คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 678 เจ้าอาวาสน้อย นางทำตัวลับๆ ล่อๆ และหยาบคาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 678 เจ้าอาวาสน้อย นางทำตัวลับๆ ล่อๆ และหยาบคาย

เฟิงปั๋วตกใจกับการคาดเดาของฉินหลิวซี

มารเอ้อฝูผู้นั้นต้องการเป็นเทพเจ้า นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

เขามองฉินหลิวซีพลางถามว่า “หรือว่าพวกเราจะเดาผิดไป”

“ข้าก็หวังว่าข้าจะเดาผิดไป แต่ท่านลองแทนตัวเองดูสิ ถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วในที่สุดก็หนีออกมาได้ จะยอมถูกจับกลับไปคุมขังต่ออย่างนั้นหรือ ความจริงแล้วเมื่อก่อนข้าเคยคิดแค่ว่าเขาจะก่อความวุ่นวายหลังจากออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะมองแคบไปแล้ว”

ฉินหลิวซีมองทะเลสาบลวี่หูที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของทะเลสาบอันสงบนิ่ง

มีลมพัด

เฟิงปั๋วไม่มีทางโต้เถียงได้เลย

หากเป็นเขาจะเต็มใจหรือไม่ คงจะไม่หรอกกระมัง

“แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะได้เป็นเทพเจ้า” เฟิงปั๋วกล่าวพึมพำเบาๆ

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ท่านเป็นครึ่งเทพแล้ว ท่านต้องพึ่งพาอะไร และการดำรงอยู่ของเทพภูเขาเหล่านั้นล้วนต้องพึ่งพาอะไร เป็นความศรัทธา นี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”

“ความศรัทธา?”

“ใช่แล้ว ความศรัทธา ตราบใดที่มีคนเชื่อ เขาก็จะได้รับความศรัทธา” ฉินหลิวซียืนเอามือไขว้หลัง กระดิกนิ้วเบาๆ

“ถึงกระนั้น ในฐานะผู้ที่ฝึกบำเพ็ญวิชามาร เขาก็ถือว่าเป็นเพียงเทพที่ชั่วร้ายเท่านั้นกระมัง”

ฉินหลิวซีถอนหายใจ “ความศรัทธาเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก เมื่อได้รับมาท่านก็จะได้รับพลังของมัน เชื่อว่าท่านเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าชั่วร้าย ตราบใดที่มีคนเชื่อในมัน เขาก็จะสามารถดำรงอยู่ได้”

เฟิงปั๋วก้มลงมองตัวเอง เป็นเช่นนั้นจริงๆ ยิ่งมีคนเคารพบูชาเขามากเท่าใด พลังแห่งความศรัทธาก็จะหล่อเลี้ยงเขาต่อไป

“ไม่ว่าอย่างไร พวกเรายังต้องหาบันทึกประวัติศาสตร์โบราณ สำหรับพวกเราแล้วเขาถือว่าเป็นปีศาจโบราณ สิ่งที่เขารู้ย่อมมากกว่าพวกเรา หากไม่อยากถูกเขารังแก เช่นนั้นก็ทำได้เพียงดิ้นรนทำลายโอกาสที่จะกลายเป็นเทพเจ้าของเขา”

“หากการต่อสู้ดิ้นรนเป็นเพียงความพยายามที่ไร้ประโยชน์เล่า เจ้าเองก็บอกแล้วว่าเขาเป็นปีศาจเก่าแก่เมื่อหลายพันปีก่อน”

ฉินหลิวซีจ้องมองเขา “หากยกย่องอำนาจของผู้อื่นแล้วดูถูกศักดิ์ศรีของตัวเอง ท่านจะยังคงเป็นครึ่งเทพหรือ”

“ข้ากลายเป็นนักบวชอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ” เฟิงปั๋วเอ่ยอย่างลำบากใจ

“เช่นนั้นก็ฝึกบำเพ็ญ คนอื่นฝึกบำเพ็ญได้ ไยท่านจะทำไม่ได้ ขยันฝึกบำเพ็ญจนเขาหมดหนทาง”

เฟิ่งปั๋ว “?”

ช่วยพูดอะไรที่เขาเข้าใจหน่อยได้หรือไม่

เขามองฉินหลิวซี เอ่ย “เอ่ยตามตรง หากขัดขวางไม่ให้เขาเป็นเทพเจ้าไม่ได้จริงๆ จะทำอย่างไร”

ฉินหลิวซีจ้องเขา “หากขัดขวางไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะสังหารเทพ!”

เจอเทพฆ่าเทพ เจอพุทธะฆ่าพุทธะ ไม่สนว่าเขาจะเป็นใคร หากนางไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุข

เฟิงปั๋วรูม่านตาหดลง

“ใช่เจ้าอาวาสน้อยหรือไม่”

มีประโยคคำถามดังมาจากด้านหลัง

ฉินหลิวซีหันกลับไป เป็นเหยียนฉีซานที่อยู่ข้างหลังมองมาที่ตัวเองอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นนางหันกลับมา จึงรีบวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ตายจริง ข้าก็แค่มาดูสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ”

ฉินหลิวซีฉุดเขาไว้ เกรงว่าเขาจะตกลงไปในสระเพราะควบคุมแรงของตัวเองไม่อยู่ เอ่ย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามา”

เหยียนฉีซานยิ้มแย้มพลางเอ่ย “อาต้าบอกว่ามีคนอยู่ที่หน้าศาล ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ศาลหยาบคายเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร พอข้าฟังคำอธิบายของเขากลับคิดว่าเหมือนกับเจ้า พอดีกำลังว่างอยู่ก็เลยมาดูสักหน่อย ข้าเดาถูกจริงๆ ด้วย”

ฉินหลิวซี “?”

นางมองไปยังพ่อค้านามว่าอาต้าผู้นั้นที่กำลังตกตะลึง ยกมุมปากขึ้น นางทำตัวลับๆ ล่อๆ และหยาบคายหรือ

ซ้ำยังมีตาเฒ่าเหยียนอย่างเจ้ามาซ้ำเติมอีก เจ้าทำให้ข้าขุ่นเคืองแล้วรู้หรือไม่

เหยียนฉีซานย่อมไม่รู้ว่าตัวเองด่าฉินหลิวซีโดยไม่ได้ตั้งใจ หันมองซ้ายขวาแล้วไปยืนเบียดอยู่ข้างนาง เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าเอาแต่นั่งอยู่ตรงนี้ กำลังพูดคุยกับบรรพบุรุษของพวกเราอยู่หรือ ท่านบรรพบุรุษอยู่ที่นี่หรือ”

“อืม พึ่งถูกท่านเบียดออกไป” ฉินหลิวซีกล่าวอย่างเย็นชา

อะไรนะ

เหยียนฉีซานสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นประสานกันพลางเอ่ย “ฉีซานอกตัญญู ขอท่านบรรพบุรุษอย่าได้ตำหนิ”

“ท่านถอยไปเหยียบเท้าของเขาแล้ว ตอนนี้กำลังด่าว่าท่านเป็นหลานอกตัญญู”

เหยียนฉีซานเท้าแข็งทื่อ ถอยก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ได้ สีหน้าตื่นตระหนก การมองไม่เห็นนั้นเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

เฟิงปั๋วส่ายหน้า เอ่ย “เขาก็แก่ชราแล้ว เจ้าเลิกแกล้งเขาได้แล้ว”

ฉินหลิวซีสบถอย่างไม่พอใจ จ้องเหยียนฉีซาน “เขาด่าว่าข้าหยาบคาย แกล้งสักหน่อยจะเป็นไรไป”

เหยียนฉีซานมึนงงไปหมด ข้าไปด่านางตอนไหน ข้าบังอาจขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่กลัวว่านางจะให้ข้าเดินเส้นทางหยินอีกครั้งหรือ

ในไม่ช้าเขาก็นึกถึงประเด็นสำคัญออก ‘อ๋อ’ ขึ้นมาพลางตบต้นขา ตัวเองกล่าวผิดไป รีบยกมือขึ้นคำนับขอโทษ “ข้ากล่าวผิดไป ขอเจ้าอาวาสน้อยโปรดอภัยด้วย”

จากนั้นเขาก็จ้องอาต้าตาโต เจ้าอาวาสน้อยสง่างามดั่งแสงจันทร์ หยาบคายตรงไหน เจ้าตาบอดไปแล้ว

ฉินหลิวซีเอ่ย “เอาล่ะ ในเมื่อได้พบกันแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

เมื่อเหยียนฉีซานได้ยินว่านางจะจากไป ก็รีบดึงแขนเสื้อของนางไว้ “เดี๋ยวก่อน อย่ารีบไป อย่าพึ่งรีบไป หากเจ้าไม่มา ข้าก็คิดจะไปเมืองหลีสักหน่อย นี่มันบังเอิญเสียจริง”

“เรื่องอะไรหรือ”

เหยียนฉีซานจึงเอ่ย “คืออย่างนี้ บุตรเขยของสหายเก่าข้าผู้หนึ่งป่วยหนัก พบหมอมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็รักษาไม่หาย เดิมทีคิดจะไปหาเจ้าที่เมืองหลีพร้อมกับเขา แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมา สหายเก่าข้าผู้นั้นช่างโชคดีจริงๆ”

“ป่วยเป็นอะไรหรือ”

“ได้ยินมาว่ามีแผลขึ้นที่หลัง กำเริบรุนแรงมาก ทานยาไปไม่น้อย แต่ก็ไม่ดีขึ้น”

ฉินหลิวซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เห็นแกหน้าของท่านเฟิงปั๋ว ในเมื่อท่านมาแล้ว เช่นนั้นก็จะไปดูสักหน่อย”

ฉินหลิวซีเอ่ยพลางมองไปยังเฟิงปั๋ว กล่าวว่า “พวกเรายังคงต้องใส่ใจกับเรื่องนั้น ท่านกับข้าต้องค้นหาคัมภีร์ที่มีประโยชน์ดูสักหน่อยว่าจะสามารถหาวิธีได้หรือไม่ ไว้ค่อยติดต่อกันอีกทีดีหรือไม่”

เฟิงปั๋วพยักหน้า

“เช่นนั้นข้าไปก่อน” ฉินหลิวซีมองไปยังเหยียนฉีซาน “นำทางไปเถิด”

เหยียนฉีซานโค้งคำนับไปทางเฟิงปั๋ว “ท่านบรรพบุรุษ พรุ่งนี้ข้าค่อยมากราบไหว้ท่าน”

เขารีบตามฉินหลิวซีไป จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้ของตัวเองวิ่งไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อน ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะถามว่าฉินหลิวซีกับเฟิงปั๋วกำลังสืบเรื่องอะไร เขาสามารถช่วยได้หรือไม่

เดิมทีฉินหลิวซีไม่อยากบอก แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “ท่านก็ถือว่าได้เดินทางนับหมื่นลี้ ซ้ำเป็นปัญญาชนที่รู้หนังสือมากมาย เคยเห็นหรือเคยได้ยินนักเล่านิทานคนไหนพูดถึงวิธีการเป็นเทพเจ้าบ้างหรือไม่”

เหยียนฉีซานหัวเราะ เอ่ยตอบ “เทพเจ้าหรือ เจ้ากำลังพูดถึงตำนานเทพเจ้าอะไรเหล่านั้นหรือ…เอ่อ” เมื่อเขาเห็นว่าฉินหลิวซีจริงจังเป็นอย่างมากจึงตอบว่า “เจ้าจริงจังหรือ”

“ท่านเห็นว่าข้ากำลังล้อเล่นอยู่หรือ”

หากเอ่ยอย่างล่วงเกินสักหน่อย ค่อนข้างเหมือนการเอ่ยล้อเล่นอย่างจริงจังอยู่เล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเอ่ย

“ในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีวิธีเช่นนั้น แม้ว่าจะมี ก็เพียงแค่หลอกผู้คนเท่านั้น อย่าว่าแต่วิธีเป็นเทพเจ้าเลย ผู้คนเชื่อว่ามีผีมากกว่ามีเทพเจ้าเสียอีก” เหยียนฉีซานเอ่ยพลางส่ายหน้า

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “น้ำเสียงในการพูดของคนตระกูลเหยียนอย่างพวกท่านเหมือนกันหมดทุกประการ เป็นสายเลือดที่แท้จริงไม่ผิดเลยจริงๆ”

เหยียนฉีซานหัวเราะดังลั่น พานางกลับไปยังตระกูลเหยียน และพาไปพบกับหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่า กินอาหารเย็น จากนั้นก็ได้ยินข่าวจากบ่าวรับใช้

ตอนนี้สหายเก่าของเขาได้เตรียมตัวต้อนรับแล้ว

ฉินหลิวซีปฏิเสธคำแนะนำของเหยียนฉีซานที่จะให้พักค้างคืนแล้วค่อยไปตรวจในวันรุ่งขึ้น ตัดสินใจไปกับเขาในตอนกลางคืนทันที

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท