สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 207 รอ

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 207 รอ

ไต้เจ๋อร่ำไห้ปาดขี้มูกและน้ำตา “บอกว่าท่านพ่อดื่มสุราอยู่กับฝ่าบาท ตะโกนเรียกชื่อฝ่าบาท ฝ่าบาททรงกริ้ว ให้โบยท่านพ่อแปดสิบไม้ ทนไปไม่ไหว จากไปแล้ว…”

ชิ่งอ๋องนิ่งตะลึงไปทันที ปฏิกิริยาแรกก็คือเป็นไปไม่ได้

เสด็จพ่อเป็นปฐมฮ่องเต้ก่อตั้งแผ่นดิน แม้จะแข็งกร้าว แต่กับผู้ติดตามร่วมก่อตั้งแผ่นดินมากับพระองค์นั้นล้วนผูกพันกันอย่างมาก โดยเฉพาะกู้ชางป๋อผู้เป็นลุงของเขา จะเพราะแค่ล่วงเกินเบื้องสูง ก็ถึงกับเอาชีวิตลุงเขาหรือ

กู้ชางป๋อเป็นคนที่สี่ เหนือเขาขึ้นไปยังมีพี่ชายแท้ๆ อีกสาม พี่ชายคนรองตายไปแต่ยังเด็ก พี่ชายคนที่สามตายในช่วงกลียุค เหลือเพียงพี่ชายคนโตที่ได้รับอานิสงส์จากน้องชายจึงได้มีชีวิตที่ดีได้สองปี หลังแผ่นดินก่อตั้งขึ้นไม่นานก็ล้มป่วยจากไป

สำหรับชิ่งอ๋องที่ถือกำเนิดในรัชศกซิ่งหยวนที่สอง ก็เท่ากับว่าเขามีลุงเพียงคนเดียว

“ข้าจะเข้าวัง” ชิ่งอ๋องพยายามระงับความตื่นตระหนกในใจ รีบเข้าวังหลวง

“ฝ่าบาท ชิ่งอ๋องขอเข้าเฝ้า”

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลืมพระเนตรขึ้น แต่สีพระพักตร์เรียบเฉยไร้ความรู้สึก “ให้เขากลับไป”

ชิ่งอ๋องไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ก็ไปตำหนักฮั่นตั้นกง

พระสนมซูเฟยร้องไห้จนตาบวม “อี้เอ๋อร์มาแล้วหรือ”

“เสด็จแม่ เหตุใดเสด็จพ่อต้องเอาชีวิตท่านลุง”

“แม่ไม่รู้…” พระสนมซูเฟยยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “กะทันหันมาก ตอนข้าได้ข่าวก็รีบไป ทูลขอเสด็จพ่อเจ้าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์…”

จากนั้นก็ถูกบังคับกลับตำหนัก นางปวดร้าวสิ้นหวัง คิดไปคิดมาแล้วก็มีเพียงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว หรือว่าจะเป็นเรื่องที่พี่ชายส่งคนไปกำจัดภัยให้สิ้นซากถูกเปิดโปงแล้ว?

ตอนฮองเฮาซินเกิดเรื่องแล้ว พระสนมซูเฟยจึงได้รู้เรื่องนี้จากปากกู้ชางป๋อ

พี่น้องไม่สะดวกพบหน้า รายละเอียดต่างๆ ก็มากมายไม่อาจกล่าวได้ละเอียด นางร้อนใจด้วยเรื่องนี้อยู่หลายวัน แต่ความรู้สึกแท้จริงก็คือความรู้สึกมั่นคงขึ้น

หญิงผู้นั้นนำพาเงามืดมาเกาะกุมจิตใจนาง หลายปีมานี้นางหายสาบสูญไปไร้ร่องรอยก็ดุจดังกระบี่ที่แขวนไว้เหนือศีรษะ ทำให้นางมักจะฝันร้าย

ฝันว่าหญิงผู้นั้นกลับมา นางสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป อี้เอ๋อร์ของนางก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเช่นกัน

“เสด็จแม่ไม่รู้เลยหรือ” ชิ่งอ๋องคิดไม่ตก

มองสีหน้างุนงงไม่เข้าใจของบุตรชายแล้ว พระสนมซูเฟยก็ระงับความปวดร้าวและหวาดกลัวในพระทัยลง ส่ายหน้ากล่าวว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ไปดูลุงเจ้าแทนแม่ด้วย ให้การช่วยเหลือสักหน่อย…”

การคาดเดาอันน่าสะพรึงนี้ ทำให้นางไม่อาจพูดอันใดกับอี้เอ๋อร์ อี้เอ๋อร์ไม่รู้อันใดจะดีที่สุด

ชิ่งอ๋องออกจากวังหลวงไปเงียบๆ

เวลาเพียงสั้นๆ ก็มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยมาขอเข้าเฝ้าเพื่อสอบถามเรื่องราวแต่ก็ถูกปฏิเสธไป คนเหล่านี้ยังคงรออยู่นอกวังหลวง พอเห็นชิ่งอ๋องสีหน้าคร่ำเครียดออกมา ก็พากันเข้าไปหาทันที

ชิ่งอ๋องมองทุกคนทีหนึ่ง แต่ฝีเท้าไม่ได้หยุดลง

ข่าวกู้ชางป๋อเกิดเรื่องแพร่ออกไปยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ รองเจ้ากรมต้วนได้ยินข่าวก็รีบกลับจวน พบกันคนจากจวนกู้ชางป๋อที่มาแจ้งข่าวกำลังจะออกจากจวนรองเจ้ากรมพอดี

ต้วนอวิ๋นหวาหมั้นหมายกับไต้เจ๋อแล้ว อย่างไรก็ต้องแจ้งข่าวงานศพต่อจวนรองเจ้ากรม

“ข้าทราบแล้ว โปรดระงับความเศร้าด้วย” พูดจาตอบรับขับสู้กับคนที่มาแจ้งข่าวแล้ว รองเจ้ากรมต้วนก็ไปเรือนหรูอี้ถัง

ณ เรือนหรูอี้ถัง นายหญิงผู้เฒ่านั่งตัวแข็งทื่อไม่ขยับเป็นนาน

บ่าวในห้องไม่กล้าส่งเสียง จนกระทั่งรองเจ้ากรมต้วนเข้ามาทำลายความเงียบ

“ท่านแม่ เรื่องจวนกู้ชางป๋อ ท่านทราบแล้วกระมัง” รองเจ้ากรมต้วนแสดงท่าทีบอกให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปก่อนจึงได้เอ่ยขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าเหลือบมองบุตรชายพลางเอ่ยคำพูดที่เหนือความคาดหมายว่า “เหวินซง เจ้าว่าเฉียวซื่อเป็นดาวไม้กวาดตัวซวยใช่หรือไม่ ถูกเขียนหนังสือหย่าไม่พอ ยังดึงดวงบุตรธิดาไปด้วย”

“ท่านแม่ ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้…”

“ไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่นาง หว่านเอ๋อร์จะทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนั้นหรือ หวาเอ๋อร์ไม่ได้รับการอบรมให้ดีไม่ว่า กว่าจะได้หมั้นหมายกับคู่ครองที่ดีสักคน อยู่ ๆ ก็ต้องมาเจอเรื่องโชคร้ายเช่นนี้อย่างไม่คาดคิด…”

“เหวินซง เจ้าเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักไม่ได้ยินข่าวอันใดบ้างเลยหรือ แท้จริงกู้ชางป๋อทำอันใดให้ฝ่าบาททรงกริ้วได้ถึงเพียงนี้”

“ว่ากันว่าดื่มมากไปแล้วล่วงเกินฝ่าบาท” รองเจ้ากรมต้วนยิ้มเฝื่อน “ด้วยสถานะของกู้ชางป๋อ ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ แท้จริงเหตุใดจึงทำให้ต้องโทษถึงตาย ตอนนี้ก็ยังไม่กระจ่างชัด…”

สองแม่ลูกสบตากันไร้คำพูดใด ในใจราวกับมีก้อนหินกดทับไว้

ที่พวกเขาเป็นห่วงไม่เพียงแต่เรื่องแต่งงานของต้วนอวิ๋นหวา ยังคิดว่าจะพลอยโดนมาถึงจวนรองเจ้ากรมหรือไม่

เรื่องนี้ทำให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงต่างตกใจ แต่ยังไม่แพร่ไปในหมู่ชาวบ้าน ถนนหน้าร้านหนังสือชิงซงยังคงครึกครื้นดังเดิม

ซินโย่วเหม่อลอยนั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน

เดือนสามแล้ว นางกับเสี่ยวเหลียนหารือกันแล้วว่าจะไปเขาเชียนอิง จัดการกระดูกของโค่วชิงชิง

ทางใต้เท้าเฮ่อรายงานเรื่องท่านแม่ต่อคนผู้นั้นแล้วหรือยัง

ผู้ดูแลร้านหูมือวางบนลูกคิด เห็นสาวน้อยเหม่อลอยก็รู้สึกแปลกใจ

สองสามวันมานี้เจ้าของร้านมักอยู่ในโถงร้านเป็นส่วนใหญ่ คงไม่ใช่กำลังรอผู้ใดกระมัง

“ใต้เท้าเฮ่อ ไม่ได้พบท่านนานเลยขอรับ” เห็นเฮ่อชิงเซียวในชุดแดงเดินเข้ามา หลิวโจวยังคิดว่าตาฝาด รีบเข้าไปต้อนรับกระตือรือร้นอย่างยิ่ง

เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า “ไม่ได้พบกันนาน”

สายตาเขามองผ่านคนงาน ไปสบตากับสาวน้อยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน

ซินโย่วลุกขึ้นยืน นางรอเขามาตลอด แต่พอเขามาจริงๆ กลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

ใต้เท้าเฮ่อลงใต้แล้ว ได้นำหลักฐานใดกลับมาด้วยหรือไม่ คนผู้นั้นรู้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร

ซินโย่วอยากรู้จนแทบทนไม่ไหว แต่ก็กลัวว่าจะรู้

นางรู้ดีว่านางกลัวว่าความผิดหวัง

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คนผู้นั้นก็เดินผละจากหลิวโจวมาตรงหน้านาง

นางได้ยินเสียงทุ้มกระจ่างที่คุ้นเคย “ไม่เจอกันนาน คุณหนูโค่วสบายดีไหม”

ซินโย่วระงับอารมณ์ตนเอง ย่อกายให้เฮ่อชิงเซียว “ข้าสบายดี ใต้เท้าเฮ่อล่ะเจ้าคะ”

“มีบางเรื่องอยากคุยกับคุณหนูโค่ว” เฮ่อชิงเซียวไม่ได้กล่าวอ้อมค้อม

เขารู้ว่าสาวน้อยที่ดูเหมือนยิ่งสงบตรงหน้า ในใจย่อมต้องร้อนใจยิ่ง

ซินโย่วเชิญเฮ่อชิงเซียวไปที่ห้องรับรอง

แจกันลายครามฐานกว้างริมหน้าต่างห้องรับรองปักดอกซิ่งอยู่หลายก้าน บานแย้มงดงาม กลิ่นอายฤดูไม้ใบผลิลอยมา

เฮ่อชิงเซียวเหลียวมองดูทีหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว ก่อนจะหันไปนั่งลงตรงข้ามซินโย่ว

น้ำชาสองแก้ววางอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน หลิวโจวนำชาเข้ามาแล้วก็ถอยออกไป ห้องรับรองเล็กๆ เหลือเพียงสองคน ความรู้สึกห่างเหินที่ไม่ได้พบกันสองเดือนกว่าพลันเลือนหายไปได้อย่างน่าประหลาด

ซินโย่วยกแก้วน้ำชาขึ้นถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเฮ่อทูลฝ่าบาทแล้วหรือ”

“ทูลแล้ว ข้าขึ้นจากใต้มาก็นำหลักฐานและพยานเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาทแล้ว”

ซินโย่วบีบแก้วชาเต็มแรง รอคนตรงหน้าเอ่ยต่อ

เฮ่อชิงเซียวเห็นสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยของนาง เป็นความเคร่งเครียดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว นางกลับซูบลงกว่าตอนก่อนเขาไปจากเมืองหลวงมาก

เฮ่อชิงเซียวรู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าไม่ได้แสดงออก ระงับกลบเกลื่อนอารมณ์อื่นๆ ในใจลง ก่อนจะตอบว่า “วันนี้ฝ่าบาทเรียกตัวกู้ชางป๋อไปดื่มสุราที่อุทยานปัศจิม ระหว่างดื่มสุรา กู้ชางป๋อเสียมารยาทล่วงเกินเบื้องสูง ถูกโบยแปดสิบไม้ ทนไม่ไหว ได้จากไปแล้ว…”

ซินโย่วยากจะปิดบังอาการตื่นตะลึง “กู้ชางป๋อตายแล้ว?”

นางคิดไปร้อยแปด ก็ไม่กล้าคิดลงมือกับกู้ชางป๋อโดยขาดการวางแผนให้รอบคอบ แต่คนผู้นั้นเพียงแค่เอ่ยว่าเสียมารยาทล่วงเกินเบื้องสูงระหว่างดื่มสุรา ก็เอาชีวิตเขาได้

อำนาจบารมีโอรสสวรรค์เป็นเช่นนี้เอง

แต่ว่าคนผู้นี้ต้องการชีวิตกู้ชางป๋อในทันทีเช่นนี้ แท้จริงเพื่อท่านแม่ หรือว่าเพื่อพระสนมซูเฟยสองแม่ลูกกันแน่

หยุดที่กู้ชางป๋อ บางทีอาจเป็นสิ่งที่คนผู้นั้นต้องการที่สุดกระมัง

ซินโย่วกัดริมฝีปาก พยายามระงับอาการปวดร้าวใจที่กำลังแผ่ขยายลุกลามขึ้นมา ได้ยินเสียงคนตรงหน้ากล่าวเพียงว่า “ขออภัย”

“คุณหนูโค่วข้าได้เอ่ยถึงคุณชายซินต่อฝ่าบาทแล้ว”

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท