ตอนที่ 204 หนุ่มน้อยผู้นั้น
นายหญิงในหุบเขา…คือซินซิน!
แล้วบุตรชายของนาง…
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินดังนี้ พระทัยก็เต้นแรงดังกลองรัวตี
ตั้งแต่ตอนกลียุคมาถึงตอนนี้ เขาผ่านมาหลายเรื่องทำให้จิตใจแข็งกร้าวและเย็นชา แต่พอคิดถึงว่าซินซินเกิดเรื่อง คิดถึงว่าเขากับซินซินอาจมีบุตรชายคนหนึ่ง เขาก็ไม่อาจดำรงท่าทีสงบนิ่งของความเป็นฮ่องเต้ได้อีกต่อไป
“แน่ใจได้อย่างไรว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นรอดชีวิต” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามด้วยพระทัยรอคอยความหวัง
ยามนี้เขาได้รับรู้แล้วว่าอันใดเรียกว่าเหมือนจะได้มาแต่ก็พะวงว่าจะสูญเสียไป
“ในหุบเขาไม่มีศพที่เข้ากัน…”
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ปวดร้าว จ้องมองเฮ่อชิงเซียวเขม็ง “เจ้าจะบอกว่า มีคนในพื้นที่เคยพบหนุ่มน้อยผู้นั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อชิงเซียวน้ำเสียงสงบนิ่ง “กระหม่อมนำตัวชาวภูเขาที่เคยพบหนุ่มน้อยผู้นั้นมาเมืองหลวงด้วย…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สุรเสียงตื่นเต้น “นำตัวพวกเขามาพบเรา!”
พอตรัสจบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เปลี่ยนพระทัย “เราไปพบพวกเขาดีกว่า อย่าให้พวกเขารู้สถานะเรา”
หลังผ่านการเตรียมการ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ได้พบชาวบ้านทั้งสี่คน
ทั้งสี่คนนี้มาจากต่างสถานที่กัน ไม่รู้จักกัน สามชายหนึ่งหญิง มีทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาว
“คารวะนายท่าน”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงได้ยินก็ขมวดพระขนงเล็กน้อย
เป็นสำเนียงแถบหว่านหยาง เขาฟังสำเนียงนี้ลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอฟังเข้าใจได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดคิดถึงฮองเฮาซินไม่ได้
ตอนราชวงศ์ต้าซย่าก่อตั้งขึ้น ฮองเฮาซินเคยเสนอให้เด็กในแต่ละพื้นที่เรียนภาษาทางการ แต่ต่อมาก็มิได้ดำเนินการ
ภาษาทางการมีอยู่มาตลอด เพียงแต่เด็กจากตระกูลร่ำรวยจึงจะได้เชิญอาจารย์มาสอนตอนเริ่มเรียนหนังสือ แต่เด็กยากจนต้องสอบซิ่วไฉได้ก่อน มีใจรักความก้าวหน้าจึงจะเริ่มเรียนภาษาทางการ บรรดาขุนนางที่ปรากฏตัวต่อหน้าฮ่องเต้ตอนนี้ ก็จะไม่มีอุปสรรคเรื่องสำเนียงยามกราบทูลฮ่องเต้
แต่หากจะผลักดันการเรียนภาษาทางการตั้งแต่เริ่มเรียน จะต้องใช้กำลังคนและเงินทองมากมายมากเกินไป
แต่ต้องกล่าวว่า ข้อเสนอมากมายของซินซินในตอนนั้น หากดำเนินการได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหม่อลอย มองไปทางทั้งสี่คนที่คำนับเขาด้วยท่าทางหวาดระแวง
“ไม่ต้องมากพิธี ได้ยินหลานชายข้าบอกว่า พวกเจ้าเคยพบหลายชายข้าที่หายสาบสูญไปหลายปี พอจะบอกเล่ารายละเอียดได้ไหม” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็ใช้สำเนียงถิ่น
คนแรกที่เอ่ยเล่าก่อนก็คือผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้
“ข้าน้อยเคยพบคุณชายผู้นั้นสามครั้ง ครั้งหนึ่งข้าน้อยทำปิ่นปักผมหาย กำลังร้อนใจดังหนูติดจั่น คุณชายผู้นั้นพบเข้าและช่วยข้าน้อยตามหาจนพบ…”
หญิงผู้นี้ประนมมือขึ้นกล่าวว่า “ผู้มีพระคุณโดยแท้ ปิ่นนั้นซื้อมาให้ท่านยายแก่ชราในบ้านเรา หากหาไม่พบ ข้าน้อยก็คงประสบความยุ่งยากใหญ่แล้ว…”
เห็นหญิงผู้นี้พูดออกนอกเรื่อง ดูท่าเหมือนจะพูดออกนอกเรื่องไปได้อีกครึ่งชั่วยาม เฮ่อชิงเซียวก็ส่งเสียงไอขึ้นทีหนึ่ง
หญิงผู้นี้สะดุ้งทีหนึ่งแล้วก็เอ่ยเล่าเรื่องสำคัญ “ครั้งที่สองที่พบก็คือระหว่างทางโดยบังเอิญ ข้าทักทายคุณชายท่านนั้น ครั้งสุดท้ายก็เดือนสามปีที่แล้ว ข้าเห็นคุณชายท่านนั้นขี่ม้าผ่านไป สง่างามมาก…”
คนที่เอ่ยเล่าคนที่สองก็คือชายชราผู้หนึ่ง “คุณชายน้อยท่านนั้นเคยช่วยข้าน้อยไว้…”
ทั้งสี่ล้วนได้รับความช่วยเหลือ การช่วยเหลือมีทั้งมากและน้อย แต่พวกเขาล้วนจดจำไว้ในใจ และจดจำภาพหนุ่มน้อยผู้นั้นเอาไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งรับฟัง รู้สึกเพียงแค่ฟังเท่าไรก็ไม่เพียงพอ ในห้วงความคิดเริ่มมีเค้าร่างของหนุ่มน้อยขึ้นมา
เป็นหนุ่มน้อยที่กระตือรือ มีชีวิตอิสระและมีความสุข
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อยู่อีกฟากของกำแพง มองฉางเหลียงผ่านทางช่องหนึ่ง
ฉางเหลียงถูกมัดมือมัดเท้า พอเห็นเหยียนเชาถือแส้เดินเข้ามา ก็มีสีหน้าตกใจหวาดกลัว “ไหนบอกว่าสารภาพแล้วจะไม่ลงทัณฑ์อีกไม่ใช่หรือ พวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะนะ ข้าไม่รู้เลยว่าไปฆ่าผู้ใด ท่านอาข้าพาข้าไป! พวกเจ้าไปหาท่านอาข้าสิ ไปหาท่านป๋อสิ…”
หลังจากลงทัณฑ์หนัก หนุ่มน้อยที่ไม่เคยได้รับความทุกข์ทรมานแต่เล็กก็แทบคุมสติไม่อยู่ เล่าออกมาหมดเปลือก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
กลับถึงวัง เรื่องแรกที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทำก็คือแอบส่งอาจารย์วาดรูปที่ถนัดวาดรูปคนในวังออกไปวาดรูปตามคำบอกเล่าของชาวภูเขาทั้งสี่คน
ก่อนประตูวังปิด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ได้เห็นภาพวาดหนุ่มน้อย
หนุ่มน้อยใบหน้ากระจ่างใสมาก ร่างผอมบาง ที่ขมับมีรอยแผลเป็นบางๆ ยาวเส้นหนึ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองแล้วก็มองอีก คิดจะค้นหาภาพเงาตนเองจากภาพหนุ่มน้อยตรงหน้า
คล้ายว่าไม่เหมือนเขาแม้สักนิด แต่ดวงตายังพอเหมือนอยู่บ้าง
คืนนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มาก เขาใคร่ครวญหลายรอบ คิดถึงการตายของฮองเฮา คิดถึงสถานะและที่อยู่ของหนุ่มน้อยผู้นั้น คิดว่าควรจัดการจวนกู้ชางป๋ออย่างไร…
วันต่อมาฮ่องเต้ที่ทรงบากบั่นขันแข็งมาหลายปีก็งดประชุมยามเช้า
บรรดาขุนนางพากันคาดเดา ดีที่พอวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ปรากฏตัว ดูแล้วก็ปกติดี ความคาดเดาต่างๆ ก็พลันมลายหายไป
วันนี้กู้ชางป๋อพลันได้รับราชโองการให้เข้าวัง
ก่อนไป กู้ชางป๋อบิดหูไต้เจ๋อมาถามขึ้นว่า “เจ้าไปก่อเรื่องอันใดให้ข้าอีกแล้วใช่ไหม”
เขาโดนเรียกตัวเข้าวังหลายครั้งล้วนเพราะเจ้าบัดซบนี่
“เปล่านะ!” ไต้เจ๋อร้องเสียงดังเหมือนโดนปรักปรำ
“ไม่มีก็ไม่มี ร้องโวยวายทำไมกัน!” ฟาดบุตรชายไปทีหนึ่ง กู้ชางป๋อไม่กล้ารอช้า รีบเข้าวังทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
กู้ชางป๋อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่อุทยานปัศจิม
ถึงเดือนสามแล้ว กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิในอุทยานปัศจิมเริ่มเบิ่งบานเต็มต้น
เบื้องพระหน้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตั้งโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีสุราอาหารชั้นเลิศ เสียงต้นไผ่กระทบกันลอยแว่วผ่านภูเขาจำลองและพุ่มไม้มาเบาๆ รอบศาลาที่มีม่านแพรทิ้งตัวสี่ทิศ
“ซื่อสือ มานั่งนี่”
กู้ชางป๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง
ซื่อสือคือชื่อของเขา
ก่อนหน้าเขามีพี่ชายสามคน มาถึงเขาก็ชื่อซื่อสือ ซื่อแปลว่าสี่ สือแปลว่าก้อนหินตอนนั้นคนโดยรอบล้วนมีตั้งชื่อกันแบบชาวบ้าน ต่อมาเขาได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูง มีอำนาจวาสนา จึงอดหาชื่อที่ฟังดูมีความรู้ไม่ได้ ส่วนชื่อซื่อสือนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเรียกแล้ว
ผู้คนเรียกเขาว่าท่านป๋อ ฮ่องเต้เรียกเขาว่ากู้ชางป๋อ
วันนี้ได้ยินฮ่องเต้เรียกชื่อเขา ในใจกู้ชางป๋อก็รู้สึกตื่นตกใจ
ตอนนั้นที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาดื่มสุราด้วยกัน ออกรบด้วยกัน และตอนที่ความคิดเห็นไม่ตรงกันจนมีปากเสียง ฮ่องเต้ก็จะตะโกนเรียกชื่อเขาเช่นนี้
ซื่อสือ น้องซื่อสือ
กู้ชางป๋อนั่งลงตรงหน้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
“เราจำได้ว่า อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของเจ้าแล้วสินะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เวลาผ่านไปเร็วจริง…”
การนั่งดื่มสุราระหว่างเจ้านายกับขุนนางเช่นนี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว
กู้ชางป๋อเริ่มแรกยังคงระมัดระวังกิริยา โดยเฉพาะหลายครั้งก่อนถูกเรียกเข้าเฝ้าล้วนเพราะตำหนิบุตรชาย
แต่สุราฤทธิ์แรง คนเก่าคุ้นเคย ดื่มไปสองสามแก้วก็เริ่มค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เจ้านายกับขุนนางคุยเรื่องในอดีต มีทั้งความทุกข์ยากอันตรายและก็ความยินดีปรีดาหลังกำชัยชนะ
กู้ชางป๋อเริ่มเมากรึ่ม ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มผ่อนคลาย พลันได้ยินเสียงหนึ่ง
พอเขาตั้งสติได้ก็เห็นจอกสุราในพระหัตถ์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ร่วงลงพื้น แตกกระจายลงบนพื้นปูลาดด้วยศิลาหยกขาว
“ฝ่าบาท…” เพิ่งได้เอ่ยปาก ด้านนอกศาลาก็มีเสียงเคร้งคร้างดังขึ้น กู้ชางป๋อสีหน้าแปรเปลี่ยน
นั่นเป็นเสียงอาวุธออกจากฝักที่เขาคุ้นเคย
คนนอกศาลาพากันกรูเข้ามา แสงไฟในศาลาพลันถูกบดบัง
กู้ชางป๋อรู้สึกว่าเขาจะต้องดื่มมากไปแล้วเป็นแน่ จึงได้เกิดภาพลวงตา
“ฝ่าบาท…”
เขาเพิ่งได้เอ่ยปาก คนตรงข้ามก็พลันกระชากคอเสื้อเขา พร้อมกับมีดสั้นจ่อที่ลำคอเขา