สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 205 เอาชีวิตกู้ชางป๋อ

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 205 เอาชีวิตกู้ชางป๋อ

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นคนขยัน ความขยันของเขาไม่เพียงแต่แสดงออกในงานราชกิจ แต่ยังเจียดเวลาฝึกยุทธ์ทุกวัน หลายปีมานี้แทบไม่เคยหยุดหย่อน

ขณะยังคงสับสนอยู่นั้น กู้ชางป๋อยังคิดว่าได้ย้อนกลับถึงตอนที่ยังยกทัพจับศึก คนตรงหน้าไม่ใช่ราชันที่อยู่สูงจนไม่อาจเอื้อมถึง แต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ส่งเสียงสรวลเสเฮฮากับพี่น้อง

“ต้าหวาง…”

คำเรียกขานที่คุ้นเคยและแปลกหูในคราเดียวกัน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งอึ้ง ชักมีดสั้นที่จ่อลำคอกู้ชางป๋อคืนกลับมา นั่งลงตามเดิม

พอมีดสั้นที่ปลิดชีวิตห่างออกไป กู้ชางป๋อก็เริ่มมีสติกระจ่างขึ้นมา

เขาโผลงคุกเข่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไม่ทราบว่ากระหม่อมทำความผิดอันใดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่ประทับนิ่งหลังโต๊ะมองลงมายังเขาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า คนที่เขาเห็นเป็นดังพี่น้อง ในใจมีความรู้สึกเศร้าและเยียบเย็นผสมผสาน

เหตุใดจึงมีวันนี้ได้

เหตุใดจึงละโมบได้เช่นนี้

“ความผิดอันใด…” ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด เสียงต้นไผ่ดังกระทบโสตประสาทยังคงดังต่อเนื่อง ในที่สุดฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสว่า “ล่วงเกินเบื้องสูง ไม่ให้ความเคารพเบื้องสูง”

ล่วงเกินเบื้องสูง…

กู้ชางป๋อสีหน้าซีดเผือด มองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อย่างไม่อยากเชื่อ

ล่วงเกินเบื้องสูงเป็นโทษหนักหนึ่งในสิบ คำพูดหรือการกระทำที่ล่วงเกินพระเกียรติหรือความปลอดภัยของฮ่องเต้ล้วนมีโทษนี้

“ตอนเพิ่งดื่มสุราไป เจ้าเรียกชื่อของเรา”

กู้ชางป๋อสีหน้าตกใจ “กระหม่อมเปล่า!”

“เจ้าเรียก”

“กระหม่อมเปล่า!”

“เจ้าเรียก” พระเนตรตวัดขึ้นของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระจ่างใสและเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ ไม่ได้มีความขุ่นมัวเหมือนคนในวัยนี้

พระเนตรนิ่งสงบของฮ่องเต้ทำให้กู้ชางป๋อรู้ได้ว่า ดิ้นรนไปก็เหนื่อยเปล่า

ร่างกายเขาโงนเงน คล้ายว่าเพียงพริบตาเรี่ยวแรงก็ถูกสูบออกไปหมดสิ้น “กระหม่อมสมควรตาย…”

นอกศาลาที่มีม่านแพรทิ้งตัว เห็นแสงกระบี่วูบไหว ในศาลายังคงมีกลิ่นสุราอบอวล

สองนายบ่าวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กู้ชางป๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นศิลาหยกขาวที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่กะพริบตา

การจ้องมองเช่นนี้ก็คือความไม่เคารพ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องใส่ใจอีกแล้ว

“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมได้ตายอย่างกระจ่างได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก้มลงมองเล็กน้อย ทำให้ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันเข้ามาอีกเล็กน้อย “มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”

“ยอมรับ…ยอมรับอันใด”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสทีละคำออกมาสองคำ “หว่านหยาง”

กู้ชางป๋อแววตาหดเกร็ง สีหน้าตกใจ

หว่านหยาง!

ฮ่องเต้ทรงรู้ได้อย่างไร!

แต่พอสบพระเนตรเย็นเยียบของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คู่นั้นแล้ว ในใจกู้ชางป๋อก็เย็นวาบ

หากฮ่องเต้ไม่ทรงรู้ จะทรงมอบความผิดล่วงเกินเบื้องสูงให้เขา ต้องการเอาชีวิตเขาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

“ฝ่าบาท…” กู้ชางป๋ออ้าปาก วาจาแก้ตัวกลับติดอยู่ในลำคอ

เป็นพี่น้องกันมาหลายปี ยังเป็นฮ่องเต้กับขุนนางกันมาอีกหลายปี เขารู้กระจ่างใจดีกว่า การแก้ตัวจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโหมากขึ้น

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองดูปฏิกิริยาของกู้ชางป๋อ ความหวังในพระทัยก็หมดสิ้น

ความหวังที่มีต่อกู้ชางป๋อ เขาไม่หวังว่าความจริงอันโหดร้ายจะปรากฏตรงหน้าเขาเช่นนี้ ความจริงเขาเองก็ยังนึกสงสัยการตรวจสอบเรื่องนี้ของเฮ่อชิงเซียวอยู่บ้างเช่นกัน

งานเลี้ยงหงเหมิน[1]ในวันนี้ เขาคิดจะลองใจกู้ชางป๋อ เขาจะใช้บารมีฮ่องเต้หลอกล่ออีกฝ่าย ดูว่าจะได้คำตอบอย่างไร

เพียงแต่น่าเสียดาย ความหวังก็คือความหวัง

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองกู้ชางป๋อที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดดังผงขี้เถ้าสีขาว แววพระเนตรถึงกับมีความสงสารขึ้นมาแวบหนึ่ง

คนผู้นี้ติดตามเขาออกศึกเหนือใต้ ได้รับบาดเจ็บสละเลือดเนื้อ ชีวิตสุขสบายหลายปีมานี้ไม่ได้ทำให้เขาฉลาดขึ้นสักนิด

“เจ้ารู้ที่อยู่ของฮองเฮาได้อย่างไร”

“มี…มีคนบังเอิญได้พบฮองเฮา จำฮองเฮาได้ จึงมาบอกกระหม่อม…”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้โทสะลุกโชน “เหตุใดจึงได้นึกถึงเจ้า”

กู้ชางป๋อก้มหน้าลง “กระหม่อมผิดไปแล้ว! กระหม่อมกลัวฮองเฮากลับมาอีกครั้ง จึงได้เลอะเลือน…”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบโต๊ะ “ดังนั้นเจ้าทำเพื่อพระสนมซูเฟยกับองค์ชายรอง?”

กู้ชางป๋อตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ “ฝ่าบาท ฝ่าบาทอย่าได้เข้าพระทัยผิด พระสนมซูเฟยกับชิ่งอ๋องไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย กระหม่อมถูกผีร้ายครอบงำจิตใจ จึงได้กระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้…”

“เจ้าเป็นพี่ชายที่ดีจริง” สุรเสียงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสียดสีชัดเจน

“พระสนมซูเฟย ไม่รู้อันใดด้วยจริงๆ…”

“รู้หรือไม่เราตัดสินใจเองได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตัดบทกู้ชางป๋อเย็นเยียบ แววตาจ้องมองเขาไม่กะพริบ “เราถามเจ้า คนของเจ้ายังตระเวนอยู่ที่หว่านหยางเพราะเหตุใด”

ไม่รอให้กู้ชางป๋อมีปฏิกิริยาตอบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถามขึ้นอีกว่า “พวกเขากำลังค้นหาอันใดอยู่”

ความกดดันยามนี้ทำให้กู้ชางป๋อรู้สึกสิ้นหวัง

ฮ่องเต้ทรงรู้ความจริงหมดแล้ว!

ฮ่องเต้ทรงเริ่มสงสัยเมื่อใดกัน

กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน…

คิดถึงเฮ่อชิงเซียวเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินหายหน้าหายตาไปหลายวัน กู้ชางป๋อก็อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

ที่แท้ตอนที่เขากำลังดีใจกับการที่ชิ่งอ๋องออกจากเมืองหลวงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ก็มีอีกคนออกจากเมืองหลวงเพื่อไปเอาชีวิตเขา

กู้ชางป๋อมองฮ่องเต้อีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ยิ่งไร้ความหวัง

เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ได้รุนแรง มีแต่ความเฉยชายอมรับความจริง “เดิมพวกเขาทำงานเสร็จก็ควรกลับเมืองหลวงได้แล้ว แต่กลับพบผู้รอดชีวิต จึงอยู่ต่อ…”

“ผู้รอดชีวิตคือผู้ใด” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้รู้คำตอบจากเฮ่อชิงเซียวแล้ว แต่ยังคิดจะฟังจากปากกู้ชางป๋อ

“เป็นเด็กหญิงผู้หนึ่ง…”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงกริ้วหนักทันที “กู้ชางป๋อ มาถึงตอนนี้ เจ้ายังหลอกเราอีกหรือ! เด็กหญิงรอดชีวิตอันใด เห็นชัดว่าเป็นหนุ่มน้อย เป็นโอรสของเรากับฮองเฮา!”

ครั้งนี้กู้ชางป๋อถึงตายก็ไม่กลับคำ

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันหัวเราะดังด้วยความกริ้ว “เราเข้าใจแล้ว เจ้ากลัวว่าโอรสฮองเฮาปรากฏตัวขึ้นจะเป็นภัยคุกคามต่อหลานชายของเจ้า”

ที่ควรถามก็ได้ถามแล้ว โมโหไปแล้ว ผิดหวังไปแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหลือเพียงความเหนื่อยล้า “เอาละ เจ้ารับหรือไม่ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว”

คนของจวนกู้ชางป๋อตอนนี้ยังคงอยู่ที่หว่านหยาง เห็นชัดว่าพวกเขายังหาเด็กคนนั้นไม่พบ

เด็กคนนั้นออกจากหว่านหยางแล้วใช่หรือไม่ แล้วเขาจะไปที่ใด

ฮองเฮาซินมีความคิดแปลกใหม่มากมาย ช่วยเป็นแรงกำลังสำคัญในการวางรากฐานแผ่นดินของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในกลียุควุ่นวายได้ มีแม่ทัพมากความสามารถยอมติดตามเขา เขาเองก็ย่อมชาญฉลาดและมีความสามารถ

หากเขาเป็นเด็กคนนั้น…ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลองคิดแทน ก็คิดได้เรื่องหนึ่ง

เมืองหลวง! หากเขาเป็นเด็กคนนั้น เขาจะมาเมืองหลวง!

พระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เต้นแรง พยายามระงับตนเองให้สงบนิ่งลงแล้วก็มองกู้ชางป๋อด้วยสายตาสับสน “เจ้าล่วงเกินเบื้องสูง เราไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีก เจ้าไปอย่างสบายใจเถิด หากคนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เราก็จะไม่ลงโทษพวกเขา”

“ขอบ…ขอบพระทัยฝ่าบาท…” กู้ชางป๋อตอบน้ำเสียงสั่น มาถึงตอนนี้ยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าฮ่องเต้จะเอาชีวิตเขา

“ทหาร…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสดังขึ้น “กู้ชางป๋อดื่มสุราแล้วล่วงเกินเบื้องสูง ไม่เคารพเรา นำตัวไปประตูอู่เหมินโบยแปดสิบไม้!”

ม่านแพร่เปิดขึ้น องครักษ์เข้ามานำตัวเขาออกไป กู้ชางป๋อจึงได้รับรู้ว่าเป็นเรื่องจริง ส่งเสียงร้องโวยวายราวจะขาดใจ “ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย…”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับนั่งในศาลาหลับพระเนตรลง

หากไม่รีบโบยกู้ชางป๋อให้ตายในทันที ไม่นานพระสนมซูเฟยก็จะมาโวยวายเอาเรื่อง ชิ่งอ๋องก็จะตามมา บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงก็จะมากันไม่รู้เท่าไร ผลจะเป็นอย่างไรก็กล่าวได้ยาก

หากยามตัดไม่ตัดให้ขาด กลับจะทำให้วุ่นวาย โบยให้ตายก่อนค่อยว่ากัน

การตายของซินซิน หากไม่ประหารกู้ชางป๋อ น่อมไม่อาจดับไฟโทสะในใจเขาได้!

[1] งานเลี้ยงวางกับดักหลุมพรางลอบสังหารหลิวปัง (ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น) อุปมาว่าการใช้งานเลี้ยงทำร้ายคน

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท