บทที่ 224 พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
บทที่ 224 พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ในวันถัดมาหลิงเยว่เพิ่งได้ยินข่าวว่าสุราปราบมารร้อยไหที่ขายออกไปเมื่อวานนี้ มีบางส่วนถูกซื้อต่อไปโดยการถูกบังคับ และถูกขโมยไป สุดท้ายมีเพียงสิบกว่าคนที่ยังรักษาสุราปราบมารเอาไว้ได้
“ท่านอาจารย์ พวกเขาช่างไร้ยางอายเสียจริง!” เหล่าลูกศิษย์ของหลิงเยว่ต่างโกรธแค้น
“ยังมีเรื่องที่ไร้ยางอายกว่านี้ ข้าได้ยินมาว่าสุราปราบมารที่ถูกขโมยไป จะถูกนำไปประมูลที่หอประมูลตระกูลโจวในอีกสามวันข้างหน้า ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด แต่ท่านพ่อของข้าบอกว่าอย่างน้อยก็ยี่สิบไห”
เซี่ยซิ่นรุ่ยเพิ่งสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของสังคมเป็นครั้งแรก
“หอประมูลตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ…” เถาวั่งรวบแขนเสื้อเข้าหากันแล้วเบ้ปากพูดด้วยความไม่พอใจว่า “พวกคนรับใช้ของหอจี้ซื่อ ช่างต่ำช้าเสียจริง”
“ไม่มีผู้ใดตายใช่หรือไม่?” หลิงเยว่กังวลกับคำถามนี้มากกว่า หากสุราปราบมารเป็นเหตุให้ผู้บำเพ็ญต้องแลกมาด้วยชีวิต นางคงไม่สบายใจนัก
“ไม่มี มีเพียงสามคนที่ได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาไม่กล้าทำอะไรมากเกินไปในเมืองนี้หรอก” จื่อเฉาอวี่ตอบ
นับเป็นเรื่องที่ดีแล้ว หลิงเยว่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที นางไม่สามารถทำอะไรได้กับเรื่องนี้ หอจี้ซื่อจงใจไม่ให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ถึงได้ทำให้นางรู้สึกทุกข์ใจเช่นนี้
หลิงเยว่จึงตัดสินใจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เช่นกัน
นางกลอกตาไปมาพลางครุ่งคิด แล้วในที่สุดจึงบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“ข้าจะบำเพ็ญสักสองวัน หากไม่มีธุระใดก็อย่ามารบกวน” หลังจากพูดประโยคนี้ออกไป หลิงเยว่จึงรีบวิ่งกลับไปยังห้องบำเพ็ญทันที ปล่อยให้เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ใหม่ของนางมองหน้ากันอย่างงุนงง
ไม่เคยเห็นหลิงเยว่ปิดร้านเพื่อบำเพ็ญวิชาหนักเช่นนี้มาก่อนเลย
ในเมื่ออาจารย์ไปแล้ว แต่ลูกศิษย์ชั้นเรียนพิเศษรุ่นแรกยังอยู่ พวกเขายังสามารถสอนศิษย์หน้าใหม่ในการหมักสุราสมุนไพร ทำลูกชิ้นหลากรส เนื้อย่าง อาหารคาวหวาน และอบขนมนานาชนิดได้…
“ช่างเป็นคนงุ่มง่ามอะไรอย่างนี้ แม้แต่จะปั้นลูกชิ้นกลม ๆ ยังทำไม่ได้”
ซีชางที่ถูกจื่อเฉาอวี่ดูถูกเหยียดหยาม “…”
“อย่าเอาแต่ดูพี่ชายเจ้า ดูในหม้อของตัวเองด้วย!” เซี่ยซิ่นรุ่ยชี้นิ้วไปยังซีหลินที่กำลังหัวเราะอย่างพึงใจ
“อืม ทำได้ดี” เถียนฉู่ฉู่ให้การยอมรับฝีมือการทำอาหารของคนไร้ความสามารถแห่งตระกูลหมิงอย่างหมิงหู
“ท่านอาจารย์หู ส่วนผสมที่ท่านเตรียมไว้ใช้นั้นผิดแล้ว ใส่เกลือมากขนาดนี้ ผู้ใดจะกินได้เล่า?”
“ท่านอาจารย์สุ่ย วิธีขจัดความเฝื่อนของสมุนไพรชิงหลิงผิดแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่”
เหล่าอาจารย์ร้อยคนต่างกระจัดกระจายวุ่นวาย แม้จะรู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่เมื่อได้รับคำสั่งสอนจากเหล่าลูกศิษย์เก่าของตนเอง แต่พวกเขาก็แก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
และยังมีความรู้สึกคุ้นเคยที่แปลกประหลาดบางอย่าง ราวกับว่าพวกเขาเคยสอนสั่งเหล่าลูกศิษย์เช่นนี้มาก่อน…
ทันทีที่ชั้นเรียนพิเศษเปิดการเรียนการสอน เหล่าลูกศิษย์ที่ได้รับการปฏิเสธต่างมารวมตัวกันประท้วงอยู่ด้านนอก พวกเขาอยากจะดูว่าเหล่าลูกศิษย์ใหม่ที่หลิงเยว่รับเข้ามานั้นมีความสามารถสักเพียงใด!
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อเห็นใบหน้าของเหล่าอาจารย์ที่คุ้นเคย
พวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
หากอาจารย์ทั้งหลายไม่สนใจหน้าที่การงานมาเรียนรู้ตำราอาหารวิญญาณพิเศษกันหมด พวกเขาจะทำอย่างไร?
ในเมื่ออาจารย์ในสำนักกว่าร้อยคนมาอยู่ที่นี่ ดังนั้น ย่อมไม่มีการเรียนการสอนที่ชั้นเรียนอื่นอย่างแน่นอน
สองวันต่อมา หลิงเยว่เสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียรแล้ว นางไม่ได้เดินออกมาจากห้องบำเพ็ญ แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในมิติเล็ก ๆ โดยให้หัวหน้าตะขาบมรกตผู้สวมชุดเกราะเต็มยศทำหน้าที่แทน
หลังจากนั้นทั้งสองจึงปรากฏตัวอีกครั้งที่หอประมูลตระกูลเซี่ย
เมื่อผู้ดูแลเห็นทั้งสองคน เขาก็ไม่สนใจแขกคนอื่นอีกแล้ว ผู้ดูแลคนนั้นรีบวิ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิงเยว่ทันที
“เป็นแขกผู้มีเกียรติ… ท่านนั้นใช่หรือไม่?”
“อืม” เสียงเด็กชายที่ทุ้มต่ำดังออกมาจากหน้ากากผ้าคลุมสีดำ
ถูกต้องแล้ว เสียงนี้ไม่ผิดแน่นอน!
ส่วนการคาดเดาก่อนหน้านี้ที่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือคุณชายหรือคุณหญิงน้อยตระกูลใดที่ปลอมตัวมาเป็นอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาคงแก่จนสมองเลอะเลือนไปแล้ว เขาช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย!
“ท่านมาครานี้ ยังคงจะขายชานั้นอยู่หรือไม่?”
“ทั้งใช่และไม่ใช่”
ผู้ดูแลที่กำลังนำทางชะงักไปเล็กน้อย คำพูดนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน?
“ครั้งก่อนคือชาแปลงกาย ส่วนครั้งนี้ข้าได้ปรับปรุงใหม่แล้ว แต่ยังขาดผู้ทดลองอยู่” คำพูดของหลิงเยว่ราวกับลูกไฟที่ระเบิดข้างหูของผู้ดูแล
ชารู้แจ้งนั้นแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของนางเองหรือ!?
ครานี้ยังมีการปรับปรุงรสชาติเพิ่มอีกอย่างนั้นหรือ!
“เมื่อครู่นี้ท่านเอ่ยว่าอย่างไรนะ ขอท่านกล่าวอีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ?”
หลิงเยว่จึงได้กล่าวซ้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น
หลังจากนั้น หลิงเยว่ก็ได้ถูกนำเข้าไปยังห้องประเมินสมบัติที่คุ้นเคยอีกครั้ง ภายในห้องนั้นยังคงมีผู้ประเมินสมบัติสามคนอยู่ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ต่างออกไปคือมีอีกสี่คนปรากฏตัวเข้ามาร่วมแย่งชิงตำแหน่งในการเป็นหนูทดลอง และยังมีลางว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกด้วย
“เวลาของข้ามีค่านัก”
ประโยคนี้ทำให้บรรยากาศที่คึกคักนั้นสงบลง ผู้ประเมินสมบัติทั้งสี่คนนั้นประลองการเสี่ยงทายกันต่อหน้าหลิงเยว่ สุดท้ายแล้ว… ท่านผู้ดูแลเป็นผู้ชนะเลิศ
หลิงเยว่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดไร้สาระ จึงมอบขวดใบเล็กแก่ผู้ดูแล
ผู้ดูแลรับมาด้วยท่าทีเคร่งเครียด จากนั้นก็นำจุกไม้ก๊อกออกด้วยใจที่ตื่นเต้นแล้วมองลงไปข้างในด้วยความกังวล ราวกับกำลังเตรียมการที่จะสำรวจชาด้านในนั้นอย่างละเอียด…
ทว่าหัวหน้าตะขาบมรกตผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวตรงปรี่เข้าแย่งชิงขวดใบนั้นอย่างรวดเร็วแล้วบังคับเปิดปากของท่านผู้ดูแลอย่างหยาบคาย ก่อนจะเทชาลงไปแล้วปิดปากเขาทันที
ท่าทีเช่นนั้นดูราบรื่นจนผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ตะลึงงัน
ผู้ดูแลเอามือไปลูบที่ลำคอ พร้อมกับเบิกตากว้าง กลิ่นหอมของชานั้นเข้มข้นยิ่งนัก แล้วมันก็กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย
เพียงชั่วพริบตา บนศีรษะของชายชรากลับปรากฏหูจิ้งจอกขึ้น แล้วใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นหัวจิ้งจอกสีน้ำตาลเข้ม จากนั้นก็เป็นลำคอ กระดูกไหปลาร้า แล้วไล่ลงมายังด้านล่าง…
จนกระทั่งสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา
บรรดาผู้ประเมินสมบัติทั้งสาม “!!!”
พวกเขากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่!?
หลิงเยว่ตกตะลึงจนตาค้าง เมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงของชาแปลงกายโฉมใหม่เป็นครั้งแรก
หัวหน้าตะขาบมรกต “…”
มนุษย์เป็นอะไรกันไปแล้ว?
ร่างมนุษย์เป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ แต่พวกเขากลับอยากจะแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์หรือ?
ผู้ดูแลเงยหน้าขึ้นก็เห็นขนสีน้ำตาลยาวของตนเอง กางกรงเล็บออกเป็นอุ้งเท้าของสุนัขจิ้งจอก หางใหญ่ฟูฟ่องส่ายไปมา ดวงตาน้ำตาลเรียวเล็กเต็มไปด้วยความสับสนและมึนงง
“สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลเก่งด้านการโจมตีด้วยเสียง ท่านลองดูเถิด”
ผู้ดูแลอ้าปาก แต่ไม่รู้จะลองอย่างไร?
“ร้องออกมาเลย” หัวหน้าตะขาบมรกตเกลียดคนโง่เขลาเป็นที่สุด
บรู๊ว!
เมื่อเสียงร้องที่แท้จริงของสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลดังออกมาจากปากของผู้ดูแล เดิมทีเสียงนั้นทุ้มต่ำแล้วค่อย ๆ สูงขึ้น ปราณในอากาศพลันเปลี่ยนเป็นใบมีดโจมตีไปรอบด้านเพราะเสียงร้องของเขาทันที
ผนังห้องที่สามารถรับมือกับผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ตอนนี้กลับพังทลายลง เผยให้เห็นแท่นทดสอบสมบัติอยู่ด้านหลังผนังพอดี
แส้เพลิงเส้นหนึ่งผุดขึ้นมาจากมือของหลิงเยว่ นางฟาดแส้ใส่สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลเข้มตัวนั้นที่กำลังมึนงงอยู่อย่างแรง แล้วส่งตัวผู้ดูแลขึ้นไปบนแท่นทดสอบสมบัติด้วยตนเอง
ผู้ดูแลร้านที่ถูกแส้เพลิงฟาดจนมึนชาไปหมด บัดนี้กลับเบิกกว้างด้วยความโกรธ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของสุนัขจิ้งจอกกลายเป็นสีดำสนิทจ้องมองหลิงเยว่ด้วยแววตาที่ดุร้าย
“กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายเต็มตัวแล้ว!” เสียงร้องอย่างตกใจของผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งดึงดูดความสนใจของสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีดำสนิทที่มองจ้องราวกับดวงตาของปีศาจทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
ทันใดนั้นเอง สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลเข้มก็พุ่งตัวเข้าใส่หลิงเยว่ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
กรงเล็บแหลมคมที่ซ่อนอยู่ใต้ขาหน้าของเขาเปล่งประกายสีดำแวววับ ฟาดฟันเข้าไปที่คอของหลิงเยว่ ในขณะเดียวกันเสียงเสียงท้องของมันก็ส่งเสียงครืดคราด แปรเปลี่ยนอากาศให้กลายเป็นพายุหมุนรัดตัวหลิงเยว่เอาไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้
“ข้าอยู่ตรงนี้”
หลิงเยว่โผล่ออกมาจากด้านหลังสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลและใช้แส้เพลิงฟาดสุนัขจิ้งจอกจนกระเด็นไป
แท้จริงแล้ว หลิงเยว่ที่ถูกรัดเอาไว้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลโกรธจนตัวสั่น กล้าดีอย่างไรถึงได้เผาขนอันงดงามของมัน ทนไม่ได้แล้ว!
เมื่อสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลเข้มกำลังจะกระโดดโจมตีหลิงเยว่ในอากาศ ร่างกายของมันก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์กลางอากาศ ผู้ดูแลที่ฟื้นคืนสติตั้งตัวไม่ทัน ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างน่าอับอาย
“!!!”
ผลของชานี้ช่าง… น่าทึ่งเหลือเกิน!