ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 222 เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 222 เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

บทที่ 222 เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

เรื่องการรับสมัครศิษย์เข้าเรียนในชั้นเรียนพิเศษของหลิงเยว่แพร่ไปทั่วสำนัก แต่เมื่อได้ยินว่านางงี่เง่าจนเดินจากไปเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ ทำให้ไม่มีศิษย์คนใดผ่านการคัดเลือก

นี่ไม่ใช่การหลอกลวงหรือ? ทั้งที่พูดไว้ว่าจะรับสมัครแล้ว เหตุใดกลับเปลี่ยนใจได้เล่า!

“หัวหน้าชั้นเซี่ย รอข้าก่อน!”

เซี่ยซิ่นรุ่ยที่ถูกขวางทางรู้สึกกังวลใจมาก ตลอดทางนี้ไม่รู้ว่าเขาถูกขวางกี่ครั้งแล้ว คำถามที่ได้รับก็เหมือนกันหมด จนเขาชาชินไปเสียแล้ว

“อาจารย์หลิงได้กล่าวว่า จำนวนที่รับเต็มแล้ว พวกเจ้ารอโอกาสครั้งถัดไปเถิด”

“เต็มแล้วหรือ!? เป็นไปได้อย่างไร!”

“ข้าได้ถามพวกเขาไปทีละคนแล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับเลือก แต่เจ้ากลับบอกข้าว่าพวกข้าว่าเต็มแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เหล่าลูกศิษย์ไม่ยอมลดละ และมีบางคนที่รู้สึกโกรธเคือง เนื่องจากคำตอบของเซี่ยซิ่นรุ่ยยังไม่น่าพอใจนัก สรุปนี่คือคำพูดของอาจารย์ และเขาเป็นเพียงผู้สื่อสารเท่านั้น

“พวกข้าไม่ได้ต้องการไปเพราะสุราปราบมารอันใด พวกข้าปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะขอศึกษาวิชาอาหารวิญญาณพิเศษกับอาจารย์หลิงเท่านั้น หัวหน้าชั้นเซี่ย เจ้าช่วยพูดให้พวกข้าทีเถิด”

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่ใช่เพราะสุราปราบมาร?

เซี่ยซิ่นรุ่ยไม่เชื่อ เนื่องจากว่าอาจารย์หลิงได้ใช้หินวิญญาณที่ตนเองได้มาปูพื้นไปทั่วครึ่งถนนและยังเหลือเฟืออยู่ เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองฝู่ซางแล้ว หากพวกเขาบอกว่าไม่ใช่เพราะสุราปราบมาร คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น!

แน่นอนว่าย่อมเรื่องที่ดี เพราะการปรากฏตัวของสุราปราบมารทำให้ผู้คนในเมืองฝู่ซางได้รู้จักอาหารวิญญาณพิเศษมากขึ้น แต่พวกเขากลับแสดงจุดประสงค์ออกมาอย่างชัดเจนเกินไป จนแม้แต่ตัวเขาที่เป็นลูกศิษย์ยังรู้สึกกังวลใจไปด้วย แล้วอาจารย์หลิงจะพอใจได้อย่างไรเล่า?

ลูกศิษย์ที่อาจารย์ต้องการน่าจะเป็นพวกที่สนใจอาหารวิญญาณพิเศษ ต้องการเรียนรู้ด้วยความตั้งใจ และมีความเชื่อมั่นว่าอาหารวิญญาณพิเศษสามารถพาชีวิตขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ เช่นเดียวกับเขา

เวลานี้ เหล่าสหายของศิษย์ในสำนักที่ล้อมรอบเขาอยู่ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมสักคน พวกเขาเพียงต้องการเรียนรู้สุราปราบมารเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นคงจะกลับไปเป็นนักกลั่นโอสถเหมือนเดิม

โลกนี้จะมีของวิเศษแบบนี้ได้อย่างไร?

เซี่ยซิ่นรุ่ยเดินวนเวียนอยู่กับสหายร่วมชั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าศิษย์ที่อาจารย์เลือกจะเป็นผู้ใด

ในฐานะสหายร่วมชั้นในภายหน้าของเซี่ยซิ่นรุ่ยอย่างซีชาง ในขณะนี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อน เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลิงเยว่จะให้โอกาสครั้งที่สองแก่เขาจริง ๆ

“ท่านพี่ อาจารย์หลิงให้ท่านมาแจ้งข้าจริงหรือว่าให้ข้าไปเรียนในอีกสามเดือนข้างหน้า”

ซีหลินถูกความประหลาดใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเล่นงาน ราวกับฝัน มัน… ไม่จริงเลย

ถึงแม้จะเกิดในตระกูลนักกลั่นโอสถ และยังมีความสามารถด้านการกลั่นโอสถ แต่เขาไม่สนใจการกลั่นโอสถเลยแม้แต่น้อย เขาแค่รอคอยความตายในชาตินี้ ทว่า!

อาจารย์ที่เขาเคารพยกย่อง ได้ปรากฏตัวพร้อมกับอาหารวิญญาณพิเศษรสเลิศ นางเหมือนแสงสว่างที่ใช้หินวิญญาณเพื่อฟาดใบหน้าของท่านเจ้าเมืองอย่างไม่ปรานี นางอาจหาญเกินไปแล้ว!

ซีชางมองน้องชายผู้โง่เชลาของตนเองด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้เหมือนกันว่าหลิงเยว่เห็นแววอะไรในตัวน้องชายคนนี้ หรือว่าความโง่ของเขามันโดดเด่นเป็นพิเศษ?

“จ… จริง… จริง…”

ซีหลินถูกซีชางผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวตบจนตัวปลิว ความเจ็บปวดทำให้เขากลับเข้าสู่ความเป็นจริง จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับกุมใบหน้าที่บวมและมีเลือดไหลจากจมูกพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ซีชาง “…”

แล้วเขาก็กลับไปอ่านตำรับอาหารที่อาจารย์หลิงเยว่เคยมอบให้

ครั้งนี้หลิงเยว่ไม่ได้คัดเลือกลูกศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนมากนัก มีสองคนจากตระกูลหมิง ตระกูลซีอีกสองคน ตระกูลหลิวหนึ่งคน ที่เหลือคัดเลือกมาจากลูกศิษย์กลุ่มแรกที่เคยคัดออกไป โดยมีทั้งหมดสิบแปดคน ที่เหลืออีกหนึ่งร้อยคนเป็นอาจารย์ ผู้อาวุโส และอาจารย์ใหญ่ของสำนัก

ส่วนสาเหตุที่ต้องรอสามเดือนถึงจะเปิดการเรียนการสอน ก็เพราะว่านางจะต้องไปบำเพ็ญในมิติของหัวหน้าตะขาบมรกตเพื่อทำการเพาะปลูกและศึกษาวิธีการกลายพันธุ์ของสมุนไพรวิญญาณขั้นต่ำ

วิชาพรางตัวครั้งแรกไม่สำเร็จ สมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ต้นหนึ่งตายไปแล้ว

เหล่าผู้พิทักษ์สมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์อย่างฝูงตะขาบมรกตทนไม่ไหวอีกต่อไป!

ครั้งที่สองตายไปสามต้น ฝูงตะขาบมรกตเริ่มเดินขบวนประท้วง ดวงตาสีแดงเล็ก ๆ หลายคู่จ้องมองหลิงเยว่ด้วยความโกรธแค้น

ครั้งที่สามเหล่าสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ล้มตายเป็นกลุ่ม ฝูงตะขาบมรกตโกรธมากจนบินว่อนไปทั่ว

ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…

จนกระทั่งหลิงเยว่ทำให้เหล่าสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ตายเป็นบริเวณกว้าง ฝูงตะขาบมรกตที่อดทนไม่ไหวจึงกรูกันเข้ามาจัดการนาง!

“โอ๊ย! อย่าดึงผม อย่าตีหน้า อย่าฉีกเสื้อผ้าข้า!”

หลิงเยว่ที่ถูกฝูงตะขาบมรกตรุมทึ้งโอดครวญด้วยความทุกข์ ในตอนที่พวกมันปล่อยนางออกมา ผมของนางก็ยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงเขียวเป็นจ้ำ อีกทั้งชุดกระโปรงยาวกลับกลายเป็นริ้วผ้า หากสังเกตให้ดียังสามารถเห็นรูขาดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน

หลิงเยว่เช็ดใบหน้า นั่งลงกับพื้นและไตร่ตรองอย่างละเอียด ชัดเจนว่านางทำตามขั้นตอนของวิชามาตลอด เหตุใดจึงล้มเหลวเช่นนี้?

นางเปิดตำราวิชาพรางตัวอีกครั้ง ทันใดนั้นเองหลิงเยว่พลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง!

เมื่อใช้คาถาพรางตัว ผู้ร่ายคาถาจำเป็นต้องหลอกลวงตนเองด้วย โดยการโน้มน้าวซ้ำ ๆ ให้กับสมุนไพรกลายพันธุ์เข้าใจว่าพวกมันเป็นสมุนไพรธรรมดา จนกระทั่งสมุนไพรกลายพันธุ์เหล่านั้นเชื่อและพรางตัวเองกลับไปเป็นรูปลักษณ์เดิม

คาถาพรางตัวนี้ควรจะเรียกว่าคาถาสะกดจิตมากกว่า!

เมื่อเห็นว่าหลิงเยว่กำลังจะทำลายล้างอีก เหล่าฝูงตะขาบมรกตก็บินกรูเข้ามาพร้อมกัน ใช้ร่างของพวกมันปกป้องสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์เอาไว้ ท่าทางของพวกมันราวกับจะบอกว่า หากมีความคิดที่จะแตะต้องสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ ก็ให้เหยียบข้ามซากศพของพวกมันก่อน!

หลิงเยว่โกรธ แต่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเจ้าฟังข้าก่อน สมุนไพรวิญญาณในดินแดนนี้เป็นเพียงสมุนไพรวิญญาณธรรมดา ไม่ใช่สมุนไพรสำหรับใช้ในการกลั่นโอสถแปลงกาย”

“ท่านหัวหน้าของพวกเราบอกว่าใช่ก็คือใช่!”

เจ้าตะขาบมรกตดวงตาสีแดงเล็ก ๆ ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

หลิงเยว่ไม่มีหนทางอื่น จึงเรียกหาหัวหน้าตะขาบมรกต สุดท้ายนางจึงได้รับอนุญาตให้ใช้สมุนไพรกลายพันธุ์จำนวนเล็กน้อยเพื่อฝึกฝนคาถาพรางตัว

ช่างไม่ยุติธรรม!

คราวนี้สมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ไม่ตาย แต่กลับกลาย… จากราก ลำต้น กิ่งใบ และเส้นใบ กลับคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นสมุนไพรธรรมดาจนฝูงตะขาบมรกตไม่อยากกินแม้แต่นิดเดียว

“สำเร็จแล้วหรือ?!”

วิธีนี้ง่ายกว่าการฟักไข่เสียอีก!

หลิงเยว่ดีใจจนตัวลอย รีบถอนต้นเล็ก ๆ ไม่กี่ต้น แล้วสั่งหัวหน้าตะขาบมรกตให้ไปยังห้องบำเพ็ญแล้วนำตนเองออกมาจากมิติทันที

“เสี่ยวจื่อ เจ้ามาดูนี่หน่อยเถิดว่ามันคือสมุนไพรวิญญาณชนิดใด?”

หลิงเยว่ภูมิใจราวกับได้ของวิเศษมา จึงยื่นสมุนไพรวิญญาณที่อยู่ในมือให้จื่อเฉาอวี่ดู

เสี่ยวจื่ออีกแล้ว จื่อเฉาอวี่เหนื่อยใจ นางเหลือบมองสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“อาจารย์หลิง ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ไม่รู้จักแม้กระทั่งสมุนไพรจูมั่ว ซึ่งเป็นหนึ่งในโอสถหลักของการกลั่นโอสถสร้างรากฐาน”

“ดูใหม่เถิด ดูให้ดี ๆ”

จื่อเฉาอวี่ยื่นมือออกไปจะเอาสมุนไพรมาดูให้ละเอียด ทว่าโดนผู้อาวุโสเถาวั่งแย่งไปเสียก่อน

เถาวั่งดมกลิ่น ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หลิงเยว่ร้อนรน แล้วเหตุใดผู้อาวุโสเถาถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนหน้านี้ที่นางออกมาสำรวจโดยรอบ ยังไม่เห็นอาจารย์ท่านใดเลย นางถึงได้นำสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ออกมา!

“เป็นสมุนไพรจูมั่วจริง”

ทว่าสัญชาตญาณของเถาวั่งบอกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเช่นนั้น เขาเด็ดใบเล็ก ๆ มาหนึ่งใบแล้วโยนเข้าปาก รสชาติขมเฝื่อนจนทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น เนื้อสัมผัสก็ไม่ผิดเพี้ยน

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” หลิงเยว่เอ่ยถามด้วยใจระทึกหวั่นไหว เกรงว่าสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์จะเผยตัวตนที่แท้จริงของมันออกมา

“เป็นสมุนไพรจูมั่วขั้นต่ำใกล้เคียงกับสมุนไพรวิญญาณขั้นกลาง”

เถาวั่งยืนยันหนักแน่น

หลิงเยว่ “!!!”

แม้แต่ผู้อาวุโสเถาวั่งก็ถูกหลอกได้เช่นนั้นหรือ!

“ท่านผู้อาวุโสเถา ลองใช้แก่นปราณอัคคีเพื่อกลั่นกรองสรรพคุณของสมุนไพรนี้ก่อนตัดสินใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

หรือว่าเขาคิดผิดไป? เป็นไปไม่ได้!

เถาวั่งไม่อาจทนต่อข้อกังขาของเหล่าลูกศิษย์และหลิงเยว่ได้ เปลวไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นห่อหุ้มสมุนไพรจูมั่วไว้อย่างมิดชิด

กลิ่นขมเฝื่อนของสมุนไพรจูมั่วลอยฟุ้งออกมา พร้อมกับของเหลวสีดำที่ถูกเผาจนค่อย ๆ หดเล็กลง กลายเป็นหยดหมึก

“พวกเจ้าทั้งหลายดูเถิด นี่ไม่ใช่หยดน้ำสีหมึกของสมุนไพรจูมั่วหรอกหรือ?”

เถาวั่งยื่นหยดหมึกสีดำให้ศิษย์แต่ละคนดู เขาจะจำสมุนไพรจูมั่วไม่ได้เชียวหรือ!

“เป็นสมุนไพรจูมั่วถูกต้องแล้ว”

หลิงเยว่ตอบรับอย่างผิวเผิน แต่ในใจกำลังร้องเรียกระบบอย่างบ้าคลั่ง

“ระบบ เกิดอะไรขึ้น? เจ้าบอกข้าไม่ใช่หรือว่าวิชาพรางตัวขั้นต่ำนี้ หลอกได้แค่ผู้บำเพ็ญอย่างเสี่ยวจื่อเท่านั้นไม่ใช่หรือ!”

[สมกับเป็นเจ้าเสียจริง]

หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ระบบก็เงียบหายไปเสียอย่างนั้น

หลิงเยว่ “???”

หรือว่านางจะก้าวข้ามจากขั้นต้นและขั้นกลางไปเรียนวิชาพรางตัวขั้นสูงได้โดยตรงแล้วอย่างนั้นหรือ?

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท