ตอนที่ 387 ฤดูใบไม้ผลิมาถึง
มิต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากจวนผิงหนานอ๋องแต่งภรรยาใหม่เข้าเรือน หลังจากผ่านการสอบเก้าวันติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณชายใหญ่เซิ่ง คุณชายรองเซิ่ง หรือซูเย่าล้วนอาการสาหัส
พวกเขาทั้งผอมลงและอิดโรย
แม่ทัพใหญ่ลั่วปฏิบัติต่อหลานๆ ที่ถูกทรมานของเขาอย่างดีในหอสุรา
ขณะที่รออาหารยกขึ้นมา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยิ้มถาม “สอบเป็นอย่างไรบ้าง”
ซูเย่าทำข้อสอบได้ดีตามปกติ คาดว่าตนเองคงสอบได้ไม่แย่ แต่คุณชายเซิ่งเป็นคนพาเขามากินข้าวด้วย ย่อมไม่เหมาะที่เขาจะแย่งตอบ
คุณชายใหญ่เซิ่งและคุณชายรองเซิ่งรู้สึกว่าคำถามนี้ทำให้พวกเขาหยุดหายใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองสร้างความกดดันให้หลานๆ เขาถามคำถามที่เฉียบคมอีกหนึ่งคำถามว่า “ข้อสอบรุ่นนี้ยากหรือไม่”
คุณชายใหญ่เซิ่งและคุณชายรองเซิ่ง “…”
“ตระกูลเซิ่งเป็นวงศ์ตระกูลสืบทอดความรู้และประเพณีอันดีงามจากรุ่นสู่รุ่น เรื่องการสอบพวกเจ้าคงไม่มีปัญหาแน่นอน แค่รอดูว่าจะได้อันดับที่เท่าไร”
คำถามสามข้อที่กระทบจิตใจถูกโยนออกมาติดต่อกัน คุณชายใหญ่เซิ่งที่หนักแน่นสีหน้าเริ่มเขียวคล้ำ
คุณชายรองเซิ่งกระตุกมุมปาก อยากจะถามแม่ทัพใหญ่ลั่วว่า ญาติผู้น้องทั้งหลายจะออกเรือนเมื่อไหร่เล่า
ดีที่อาหารถูกยกขึ้นมาครานี้ พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับนิรโทษกรรม ขยับตะเกียบไม่หยุด
แม่ทัพใหญ่ลั่วทานอิ่มประมาณหนึ่งแล้วก็มองหลานๆ ที่ก้มหน้าก้มตากิน ยิ้มถามว่า “ต้าหลัง พวกเจ้ารู้ประเพณีของที่นี่หลังจากประกาศผลหรือไม่”
ประเพณี?
หลานๆ มองลุงเขยอย่างสับสน
แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบหนวดสั้นพูดว่า “ฉุดผู้ที่สอบติดมาเป็นลูกเขยเป็นประเพณีของที่นี่”
คุณชายสามเซิ่งตาเป็นประกาย “ดีเลย ไม่ต้องเหนื่อยก็ได้สาวงามเป็นภรรยา น้องขอแสดงความยินดีกับพี่ๆ ล่วงหน้าแล้ว”
สายตาเฉียมคมหลายคู่มองมาที่คุณชายสามเซิ่งในทันใด
แม่ทัพใหญ่ลั่วอธิบายด้วยความหวังดีว่า “ผู้ที่ฉุดผู้ที่สอบติดเป็นลูกเขยไม่ใช่เพียงสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น ยังมีหญิงสาวบ้านๆ จากครอบครัวร่ำรวย ซึ่งอาจมีรูปร่างใหญ่โตเอวกลมและมีฝ้ากระเต็มหน้า…”
ทุกคน “…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วต้องการให้พวกเขากินน้อยลง เขาจะได้กินคนเดียวใช่หรือไม่
มีเพียงน้ารองเซิ่งที่มองบุตรชายที่อุดมสมบูรณ์แล้วทอดถอนใจด้วยความอิจฉา
น่าโมโหที่บุตรชายของเขาไม่รักเรียน หากถูกฉุดไปเป็นลูกเขย เขาจะได้วางใจ
คุณชายรองเซิ่งอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านลุง ความคุ้นชินแย่ๆ แบบนี้ไม่มีใครจัดการเลยหรือ”
ร่างใหญ่เอวกลม? ฝ้ากระ?
เมืองหลวงน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ
“เป็นความคุ้นชินแย่ๆ ได้อย่างไร นี่เรียกว่าประเพณีอันดีงาม แต่ว่าหากพวกเจ้าไม่อยากจัดการเรื่องแต่งงานเช่นนี้ ถึงวันนั้นก็ส่งลูกน้องไปดูผลให้ก็พอ”
มองดูหลานๆ ที่พยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยิ้มดื่มสุราคำหนึ่ง
คำพูดเหล่านี้แทนที่จะบอกว่าเป็นการเตือนหลานๆ สู้บอกว่าเป็นแผนระยะยาวดีกว่า
ช่วงนี้เขาคอยสังเกตมาตลอด หลานๆ สามคนของจวนเซิ่งไม่เลวเลย ของดีน่ะต้องเก็บไว้ในครอบครัว ไม่แน่ว่าคนไหนอาจจะมาเป็นลูกเขยของเขาก็ได้
จะให้ผู้อื่นฉุดไปเป็นลูกเขยได้อย่างไร
ส่วนซูเย่า แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ
ตอนนี้เซิงเอ๋อร์ไม่ชอบเขาแล้ว แต่ชายที่เคยเกี่ยวข้องกับเซิงเอ๋อร์ก็ไม่คู่ควรกับหญิงสาวคนอื่น
หากบุตรสาวคนใดคิดสั้น เขาไม่ยอมตกลงแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดูซิว่าเขาจะทำอย่างไร
โค่วเอ๋อร์เดินเข้ามา กระซิบข้างหูลั่วเซิง
ลั่วเซิงลุกขึ้น “ท่านพ่อ น้ารอง พวกท่านค่อยๆ กินนะเจ้าคะ มีเพื่อนมาหาข้า ข้าขอออกไปพบสักครู่”
“ไปเถอะ”
เมื่อเห็นบุตรสาวจากไปอย่างไม่อาวรณ์ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ถอนหายใจเงียบๆ
เห็นทีเซิงเอ๋อร์จะไม่ชอบหลานทั้งสามคน
ลั่วเซิงออกจากห้องส่วนตัวเดินลงไปชั้นล่างก็เห็นสวี่ฟางรออยู่ในห้องโถง
เพื่อครองห้องส่วนตัว แม่ทัพใหญ่ลั่วตั้งใจมาแต่เช้า บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดหอสุรา มีเพียงเว่ยหานนั่งดื่มชาข้างหน้าต่างเงียบๆ
ถึงกระนั้น สวี่ฟางก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จวนฉางชุนโหวถูกร้องเรียน แม่เลี้ยงถูกหย่าร้าง แม้นางจะสะใจ แต่ตลอดทางที่เดินมากลับต้องคอยอดทนต่อสายตาที่มองมาอย่างแปลกประหลาดมากมาย
นางเตรียมใจเรื่องนี้นานแล้ว ถึงอย่างไรเหตุการณ์จวนฉางชุนโหวเมื่อต้นปีก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก
ลั่วเซิงพยักหน้าให้เว่ยหานเป็นการทักทาย เอ่ยปากเชื้อเชิญว่า “คุณหนูใหญ่สวี่ เราไปนั่งในสวนหลังเรือนเถอะ”
สวี่ฟางมีเรื่องจะพูด ย่อมตอบตกลงทันที
เว่ยหานมองส่งทั้งสองเดินไปสวนด้านหลัง เขาบีบจอกชาในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ต้นพลับแตกใบแล้วหรือไม่นะ
ต้นพลับในปลายเดือนสอง อันที่จริงยังคงไร้ใบ โชคดีที่มีเด็กสาวน่ารักมาเติมสีสันให้กับความหมองคล้ำของต้นไม้
“พี่ใหญ่ เหตุใดพี่จึงมาที่นี่เล่า” สวี่ซีถือขวานไว้ในมืออย่างสบายๆ ขมวดคิ้วถามสวี่ฟาง
คงไม่ใช่เพราะถูกกลั่นแกล้งที่จวนโหวมาหรอกนะ
สวี่ฟางมองน้องชายที่ผิวมีสีคล้ำลงเล็กน้อยแต่กลับดูมีชีวิตชีวามากขึ้นก็รู้สึกปลื้มใจ
“ข้ามาดูเจ้า”
สวี่ซีพูดหน้านิ่งว่า “ไม่มีธุระอะไรก็กลับไปเถอะ ข้าไม่ใช่คนของจวนฉางชุนโหวแล้ว ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
เขารู้สึกถึงความโหดเหี้ยมของท่านพ่อ ไม่สิ ของบุรุษผู้นั้นแล้ว
แต่ความจริงที่โหดร้ายกลับตบหน้าเขาอย่างแรง
เขากลับไปไม่ได้แล้วและไม่ยินดีที่จะกลับไปด้วย
แม้การอยู่ภายใต้เงื้อมมือของปีศาจสาวจะลำบาก แต่ดีที่มีอาหารอร่อย ในตอนที่ยังไม่สามารถพาแม่ครัวออกไปได้ เขาไม่อยากไปไหนทั้งนั้น
พี่ใหญ่มักมาหาเขา หากถูกเกี่ยวโยงไปด้วยจะทำอย่างไร
สวี่ฟางยิ้มพูดว่า “ข้ามาหาคุณหนูลั่วด้วย เช่นนั้นเจ้าผ่าฟืนต่อไปเถอะ”
เห็นลั่วเซิงเข้าไปในห้องพร้อมสวี่ฟาง สวี่ซีก็หน้าดำหน้าแดง เหวี่ยงขวานผ่าลงไปอย่างแรง
ไหนบอกว่ามาหาเขา พูดแค่สองสามประโยคก็เดินตามปีศาจสาวไปเสียแล้ว
ในห้องสะอาดสะอ้าน ชาร้อนถูกเตรียมไว้ตลอดเวลา
ลั่วเซิงรินชาสองแก้วยื่นให้สวี่ฟางแก้วหนึ่ง “คุณหนูใหญ่สวี่มีอะไรก็พูดเถอะ”
สวี่ฟางถือจอกชาอุ่นๆ ไว้ในมือ แก้มของนางแดงขึ้นเล็กน้อย นางพูดเสียงเบาว่า “งานแต่งของข้ากำหนดแล้ว”
ลั่วเซิงเผยสีหน้ายินดี “ยินดีด้วย มิทราบว่าแต่งกับตระกูลไหนหรือ”
สวี่ฟางพูดด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย “คุณชายน้อยตระกูลสวีของจวนแม่ทัพ แม่ทัพสวีเป็นลูกน้องเก่าของน้าเขยข้า ท่านน้าเป็นแม่สื่อให้ข้าเอง”
ลั่วเซิงคิดครู่หนึ่ง ยิ้มพูดว่า “แม่ทัพสวีเคยพาบุตรคนเล็กมากินอาหารที่หอสุรา คุณชายสวีท่านนั้นสง่างดงามและพูดคุยเก่ง”
ส่วนเรื่องนิสัยจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้จากการดูภายนอกแล้ว
ทว่าหนิงกั๋วกงฮูหยินรักและเอ็นดูสวี่ฟางจริงๆ ครอบครัวสวี่ฟางก็พึ่งพาไม่ได้ คงต้องระมัดระวังกับเรื่องงานแต่งงานของนาง
ในแง่ของภูมิหลังทางครอบครัว ถือเป็นการแต่งงานที่ดีสำหรับหลานสาวที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กและอาศัยในจวนฉางชุนโหวที่ได้แต่งงานกับตระกูลแม่ทัพสวี
นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางสนับสนุนให้สวี่ฟางขอความช่วยเหลือจากหนิงกั๋วกงฮูหยิน
เมื่อมีหนิงกั๋วกงฮูหยินออกหน้าแทนเท่ากับว่าหลังจากสวี่ฟางออกเรือนแล้ว จวนหนิงกั๋วกงยินยอมเป็นผู้หนุนหลังให้นาง
ที่ฝ่ายชายยินดีแต่งงาน ไม่ใช่เห็นแก่จวนฉางชุนโหว แต่คือจวนหนิงกั๋วกง
“กำหนดวันแต่งหรือยัง”
“ยังเลย แต่คุยกันไว้ว่าครึ่งปีหลัง”
ลั่วเซิงพยักหน้า
สำหรับครอบครัวร่ำรวยแล้ว นี่ถือว่าเร็วมากแล้ว
“คุณหนูสวี่รอสักครู่”
ลั่วเซิงออกจากประตูไป เมื่อกลับมาก็ยื่นบางอย่างให้สวี่ฟาง
“คุณหนูลั่ว นี่คือ…” สวี่ฟางหน้าร้อนผ่าว
คุณหนูลั่วคงไม่ได้จะแต่งหน้าให้นางตอนนี้หรอกนะ
ลั่วเซิงยิ้มๆ พูดอย่างลึกซึ้งว่า “งานแต่งของคุณหนูใหญ่สวี่ชัดเจนแล้ว ถือว่าเป็นสะใภ้ที่อาศัยในจวนฉางชุนโหวชั่วคราว ทุกคนในจวนโหวจะปฏิบัติตัวกับเจ้าอย่างสุภาพ ต่อไปจะทำอะไรก็สะดวกขึ้นมาก มีเรื่องบางอย่างไปทำได้แล้วล่ะ”