคิ้วเรียวสวยขมวดแน่นขณะที่กล่าว
เทวาคารบรรลุเทพนั่นสูงตระหง่านขึ้นไปบนนภาและยืนหยัดผ่านทุกยุคสมัย ในขณะที่วิธีการบรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพนั้นถูกซ่อนอยู่บนแท่นบวงสรวง ปัจจุบันพวกเขาช้ากว่ากลุ่มของซุ่ยเหรินถิงหนึ่งก้าว และสถานการณ์ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นด้วย
“อย่ากังวลไป การไต่เทวาคารบรรลุเทพไม่ง่ายนัก ว่ากันว่าตำหนักบรรลุเทพเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของราชันเซียน ดังนั้นเทวาคารบรรลุเทพก็คือการทดสอบกฎแห่งราชันเซียน เมื่อถึงเวลา เรายังคงมีโอกาสอีกมากที่จะพลิกสถานการณ์” เตียนเตี้ยนเอ่ยยิ้ม ๆ
“ยิ่งเราได้รับความช่วยเหลือจากพี่เฉินซี ดังนั้นข้อจำกัดทวยเทพลำดับที่สามสิบหกก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น อีกไม่นานเราคงตามนิกายอำนาจเทวะทัน”
“หืม? เจ้าหนูนี่กำลังจะทะลวงขอบเขตหรือ?” ทันใดนั้น มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็อุทานด้วยความตกใจ
ทั้งหมดหันควับมองไปทางเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเขาเห็นว่าพลังชีวิตในร่างกายของเฉินซีพวยพุ่งและกระเพื่อมเป็นจังหวะ ทั้งยังเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างรุนแรง มันคือสัญญาณการบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์!
นี่เขากำลังบรรลุในยามนี้จริง ๆ หรือ?
คนทั้งหมดต่างตกตะลึง และรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เฉินซีน่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนปราชญ์คนแรกที่ย่างกรายเข้าสู่ตำหนักบรรลุเทพ
เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ที่หว่างคิ้วเผยท่าทางนิ่งสงบ แก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณในร่างกายปะทุประหนึ่งภูเขาไฟ และเริ่มพวยพุ่งออกมา ลุกโชน เดือดพล่าน ส่งเสียงดังก้อง เกิดเป็นภาพที่ค่อนข้างงดงาม
จากผู้ที่เคยประสบกับสิ่งนี้มาก่อน สืออวี๋และคนอื่น ๆ ต่างตระหนักดีว่า เฉินซีกำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นเทพ มิอาจรบกวนได้
“อย่างนี้ต้องแย่แน่ โดยปกติแล้ว การบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายชั่วยามหรือสามถึงห้าวัน เราอาจไม่สามารถตามนิกายอำนาจเทวะได้ทัน” เซียงหลิวหลีขมวดคิ้วขณะกล่าว
นี่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน เนื่องจากซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวกำลังท้าทายข้อจำกัดของทวยเทพลำดับสุดท้าย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้เวลาให้ดีที่สุด และเข้าสู่ข้อจำกัดสุดท้ายทันทีที่สองคนนั้นผ่านพ้นมันไป
แต่ตอนนี้เฉินซีกำลังจะทะลวงขอบเขต!
เหตุการณ์นี้ย่อมส่งผลต่อท้าทายข้อจำกัดอย่างแน่นอน และถึงขั้นอาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะเข้าไปในเทวาคารบรรลุเทพ และได้รับความลับในการเป็นเทพ!
สืออวี๋และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ขมวดคิ้วแน่น สถานการณ์ตอนนี้ยากจะจัดการแล้ว
“แต่หากเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเฉินซี เราคงไม่สามารถมาถึงที่นี่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้”
เตียนเตี้ยนกลับมีสีหน้าสงบและกล่าวช้า ๆ “ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวล หากไร้ทางเลือกจริง ๆ เมื่อพวกซุ่ยเหรินถิงผ่านข้อจำกัดสุดท้าย พวกเจ้าก็มุ่งหน้าท้าทายข้อจำกัดนี้ได้เลย ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่คอยปกป้องเฉินซีไม่ให้เขาถูกรบกวนเอง”
“นี่…” แม้สืออวี๋ และคนอื่น ๆ จะรู้ดีว่า คำแนะนำของเตียนเตี้ยนนั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกแย่ในใจเล็กน้อยที่พวกเขากำลังจะจากไป และทิ้งเฉินซีไว้เบื้องหลัง
“ฟ้าลิขิตแล้ว ถึงอย่างไรเฉินซีก็ไม่อาจบรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพได้ แต่สำหรับพวกเราราชันเซียน เมื่อเราพลาดโอกาสนี้ เราอาจไม่มีโอกาสครั้งต่อไป” เตียนเตี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ถ้าพวกเจ้าได้วิธีการเป็นเทพแล้ว ก็อย่าลืมส่งคัดลอกมาให้ข้าด้วย”
“แน่นอน” สืออวี๋และคนอื่น ๆ ตระหนักเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจได้ทันที
แม้ว่าจะตัดสินใจเช่นนั้น แต่ก็ยังเกิดความกังวลเล็กน้อยในใจ เพราะเหตุผลที่พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะเฉินซี
ตอนนี้พวกเขาได้แต่สงสัยว่า จะต้องใช้เวลานานเพียงใดในการผ่านข้อจำกัดสุดท้าย โดยไม่มีความช่วยเหลือจากเฉินซี
เพราะยิ่งพวกเขาใช้เวลานานเท่าไหร่ สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงเท่านั้น ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวอีกด้วย…
แต่ช่วยไม่ได้
พวกเขาทำได้เพียงวิธีนี้เท่านั้น
…
เฉินซีไม่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้
ถึงขนาดที่สูญเสียการรับรู้ต่อสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ออกมาจากข้อจำกัดที่แปด ข้อจำกัดการทำลายล้าง
เพราะในเวลานั้น การตื่นขึ้นอย่างไม่คาดคิดของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ความผันผวนแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นจากมันได้ห่อหุ้มทั้งจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาดโดยสมบูรณ์
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ยันต์ต่าง ๆ ก็ปรากฏในใจไม่หยุดหย่อน พวกมันบิดตัวไปมาเหมือนหนอนและลูกอ๊อด ทั้งยังลึกลับและคลุมเครือ ในขณะที่พวกมันหมุนวนในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เฉินซีไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้นำทุกคนผ่านข้อจำกัดของทวยเทพมากมาย รับรู้เพียงว่า ยันต์อักขระลึกลับกำลังพุ่งเข้าสู่ร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่จิตสำนึกกลับมืดมนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในบรรดายันต์อักขระเหล่านั้นที่พุ่งเข้าสู่มา บางส่วนเปลี่ยนเป็นพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าเพื่อให้เขาดูดซับ ส่วนที่เหลือก็ถูกดูดซับโดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
มิฉะนั้น ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบัน ย่อมไม่สามารถกักเก็บพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวและทรงพลังจำนวนมหาศาลได้อย่างแน่นอน
ถึงกระนั้น พลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋าส่วนเล็ก ๆ ก็เหมือนกับโอสถทิพย์ทรงพลังที่ควบแน่นปราณเซียนพิสุทธิ์ภายในโลกในร่างกายอย่างสมบูรณ์
เดิมทีมันเป็นสีทองสดใส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นโปร่งใสเหมือนสีของทะเลสาบ…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกถึงการมาถึงของปัจจัยสำคัญสำหรับการบรรลุ และเข้าสู่สภาวะบรรลุทันที!
มันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องดังกังวาน ภูเขาไฟระเบิดในร่าง หลังจากที่ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวมีพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าอยู่นับไม่ถ้วน มันก็เริ่มเดือดพล่านและลุกโชนถึงขีดจำกัดแล้ว
เมื่อมองจากระยะไกล ร่างกายเหมือนเปล่งแสงสีทองและพลุ่งพล่านด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายที่คลุมเครือและลึกลับของเต๋าก็ล่องลอยออกมาจากทุกอณูขุมขนบนร่าง
สภาวะดังกล่าวปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ และเกือบเสร็จสมบูรณ์ในทันที
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังก้องกังวาน ร่างกายของเฉินซีดูเหมือนตรัสรู้อย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะแก่นแท้ พลังงาน พลังวิญญาณ จิตวิญญาณ และดวงจิตแห่งเต๋าที่อยู่ในร่างล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์โดยพร้อมกัน
กลิ่นอายน่าเกรงขามทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การบ่มเพาะดีขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ปราณเซียนพิสุทธิ์ควบแน่นไม่มีสิ้นสุด
จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
…
เส้นทางสู่การเป็นเทพมาจากแก่นแท้ของเต๋า
เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋า จะถูกตัดสินว่าเป็นเซียนปราชญ์โดยกำเนิดหรืออวเซียนปราชญ์
ไม่ว่าจะเป็นพลังที่ครอบครองหรือนิกายที่จะก่อตั้งขึ้นในอนาคต อวเซียนปราชญ์ก็เทียบไม่ได้กับเซียนปราชญ์โดยกำเนิดแม้แต่เศษเสี้ยว
นี่เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นและขอบเขตราชันเซียน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นยังคงมีโอกาสบรรลุขอบเขตราชันเซียน ในขณะที่เส้นทางสู่การบรรลุเต๋าของอวเซียนปราชญ์จะต้องหยุดอยู่กับที่ ไม่อาจก้าวสู่ขอบเขตราชันเซียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการขาดแคลนพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋า เซียนปราชญ์ในภพเซียนแทบทั้งหมดจึงเป็นอวเซียนปราชญ์
ทว่าเฉินซีนั้นแตกต่างออกไป ในช่วงต้นที่บรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง เขาได้รับพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋าจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และมันเพียงพอที่จะกลายเป็นเซียนปราชญ์โดยกำเนิด
ตอนนี้หลังจากที่เข้าสู่ตำหนักบรรลุเทพ ภายใต้การตื่นขึ้นอย่างไม่คาดคิดของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขาไม่เพียงแต่รวมกฎทั้งหมดที่มีไว้ในตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มดูดซับพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋าจากยันต์ที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สถานการณ์เช่นนี้ ก็เหมือนกับการบีบบังคับให้บรรลุ แม้จะไม่ต้องการก็ตาม
มันช่วยไม่ได้ เพราะสำหรับผู้อื่นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะได้รับพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋า แต่สำหรับเฉินซี ร่างกายนี้ประหนึ่งแช่อยู่ในพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋า ดังนั้นจึงมีความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่ง
สิ่งสำคัญที่สุด คือพลังงานที่แผ่ออกมาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั้นพิศวงเกินไป มันไม่เพียงแค่ดูดซับพลังงานของยันต์อักขระภายในข้อจำกัดของทวยเทพเท่านั้น มันยังส่งผลต่อเฉินซีอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อเขากำลังบรรลุ มันจึงง่ายมากเหมือนทะลวงผ่านหน้าต่างที่ทำจากกระดาษ สามารถบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ
หากผู้บ่มเพาะไล่ตามขอบเขตเซียนปราชญ์อย่างขมขื่นได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงจะกระอักเลือดด้วยความอิจฉา และร่ำไห้อย่างแน่นอน นี่ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?
เมื่อคนหนึ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ ปราณเซียนพิสุทธิ์จะเปลี่ยนเป็นสีใสที่บริสุทธิ์และโปร่งแสง เหมือนท้องฟ้าที่สดใส และกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มันถูกเรียกว่าปราณเซียนปราชญ์พิสุทธิ์
ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะ เซียนปราชญ์โดยกำเนิดจะครอบครองพลังในระดับดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่า ความแข็งแกร่งที่พวกเขาเปิดเผยนั้นน่ากลัวเพียงใด
ฟิ่ว!
ในขณะที่เฉินซีกำลังบรรลุ ความผันผวนก็เกิดขึ้นภายในข้อจำกัดสุดท้าย จากนั้นร่างของซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวก็เดินออกมาจากภายในนั้น
ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างยิ่ง สีหน้าซีดเซียวแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นและความยินดีที่ประทับอยู่บนหว่างคิ้วได้เลย เพราะพวกเขาผ่านตำหนักบรรลุเทพแล้ว!
ทั้งสองเงยหน้าขึ้น จากนั้นแท่นบูชาโบราณที่สูงตระหง่านก็ปรากฏสู่สายตาและจิตใจของพวกเขาทันที
เทวาคารบรรลุเทพ!
ดวงตาของซุ่ยเหรินถิงเปล่งประกายสดใส พลางจดจ้องออกไปราวกับสายฟ้าฟาด และหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “กลายเป็นเทพ! กลายเป็นเทพ! ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน!”