บทที่ 573 รับรอง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 573 รับรอง (1)

 

“คนที่เถียถ่ากำลังตามหาคือเธอเหรอ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางคาดเดา

 

“ไม่รู้สิ” เธอพูดอย่างไม่สนใจ ใช้มือข้างที่ว่างจับผม จากนั้นก็เสียบมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

 

“ถ้าไม่เข้ามาจะปิดแล้วนะ” เธอถอนนิ้วที่กดปุ่มเปิดประตูออก

 

“ปิดเถอะ” ลู่เซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลง

 

เธอเงยหน้าพิงอยู่บนแผ่นโลหะ เหมือนกำลังพักผ่อน

 

ลู่เซิ่งมองเห็นแหวนสีทองเข้มวงหนึ่งกะพริบแสงอยู่ระหว่างนิ้วของเธอผ่านร่องแยกของประตูลิฟท์ เหมือนจะเป็นแหวนแกนหลักที่ใช้ควบคุมชุดเกราะ

 

แหวนชนิดนี้ควบคุมชุดเกราะให้อยู่ใกล้ๆ ตัวได้ ปกติมีแต่คนที่มีชุดเกราะรับรองเท่านั้นถึงจะสวมใส่ได้

 

เห็นได้ชัดมากว่าผู้หญิงคนนี้พกชุดเกราะของจริงไว้ใกล้ๆ ตัว

 

เมื่อครู่เขาคิดจะเข้าไปในลิฟท์ แต่กลับได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่เหมือนกับกลิ่นคาวเลือดบนดาดฟ้าตึกเมื่อก่อนหน้านี้ในขณะที่เตรียมจะก้าวเท้าพอดี

 

มิหนำซ้ำบนร่างอีกฝ่ายก็ปล่อยความรู้สึกพิสดารและอันตรายออกมาอย่างเลือนรางด้วย

 

‘โลกใบนี้อันตรายเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งยืนอยู่นอกลิฟท์ ตัดสินใจว่าจะต้องหาชุดเกราะรับรองให้เร็วที่สุด

 

ไม่อย่างนั้นก็ยากจะมีพลังป้องกันตัวที่มากพอ เขาไม่อยากถูกบีบให้เอาร่างหลักออกมา จากนั้นก็ถูกกฎเกณฑ์ของโลกบังคับย้อนกลับโดยที่เพิ่งจุติมาไม่นาน

 

‘คืนนี้ต้องยกระดับพลังผสานถึงขีดจำกัด จากนั้นค่อยคิดวิธีหาเงินเพื่อซื้อชุดเกราะของตัวเอง’

 

ไม่ว่าจะเป็นเถียถ่าหรือผู้หญิงตาเดียวคนนั้น ความรู้สึกถึงพลังผสานบนร่างล้วนแข็งแกร่งกว่าเขาในตอนนี้ เถียถ่าเพียงแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเท่าไหร่

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อไม่มีชุดเกราะรับรอง เขาก็ได้แต่ใช้กายเนื้อลงมือ ซึ่งไม่มีความคุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย

 

ลู่เซิ่งยืนรออยู่หน้าลิฟท์สักพัก ค่อยหมุนตัวเดินลงบันไดไป

 

ตอนที่ลงบันไดกลับมาถึงห้องของตัวเอง ขณะกำลังจะปิดประตูก็ได้ยินเสียงของเถียถ่าเข้าไปในห้องพอดี

 

เสียงปิดประตูอย่างรุนแรงแสดงให้เห็นถึงความโกรธของเถียถ่าในเวลานี้อย่างชัดเจน

 

ลู่เซิ่งถอดเสื้อนอกออก เข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นอนหงายลงบนเตียงเพื่อผ่อนคลายร่างกาย

 

‘ดีปบลู’

 

กรอบสีฟ้าโผล่แวบขึ้นมา ก่อนจะลอยค้างอยู่ด้านหน้าเขา

 

ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย

 

‘ยกระดับมนุษย์เหล็กสามระดับ’

 

กรอบกะพริบแล้วพร่ามัวลงอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากปรับแต่งมาหลายวัน จิตวิญญาณระดับเจ้าแห่งอาวุธของลู่เซิ่งก็ได้ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บภายในทั้งหมดของร่างกายร่างนี้แล้ว แถมแก่นหยางที่ปลดความสามารถฟื้นฟูขั้นต้นก็เสริมข้อด้อยทุกประเภทให้แก่กายเนื้อแล้วเช่นกัน

 

คุณสมบัติร่างกายของเขาในวันนี้ไม่ได้อ่อนแอเท่าสี่วันก่อนอีกแล้ว

 

การฝึกฝนเป็นเวลาหลายวันได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานให้แก่กายเนื้อร่างนี้เรียบร้อยแล้ว

 

สาเหตุที่ลู่เซิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านมาตั้งหลายวัน แล้วค่อยเริ่มการยกระดับต่อ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นฐานไม่แข็งแรง

 

ถึงแม้ว่าพลังผสานจะยกระดับถึงระดับสูงๆ ได้ในระยะเวลาที่สั้นสุดขีด แต่ว่านี่ไม่สอดคล้องกับแผนการเดิมของเขา

 

สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่การยกระดับอย่างหยาบๆ หากแต่เป็นการก้าวเดินทีละก้าวๆ อย่างมั่นคง

 

พลังผสานกระโดดจากระดับกลางขั้นสามไปถึงระดับกลางขั้นสี่อย่างรวดเร็ว มนุษย์เหล็กสามระดับยกระดับถึงระดับสองขั้นสี่เช่นเดียวกัน

 

ลู่เซิ่งสัมผัสดู ครั้งนี้ร่างกายสัมผัสความรู้สึกแบกรับภาระใดๆ ไม่ได้เลย แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะปัจจัยร่างกายของจัวหลินเมื่อก่อนหน้านี้ย่ำแย่เกินไป จนกลายเป็นตัวถ่วง

 

แต่แม้จะรู้สึกผ่อนคลายถึงขีดสุด ทว่าเขาก็ยังคงเลือกยกระดับทีละขั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปรับตัวไม่ได้เนื่องจากพัฒนาเร็วเกินไป

 

ความจริงเวลานี้เขาเลือกยกระดับขึ้นทีละสองถึงสามขั้นในทีเดียวได้ แต่เพราะนิสัยที่ชอบความมั่นคง ทำให้ลู่เซิ่งเลือกจุดเริ่มต้นที่มั่นคงกว่า

 

‘จะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ เริ่มจากทีละก้าวๆ ก่อนดีกว่า’ ลู่เซิ่งจ้องมองกรอบที่พร่ามัวอีกครั้ง

 

ไม่นานกรอบก็ชัดขึ้นใหม่

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับสองขั้นห้า] พลังผสานของชุดเกราะได้รับการยกระดับถึงระดับกลางขั้นห้าแล้ว

 

จากนั้นก็เป็นการยกระดับอย่างผ่อนคลายจนถึงระดับสามขั้นหนึ่ง พลังผสานบรรลุถึงระดับโดดเด่นขั้นหนึ่งเช่นกัน

 

การเข้าสู่ระดับโดดเด่นเป็นขีดจำกัดที่เหล่าอัจฉริยะสามารถบรรลุถึงได้ ในการทดสอบทั่วไป พลังผสานที่เข้าสู่ระดับโดดเด่นได้ล้วนเรียกว่าขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์

 

แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ลู่เซิ่งก็ได้ก้าวข้ามนักเรียนเกือบทั้งหมดในโรงเรียน และไปถึงระดับสูงสุดในด้านพลังผสานเรียบร้อยแล้ว

 

พลังผสานของนักเรียนหญิงที่เขาเจอในลิฟท์เมื่อก่อนหน้านี้น่าจะอยู่ในระดับโดดเด่นขั้นหนึ่ง

 

ระดับโดดเด่นขั้นหนึ่งขั้นสองเป็นขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์แล้ว ขั้นสามถึงขั้นห้าต่อจากนั้นเป็นระดับที่มีแค่ในทางทฤษฎีเท่านั้น

 

ทว่าพลังผสานมาถึงระดับนี้ก็มากพอแล้ว ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้ มีพลังผสานสูงกว่านี้ สามารถสวมเกราะที่หนากว่านี้ได้ แต่มนุษย์ก็มีพละกำลังจำกัด ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักมากเกินไปได้ ดังนั้นระดับโดดเด่นขั้นหนึ่งจึงเป็นตำแหน่งที่สมเหตุสมผลที่สุดในเส้นโค้งด้านประสิทธิภาพต่อค่าใช้จ่าย

 

ลู่เซิ่งสัมผัสสภาพในตอนนี้ ร่างกายดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา พละกำลังยกระดับขึ้นอย่างมั่นคงเช่นกัน

 

‘ดูเหมือนร่างกายจะปรับตัวได้ไม่เลว ต่อเลย’

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับสามขั้นสอง]

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับสามขั้นสาม]

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับสามขั้นสี่]

 

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งพันสามร้อยยี่สิบหกขั้นสอง]

 

[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งพันสามร้อยยี่สิบหกขั้นสาม]

 

ลู่เซิ่งที่นอนอยู่บนเตียงสัมผัสได้ว่าอาณาเขตการขยายของพลังผสานได้ขยายไปเกือบพันเมตรแล้ว

 

‘น่าจะใช้ได้แล้ว’เขาหยุดลงทุนในพลังผสาน ระดับหลังๆ เป็นการเรียนรู้และเพิ่มความแข็งแกร่งตามวิธีของมนุษย์เหล็กสามระดับ เสียพลังอาวรณ์ไปมากกว่าพันหน่วย ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าไม่เลว

 

แต่ว่าการยกระดับพลังผสานเป็นแค่การยกระดับและกลั่นกรองความสามารถในการควบคุมสัมผัสชุดเกราะที่อยู่รอบๆ เท่านั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอย่างอื่น นี่สร้างความผิดหวังให้แก่ลู่เซิ่งที่เฝ้ารอมาโดยตลอดอยู่บ้าง

 

‘ต่อจากนี้ควรไปหาชุดเกราะที่เหมาะกับตัวเองสักที’ เขาลุกขึ้นจากเตียงพลางมองไปยังท้องฟ้า

 

ขอบเขตพลังผสานที่แข็งแกร่งทำให้เขามีความว่องไวต่อการเคลื่อนไหวในอาณาเขตมากกว่าพันเมตรรอบๆ ตัวถึงขีดสุด เสียงแมลงร้อง เสียงลม เสียงกรนและเสียงพลิกตัวของนักเรียน การไหลของน้ำในท่อ แม้แต่เสียงกระพือปีกของของยุงที่อยู่กลางอากาศไกลออกไป ก็สามารถสัมผัสได้

 

‘พลังผสานนี้เหมือนกับพลังสัมผัสอยู่บ้าง เพียงแค่เพิ่มความเร็วของปฏิกิริยาทางประสาทมากกว่าพลังสัมผัสเท่านั้น เลยทำให้คนเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าเดิม เอาล่ะ ต้องคิดวิธีหาชุดเกราะรับรองดีๆ แล้ว’ ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง พลังผสานที่ยิ่งใหญ่จนน่าเหลือเชื่อกระเพื่อมไปในอาณาเขตรัศมีพันเมตรรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางเหมือนกับหนวดไร้รูปร่าง

 

ทุกการเคลื่อนไหวในอาณาเขตนี้สะท้อนในใจของเขา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

 

หลังจากนอนหงายอยู่สักพัก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะลุกจากเตียงเงียบๆ

 

เขาที่มีมรรคายุทธ์เป็นพื้นฐานทำท่านี้อย่างง่ายดายถึงขีดสุด แต่ว่าอิริยาบถกลับติดขัดไม่เข้ากันอยู่บ้าง

 

‘ร่างกายนี้ตามการควบคุมของจิตไม่ทัน เพราะเวลาฝึกฝนสั้นเกินไป ต้องหาวิชาการต่อสู้สักสองวิชามาฝึกฝนดู’

 

ลู่เซิ่งพลิกหาในความทรงจำอยู่สักพักหนึ่ง ไม่นานก็เจอวิชาต่อสู้ที่เหมาะกับเขาที่สุด

 

‘หัตถ์พลิกเมฆาสร้างพิรุณพันแปดกระบวนหักเหมย’

 

เขารวบรวมวิชาภายนอกนี้มาจากคลังยุทธ์ของพรรควาฬแดง

 

แต่เป็นเพราะมันเป็นวิชาสายทักษะ แถมยังเป็นวิชาภายนอกซึ่งไม่ใช่แนวของลู่เซิ่ง เขาก็เลยดูดซับจดจำมันไว้เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายคลังความรู้ด้านมรรคายุทธ์ของตัวเองเท่านั้น

 

นึกไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์ในเวลานี้

 

ลู่เซิ่งใช้ความคิด ก่อนจะเห็นกรอบใหม่โผล่ขึ้นบนอินเตอร์เฟสของดีปบลูทันที

 

[หัตถ์พลิกเมฆาสร้างพิรุณพันแปดกระบวนหักเหมย: ยังไม่ได้เรียนรู้ (ทั้งหมดห้าระดับ)]

 

‘ด้วยร่างกายของเราในตอนนี้ น่าจะฝึกฝนให้สำเร็จได้ในคราวเดียว’ ลู่เซิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจ้องมองกรอบของวิชาภายนอกวิชานี้

 

‘ยกระดับหัตถ์พลิกเมฆาสร้างพิรุณพันแปดกระบวนหักเหมยห้าระดับ’

 

กรอบพร่ามัวลงแล้วชัดเจนขึ้นอีกครั้งหลังผ่านไปสองสามวินาที เป็นเช่นนี้ซ้ำกันห้ารอบ

 

ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าพลังอาวรณ์สองหน่วยหายไปจากร่างหลัก แล้วหลอมละลายเข้ากับร่างนี้แทน

 

จากนั้นมือ บ่า หน้าอก และหลังเอวของเขาก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย แถมอุณหภูมิยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

 

เขารีบใส่แก่นหยางเข้าไปในบริเวณเหล่านี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บส่วนที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากยกระดับเร็วเกินไป

 

ความรู้สึกนี้คงอยู่สิบกว่านาทีจึงค่อยๆ หยุดลง

 

ลู่เซิ่งอาศัยแสงไฟในห้อง ยกมือสองข้างขึ้น แล้วฉีกผิวกึ่งโปร่งแสงบางๆ ออกจากมือทั้งสองข้าง

 

สองมือหลังจากลอกคราบแวววาวราวกับหยก ผิวเนียนละมุนจนมองไม่เห็นเส้นใยกล้ามเนื้อแม้แต่น้อย สมบูรณ์แบบยิ่งกว่ามือของผู้หญิงเสียอีก

 

‘ไม่เลว’ ลู่เซิ่งกำหมัดอย่างพอใจ รู้สึกได้ว่าร่างกายตามการควบคุมของพลังผสานทันแล้ว

 

เขาลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อตัวนอก ก่อนจะผลักประตูออกไป

 

ด้านในระเบียงของหอพักในเวลากลางดึกว่างเปล่าไร้ผู้คน อากาศเย็นเยียบ ลมเย็นพัดอยู่เบาๆ

 

ลู่เซิ่งหลับตา ใช้พลังผสานล็อกตำแหน่งเป้าหมาย จากนั้นก็เดินลงตึกไป

 

เขาเข้าไปในลิฟท์ ก่อนจะเดินออกจากหอพักผ่านมุมอับเพื่อหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิด

 

ลมนอกหอพักเย็นเสียดกระดูก เงาต้นไม้ถูกพัดจนส่ายไหวและส่งเสียง

 

เขาเดินไปตามเงามืดระหว่างตึก เสียงเปรี๊ยะๆ ของกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในกล้องปรากฏในการรับรู้ของพลังผสาน ทำให้ลู่เซิ่งหลบหลีกกล้องวงจรปิดทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

 

เขาที่ยกระดับพลังผสานถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเป็นสัตว์ประหลาดของโลกใบนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว

 

หลังจากข้ามเขตหอพักและเขตโรงอาหารของโรงเรียน ไม่นานตอนที่กำลังเข้าใกล้สนามบาสเล็กๆ ของเขตโรงเรียน เขาก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนผมสั้นสีขาวคนหนึ่งที่กำลังเกาะช่องรั้วตาข่ายเหล็กแล้วมองไปยังด้านใน

 

เขาเหยียบเด็กสาวผมสีน้ำตาลคนหนึ่งเอาไว้ เด็กสาวเอามือกุมที่หน้าอก เลือดไหลออกมาจากปากอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งสองเหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ เพียงแต่ใช้ภาษาถิ่นของที่ไหนสักแห่ง ลู่เซิ่งจึงฟังไม่เข้าใจ

 

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในความมืด มองดูเด็กสาวคนนั้นดิ้นพล่าน คล้ายจะพูดประโยคสุดท้าย ในที่สุดก็ค่อยๆ หยุดนิ่งและเสียชีวิตไป

 

ชายผมขาวเบือนหน้าไปมองเด็กสาว ไม่ขยับตัวอยู่สักพักใหญ่ๆ

 

นี่เป็นลูกสาวคนโตของเขาและเป็นลูกสาวผู้น่าสงสารที่สาบานว่าจะฆ่าเขาทิ้งให้จงได้ เขามีลูกสาวทั้งหมดห้าสิบคน เดิมทีเขาคาดหวังในตัวลูกสาวคนโตคนนี้มากที่สุด น่าเสียดายที่สุดท้ายเธอก็ยังคงทำให้เขาผิดหวังอยู่ดี

 

“พ่ายแพ้ให้กับความรัก พ่ายแพ้ให้กับมิตรภาพ เวลาแค่สามปี ลูกกลับตกต่ำถึงขั้นนี้ ช่างน่าสงสารจริงๆ…” เขายื่นมือไปลูบผมยาวของลูกสาวคนโต

 

“ลูกคงลืมไปแล้วว่าความรักเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในตระกูลของพวกเขา เมื่อใดที่มีความรัก มีดของลูกก็จะไม่คมอีกต่อไป…”

 

ในฐานะเป็นผู้ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสามของตระกูลไป๋ซึ่งเป็นตระกูลนักฆ่า และนักฆ่าดาวจรัสขั้นสุดยอดของโลก หลังจากไป๋ซือค้นพบว่าลูกสาวมีความรัก เขาก็ตัดสินใจมาดำเนินการทำการประหารตามกฎของตระกูลอย่างเด็ดขาด

 

“นักฆ่า เป็นผู้ที่ไม่ควรมีความรัก…พวกเราต้องละทิ้งทุกสิ่ง ถึงจะได้สุดยอดทักษะมาครอง ถึงจะ…ไม่ถูกความมืดนิรันดร์กลืนกิน…” ดวงตาของไป๋ซือฉายแววเศร้าโศกอย่างล้ำลึก

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท