บทที่ 509 ตัวเอง (1)
“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อ ข้าตื่นแต่เช้าแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะยืนชมโรดี้ฝึกวิชาดาบอยู่ด้านข้างเงียบๆ
มองดูเล็กน้อย เขาก็พบว่าโรดี้ผู้เป็นพ่อของกายเนื้อร่างนี้ แม้กระบวนดาบจะยุ่งเหยิงสุดขีด แต่พลังงานที่ระเบิดออกมาในทุกๆ กระบวนท่ากลับแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย
แม้จะไม่มากเท่าไหร่ แต่ในการต่อสู้เป็นตาย หากพลังเหนือกว่านิดหน่อย และความเร็วเหนือกว่าเล็กน้อย เช่นนั้นจะต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นความแตกต่างระหว่างความเป็นกับความตาย
นอกจากนั้นเขายังสังเกตเห็นว่า ท่านพ่อผู้นี้มีความอดทนสูงมาก คนที่เกือบอายุห้าสิบปีแล้ว แต่ยังมีร่างกายกำยำขนาดนี้ได้ จะต้องครอบครองความลับแน่นอน
หลังฝึกกระบวนดาบที่สับสนเสร็จ โรดี้ก็ถอนใจยาว แล้วเสียบดาบฟันฟืนสีเงินที่ขึ้นสนิมเล็กน้อยใส่ฝักดาบผิวทรายที่อยู่ด้านข้าง
“เป็นอะไรไปหรือโรแซง ปกติจะรำคาญเวลาข้าฝึกดาบจะตายไป วันนี้กลับมีความอดทนขนาดนี้ เมื่อครู่ข้าได้ยินของตกพื้นในห้องเจ้า ไม่เป็นไรกระมัง” โรดี้ซักไซ้
“ไม่เป็นไรขอรับท่านพ่อ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า แสดงสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย “เพียงแต่…ฝันร้ายอีกแล้ว เลยอารมณ์ไม่ดี…”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง” โรดี้เดินเข้าไปขยี้ผมของลู่เซิ่งเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เอาล่ะ ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ เตรียมโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองคนเดินเข้าโถงเล็กแล้วนั่งลงด้านข้างโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นโต๊ะหินสีดำแข็งและเย็นเยียบ ยามศอกแตะใส่ขอบให้ความรู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูก
ลู่เซิ่งนั่งลง มีโจ๊กทำจากแป้งที่เหมือนกับโคลนเละๆ ซึ่งตักใส่จานกระเบื้องวางอยู่ตรงหน้า ดมดูแล้วมีกลิ่นเนื้อวัวผสมกับมันฝรั่ง คล้ายยังมีผงพริกไทยกับพริกอยู่ด้วย
เมื่อวานเขาอ่านบันทึกของโรดี้แล้ว เพียงแต่แอบอ่าน จากนั้นก็ลบร่องรอยให้กลับสู่สภาพเดิม
แม้โรแซงจะมีนิสัยย่ำแย่ไปนิด แต่รายละเอียดเหล่านี้กลับกระทำได้อย่างรอบคอบ แม้แต่รอยนิ้วมือก็ลบทิ้งอย่างตั้งใจ
ตามเนื้อหาในบันทึก โรดี้เตรียมจะออกจากคฤหาสน์เพื่อไปแก้แค้นเมืองแห่งนั้นแล้ว
เขาไม่คิดจะพาลูกชายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่บอกอะไรกับโรแซง
ตอนนี้โรดี้นั่งบนที่นั่งเงียบๆ ใช้ช้อนตักมันฝรั่งคำโตๆ มากิน ทั้งยังดื่มนมวัวที่อยู่ในถ้วยด้านข้างเป็นระยะ
เขาไม่ได้เช็ดเหงื่อ และไม่ได้ล้างมือ ในโถงเล็กจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อเข้มข้น
ลู่เซิ่งลอบพิจารณาโรดี้ ทราบว่าท่านพ่อผู้นี้ใกล้จะออกจากหมู่บ้านแล้ว แม้ไม่ทราบว่าจะกินเวลานานขนาดไหน แต่ก่อนเขาจะจากไป ตนควรเตรียมตัวไว้ก่อน
ตามบันทึกของโรดี้ สาเหตุที่โรดี้หนีพ้นการไล่ล่าของสัตว์ประหลาดจากเมืองแห่งนั้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากความเจ้าแผนการแล้ว ยังมีทักษะวิชาดาบที่สำคัญด้วย
แม้วิชาดาบวิชานี้จะไม่มีความสามารถพิเศษ แต่ว่าก็มอบพลังระเบิดที่รุนแรง พลังงานที่ทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง รวมถึงความอึดที่ยาวนานให้แก่เขา
ขณะที่ลู่เซิ่งพิจารณาโรดี้ ความจริงโรดี้ก็ลอบสังเกตลูกชายของตัวเองอยู่เช่นกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาหวังให้ลูกของตนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น บางทีอาจมีสักวันที่จะช่วยเขาแบ่งเบาทุกสิ่งที่เขาแบกรับไว้ได้ แต่เขาก็ค้นพบตามกาลเวลาที่ผ่านไปว่า ลูกชายไม่สนใจสิ่งที่ตัวเขาเรียนรู้แม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นทักษะการปรับปรุงการใช้พิษรุนแรงที่เขาร่ำเรียนมาจากชนชาติดั้งเดิมในต่างประเทศอย่างยากลำบาก หรือวิชาดาบลึกลับที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักวิชาดาบเจอเรลโลและฝึกฝนมาหลายปี เขาล้วนคิดทดลองถ่ายทอดให้ลูกชาย น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
แต่ว่าตั้งแต่เช้าวันนี้ แวบแรกที่เขาเห็นโรแซง กลับค้นพบว่าในที่สุดสายตาของลูกชายซึ่งที่แล้วมาขี้ขลาดหลบเลี่ยงก็เปลี่ยนไป สิ่งที่มาแทนที่คือความเยือกเย็นกับความแน่วแน่สุดหยั่ง
คล้ายกับว่าเมื่อคืนเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน เหมือนกับในใจมีการสนับสนุนที่แน่วแน่บางอย่าง
โรดี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย หวนนึกถึงแวดวงสังคมของลูกชายอย่างละเอียด
อาจจะเป็นเจอลีนแห่งคฤหาสน์เมอร์เซอร์ หรือไม่ก็แองจี้ลูกสาวของเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าในเขตก็ได้
นอกจากนี้แล้ว เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อื่นที่ทำให้ลูกชายซึ่งขี้ขลาดมาโดยตลอดเข้มแข็งขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้อีก
“ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่ข้าชอบสายตาของเจ้าในตอนนี้” โรดี้เอ่ยอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งงุนงง นึกไม่ถึงว่าพลังช่างสังเกตของโรดี้จะคมกล้าขนาดนี้
“ก่อนหน้านี้มีพวกคนใหญ่คนโตจากสถานีตรวจตรามา” เขาเงียบงันครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตามความทรงจำของโรแซง “บอกว่าต้องการตรวจสอบที่อยู่ของดีคารอน”
“นั่นมันข่าวใหญ่สุดในช่วงนี้เลยนะ” โรดี้ยิ้ม “โลกก็อันตรายแบบนี้นี่แหละ แม้แต่ขุนนางเก็บภาษีก็เจออันตรายโดยคาดไม่ถึงได้ ในฐานะเจ้าของที่ดิน เจ้าไม่สามารถเอาแต่พึ่งชาวนาเช่าที่ดินพวกนั้นที่จับแค่จอบกับเคียวไม่ได้หรอก เป็นอย่างไร อยากจะเรียนกระบวนท่าดาบจากพ่อเจ้าไหม”
เขาเจอวิธีที่อาจจะแยกตราประทับพิเศษบนร่างลูกชายได้แล้ว หากครั้งนี้สำเร็จ เขาก็เตรียมจะไปจากที่นี่เพื่อมุ่งหน้าไปแก้แค้นคนเดียว
หากสำเร็จ เขาจะกลับมาใช้ชีวิตกับลูกชายต่อ แต่ถ้าล้มเหลว เช่นนั้นเขาจะนำความเจ็บปวดและความแค้นทั้งหมดในอดีตไปฝังร่วมกับเมืองแห่งนั้น ไม่ให้โรแซงแบกรับทุกอย่างในภายหลังอีก
แต่ว่าการเตรียมตัวในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาอีกสักพัก ช่วงนี้ใช้ตัวตายตัวแทนไปหมดแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านั้นอาจจะมาหาได้ตลอดเวลา ตัวตายตัวแทนช่วงนี้ยังต้องปรับปรุงและตระเตรียมไปก่อน อีกสองสามวันเขาต้องออกไป เพื่อล่อสัตว์ประหลาดชั่วคราว
“เรียนวิชาดาบที่ดูธรรมดาไร้ความงดงามของท่านน่ะหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าวโดยใช้น้ำเสียงของโรแซงเมื่อก่อนหน้า
“ไร้ความงดงามจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ใช้ประโยชน์ได้” โรดี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช้ได้หรือ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย “เทียบกับวิชากระบี่จักรวรรดิของแจ็คแล้วเป็นอย่างไร”
แจ็คเป็นสหายที่เขาคบหาที่นี่และเติบโตมาพร้อมกับเขา เป็นเพราะว่าบ้านยากจน เลยถูกส่งไปรับใช้กองทัพจักรวรรดิทั้งๆ ที่มีอายุสิบสองขวบ จึงได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมตัว ตอนนี้เขาที่อายุยี่สิบกว่าปีแล้วกลายเป็นผู้ช่วยหัวหน้าปกป้องเมืองของทัพอาทิตย์อัสดงที่อยู่ใกล้ๆ นี้
ตามความทรงจำของโรแซง วิชากระบี่จักรวรรดิของแจ็คไม่ใช่ดาบบางตามประเพณีของทางตะวันออก แต่เป็นกระบี่ยักษ์ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งหนักอึ้งเพราะเอาไว้ใช้ฟัน วิชากระบี่จักรวรรดิที่ว่านี้เป็นวิชากระบี่พื้นฐานประจำกองทัพที่ได้รับการถ่ายทอดเหมือนๆ กันในกองทัพ มีท่วงท่าเรียบง่าย แต่พลังทำลายล้างกลับไม่เลวทีเดียว
“วิชากระบี่จักรวรรดิเหมาะสำหรับใช้ในการรบ ดีสำหรับการบุกทะลวงเข้ากลางค่ายทัพ แต่ถ้าสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องเป็นวิชาดาบของข้านี่” โรดี้กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ไม่ได้บอกให้แน่ชัดว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ
“ถ้าข้าเรียนตอนนี้จะยังทันหรือ” ลู่เซิ่งถามอีก
“ไม่มีอะไรสายไปหรอก” โรดี้ดีใจทันทีเมื่อเห็นว่าในที่สุดลูกชายก็เอ่ยปาก เขาอยากให้ลูกชายรับสืบทอดสิ่งที่ตัวเองร่ำเรียนมาโดยตลอด น่าเสียดายที่โรแซงไม่มีความสนใจโดยสิ้นเชิง หัวข้อนี้ได้พูดถึงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ทุกครั้งโรแซงก็จงใจใช้หัวข้ออื่นๆ มาเปลี่ยนเรื่องเสมอ
แต่นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ลูกชายจะตอบรับตัวเองตรงๆ
“ยังไงเงื่อนไขของเจ้าก็มีแค่การป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ แม้จะเจอขีดจำกัดที่เอ็นกระดูกแข็งตัว และข้อต่อหยุดเติบโต แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการป้องกันตัวแม้แต่น้อย” เขานึกเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างจริงจัง “แต่ถ้าจะเรียน เจ้าควรจะเรียนทั้งหมด วิชาดาบ วิชาธนู วิชาขี่ม้า ต้องเรียนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นรอพ่อเจ้าแก่จนสอนไม่ได้แล้ว ตอนนั้นคิดเรียนก็สายไปแล้ว”
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจอย่างอื่น สิ่งที่เขาสนใจอย่างแท้จริงคือวิชาดาบที่โรดี้ครอบครองอยู่ การที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาทำลายขีดจำกัดของมนุษย์ได้ แม้จะแค่นิดหน่อยก็ตาม แต่วิชาดาบวิชานี้จะต้องมีความพิเศษของตัวเองแน่
หากคิดจะแก้กรรมของโรแซง เส้นทางที่ดีที่สุดคือไม่ใช้ร่างหลัก ใช้แค่กายเนื้อร่างนี้ และใช้ระบบที่เหมาะสมที่สุดในโลกใบนี้ แก้ไขทุกสิ่งอย่าง
ถึงอย่างไรแม้จะใช้ร่างหลักแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะถูกโลกใบนี้กีดกันออกจากดินแดนแห่งนี้ ถึงเวลานั้นจะเสียการจุติไปครั้งหนึ่งอย่างเปล่าประโยชน์
ดังนั้นเขาจึงต้องค้นหาดูก่อนว่าระบบพลังหลักของโลกใบนี้คืออะไร ดูจากโรดี้ผู้เป็นพ่อเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าวิชาดาบชุดนี้อาจจะมีความลับอยู่
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าอยากจะเรียนวิชาดาบ” ลู่เซิ่งเปลือกนอกคล้ายทำท่าครุ่นคิด ตอนนี้ได้สติกลับมา เงยหน้าขึ้น ในที่สุดก็ตอบอย่างจริงจัง
“จริงเหรอ?!” โรดี้ยืดตัวตรงมองลูกชายอย่างเคร่งขรึม “ขอบอกไว้ก่อนนะว่า การเรียนวิชาดาบเป็นเรื่องที่ลำบากเป็นอย่างมาก”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
โรดี้เงียบขรึมเล็กน้อย “กินข้าวเช้าก่อน”
สองพ่อลูกไม่พูดไม่จา ต่างเริ่มก้มหน้ากินมันบดไปเงียบๆ
สิบกว่านาทีต่อมา ทั้งสองคนมาถึงที่ว่างผืนเล็กๆ ที่ใช้รั้วกั้นไว้ผืนหนึ่งด้านนอกคฤหาสน์
รอบๆ ที่ว่างคือป่าสีแดงอ่อน ลมพัดใส่ใบไม้จนเกิดเสียงซ่าๆ เป็นระยะ
โรดี้พาลู่เซิ่งเดินมาถึงในที่ว่าง แล้วพลิกมือชักดาบออกมาจากด้านหลังเบาๆ
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนจริงๆ ข้าก็จะไม่เก็บงำแล้วเช่นกัน วิชาดาบที่ข้าจะสอนให้เจ้ามาจากสำนักวิชาดาบเจอเรลโลจากจักรวรรดิฟานนา วิชาดาบชุดนี้มีอานุภาพกล้าแข็ง เหมาะกับการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง อาวุธที่เหมาะคือดาบสองคม น้ำหนักควรอยู่ในระดับที่เจ้าจับสองมือแล้วไม่รู้สึกกินแรง…”
เขาที่จับดาบฟันไปด้านหน้า
ฟุ่บ!
คมดาบวาดเส้นเล็กๆ สีเงินขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง มีความเร็วสูงมาก เขารีบแสร้งทำเป็นตกใจถอยหลังไปสองก้าว
“ไม่ต้องกลัว ความได้เปรียบสูงสุดของวิชาดาบเจอเรลโลอยู่ที่การส่งพลัง และวิธีการฟาดฟันโดยใช้แรงมากที่สุดโดยไม่ทำให้เอ็นและกระดูกบาดเจ็บ นี่เป็นทิศทางที่วิชาดาบเจอเรลโลเน้นเป็นหลัก มาสิ เริ่มฝึกตั้งแต่ท่าฟันท่านี้ ข้าจะสอนท่วงท่า การเคลื่อนไหว และการส่งพลังที่ถูกต้องให้…”
โรดี้เริ่มถ่ายทอดความมหัศจรรย์ที่แท้จริงเกี่ยวกับวิชาดาบเจอเรลโลให้ทีละนิดๆ
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิฟัง ไม่นานเขาก็เข้าใจแนวทางตามความเป็นจริงของสำนักวิชาดาบสำนักนี้หลังจากโรดี้อธิบายรายละเอียดแล้ว
สำนักนี้ไม่เน้นกระบวนท่าดาบ แต่เน้นพละกำลังกับความเร็ว พวกเขาสร้างทักษะกับวิธีการฝึกฝนที่ใช้เพิ่มพละกำลังกับความเร็วออกมาไม่น้อย โดยเริ่มจากตัวเอง เพื่อตามหาความเร็วกับพละกำลังอันเป็นขีดจำกัดในการส่งพลังของร่างกายมนุษย์
เนื่องจากโลกแตกต่างกัน ดังนั้นโครงสร้างกายเนื้อของโรแซงจึงต่างจากโครงสร้างร่างกายมนุษย์ในโลกใบอื่นไปด้วย นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ใช้ระบบอย่างอื่นไม่ได้
ทว่าตอนนี้วิชาดาบชุดนี้กลับเป็นระบบที่เหมาะกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์
ดูจากวิชาดาบเจอเรลโลที่โรดี้บรรยาย สำนักนี้รวมๆ แล้วแบ่งเป็นทั้งหมดสามระดับ
ระดับแรก: คุ้นหัตถ์ ความหมายเป็นเหมือนกับชื่อ คือใช้ทักษะทุกชนิดได้อย่างช่ำชอง นับเป็นมือดีคนหนึ่งในการทำศึกจริง
ระดับสอง: หัตถ์เดียว ความหมายคือสรุปจัดระเบียบทักษะของสำนักให้เป็นทักษะที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดได้ จากนั้นก็ใช้วิชาดาบของตัวเองได้ถึงขีดสูงสุด ใช้ดาบมือเดียวถือเป็นยอดฝีมือในสำนักแล้ว หากดูจากทักษะและประสบการณ์เพียงอย่างเดียว สามารเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิ เป็นระดับใช้หนึ่งสู้สอง หรือหนึ่งสู้สาม
นอกจากนั้นในสำนัก นอกจากทักษะและประสบการณ์จะต้องบรรลุเงื่อนไขแล้ว ความเร็วและพละกำลังของหัตถ์เดียวจะต้องไปถึงระดับมาตรฐานเช่นกัน ตามการวินิจฉัยของลู่เซิ่ง โรดี้ในตอนนี้น่าจะอยู่ในระดับนี้
ระดับสาม: ปรมาจารย์ ระดับนี้ไม่ยึดติดกับทักษะตายตัวของสำนักอีกต่อไป พวกเขาเข้าใจหลักการของทักษะทั้งหมด นอกจากนี้พละกำลัง ความเร็ว และคุณสมบัติของร่างกายยังไปถึงระดับที่สูงที่สุด แถมยังสามารถปรับร่างกายให้อยู่ในสภาพดีที่สุดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตัววิชาดาบหรือร่างกายล้วนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่ไร้ช่องโหว่ให้โจมตี รวมถึงไม่มีจุดอ่อนข้อบกพร่อง
นี่คือระดับปรมาจารย์ ระดับสูงสุดของมนุษย์
……………………………………….