ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 345 ทัณฑ์สวรรค์ล่อวัว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 345 ทัณฑ์สวรรค์ล่อวัว

สวี่ชิงพึงพอใจกับการยกระดับของเจ้าเงามาก

วิชาลับที่ผสานร่างกับตนเองแล้วเปลี่ยนแปรคือสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึง

เดิมสามารถมองเป็นท่าไม้ตายได้ แตกต่างแต่ได้ผลแบบเดียวกันกับวิชาลับที่หญิงสาวชุดแดงสำแดงออกมาครั้งนั้น

เพียงแต่ของหญิงสาวชุดแดงคือการอัญเชิญวิญญาณสงครามมาประทับร่าง แต่ของสวี่ชิงคือแปรร่างกายตนเองกลายเป็นร่างฝึกบำเพ็ญกายาบริสุทธิ์

‘ตอนนี้ตะเกียงแห่งชีวิตกับพิษในตัวข้าไม่ได้เป็นความลับอะไรแล้ว ดังนั้นตอนนี้ความลับสำคัญลำดับแรกก็คือตัวตนของเจ้าเงา และอาวุธของหญิงสาวชุดแดงก็เป็นรากฐานให้ข้าด้วยเช่นกัน

‘ถ้าหากในอนาคตเจ้าเงาถูกเปิดโปง ข้าคงต้องใช้วิธีนี้มาปิดบังไว้ เช่นนี้ก็จะไม่สะดุดตาใคร

‘และความลับลำดับสอง ก็คือวิชาใต้ยมโลกรวมถึงวิชาลับนี้ของเจ้าเงา อย่างแรกไม่เท่าไร แต่ฝอย่างหลังคงต้องคิดคำร่ายบางอย่างตอนที่ต่อสู้ เช่นนี้ก็สามารถเก็บงำไว้ได้แล้ว และบางทีในอนาคตก็อาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็เป็นได้

‘ความลับสำคัญลำดับสาม ก็คือวิชาสร้างไอพลังประหลาดที่ข้ามีทั้งหมด

‘และความลับสำคัญสุดท้ายลำดับสี่ ก็ยังคงเป็นผลึกวารีสีม่วง’

สวี่ชิงเรียบเรียงความคิด หลังจากสงบมากขึ้น ก็กวาดสายตาไปยังเจ้าเงาที่สร้างโลงศพ

“ไม่รู้ว่าการยกระดับครั้งหน้า เจ้าเงาจะเปลี่ยนเป็นอะไรอีก”

การสร้างรูปร่างครั้งนี้ของเจ้าเงา สวี่ชิงเห็นว่าจะต้องมีจุดที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านี้แน่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาซักไซ้ ถึงอย่างไรเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเจ้าเงาเองก็ยังไม่ชัดเจนนัก

ตอนนี้ สวี่ชิงนึกบรรพจารย์สำนักวัชระ จึงมองไป

เวลานี้บรรพจารย์สำนักวัชระดูน่าเวทนามาก

ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม มีสายฟ้าอัสนีนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบต่อเนื่องทั่วร่างที่คอยแล่นเข้าๆ ออกๆ ในร่างกายเป็นระยะ ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระทนไม่ไหวจนกรีดร้องออกมาเป็นบางครั้ง

แต่สิ่งที่บรรพจารย์ต้องการก็คือเกียรติยศ

ขณะที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เขาเห็นสายตาท้าทายของเจ้าเงา เห็นสายตาคาดหวังของสวี่ชิง สิ่งเหล่านี้ทำให้ดวงตาบรรพจารย์เผยแววคุ้มคลั่งขึ้นทันที

ตอนนี้เขาเป็นกายวิญญาณอัสนี เดิมทียังต้องใช้เวลาชุบเลี้ยงอีกสักพักจึงจะสามารถควบรวมทัณฑ์สวรรค์จิตแปรวิญญาณออกมาได้ และเข้ารับการทดสอบชำระล้างจากการแบกรับทัณฑ์สวรรค์

แต่ตอนนี้เขาจะสนเรื่องพวกนั้นไม่ได้แล้ว จึงใช้การกลืนกินกระจกวิญญาณศัสตราแลกกับการพุ่งทะยานฉับพลัน ควบคุมพลังอัสนีทั้งหมด แหงนหน้าคำรามกราดเกรี้ยว สองมือประกบปางมือ ชี้นิ้วขึ้นเบื้องบน

“ทัณฑ์จงมา!”

พริบตาต่อมา สายอัสนีนับไม่ถ้วนก็ปะทุขึ้นมาจากตัวบรรพจารย์สำนักวัชระ ก่อเป็นแสงเจิดจ้าแยงตา พุ่งขึ้นสู่ดินโคลนเบื้องบน

สายอัสนีแล่นทะลวงดินโคลน ก่อตัวขึ้นเป็นสายฟ้าคดเคี้ยวนับไม่ถ้วนในหุบเขาด้านนอก สุดท้ายรวมกันเป็นอัสนีทอดยาวพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า

เมฆดำบนท้องฟ้าส่งเสียงครืนครันตีเกลียวม้วนอย่างรุนแรงด้วยถูกสายอัสนีทอดยาวที่ก่อตัวขึ้นทะลุทะลวง เสียงสายฟ้าครืนครันลั่นฟ้าสะเทือนดิน ฉับพลันเมฆหมอกเบื้องบนก็ฟุ้งกระจาย

จากเสียงครืนครันที่กึกก้อง สายอัสนีสีแดงหลายสายแล่นไปตามเมฆหมอก และรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นสายฟ้าสีแดงสายหนึ่ง

ราวกับพร้อมด้วยเจตจำนงที่ยิ่งใหญ่ ฟาดผ่าลงมาฉับพลัน

มุ่งสู่แผ่นดินใหญ่ มุ่งสู่หุบเขา มุ่งสู่ถ้ำใต้ดินส่วนลึกมาฉับพลัน

ขณะเดียวกันในแดนต้องห้ามกระบี่ ในป่าที่ห่างจากจุดที่พวกสวี่ชิงกำลังทะลวงขั้น นายกองกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง ทุกจุดที่แล่นผ่านล้วนแผ่ซ่านไอเย็น จนทำให้ด้านหลังทั้งหมดถูกผนึกเป็นน้ำแข็ง

สีหน้าของเขาแดงเรื่อ ดวงตาเผยประกาย ส่งเสียงหัวเราะพิกลออกมา ในมือถือผลไม้สีแดงผลหนึ่ง หัวเราะพลางกัดไปคำใหญ่

“ของดีๆ ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางไอพลังประหลาดและความชั่วร้ายขีดสุด เจ้าสิ่งนี้เติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบาก จะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อครู่ข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลเลย ฮ่าๆๆ….ให้ตาย!”

ขณะที่กำลังหัวเราะ จู่ๆ ด้านหลังเขาก็มีแสงสลัว กวาดมาจากด้านหลังตัวเขาในพริบตาราวดาบคม ต้นไม้ที่สัมผัสกับมันล้วนหักโค่นลงในพริบตา

เมื่อเข้าประชิด เห็นว่ากำลังจะตัดลำตัวของนายกอง แต่ร่างกายแปลกประหลาดของเขาก็บิดหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังตัดเส้นผมบางส่วนของเขาได้

นายกองสูดลมหายใจ โยนผลไม้เข้าปาก ขณะที่หลบหนีโดยไม่หันหน้ากลับมามอง จู่ๆ เขาก็เห็นสายอัสนีบนท้องฟ้าห่างไกล และได้ยินเสียงสายฟ้าเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนอีกด้วย ในดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง

“สมบัติอีกแล้วหรือ ไปดีหรือไม่ ข้างหลังนี่ค่อนข้างอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เกือบจะกระตุ้นหัวหน้าเผ่าพวกเขาจนตื่นขึ้นแล้ว ขี้งกเสียเหลือเกิน”

ขณะที่พูด นายกองก็ลังเล สุดท้ายก็กัดฟันเปลี่ยนทิศทาง

เขารู้สึกว่าปล่อยไปเช่นนี้ ตนเองได้เสียใจภายหลังแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไปดูเสียหน่อย ขอแค่ตนเองเร็วพอ ไม่แน่อาจยิงศรดอกเดียวได้นกสองตัวก็เป็นได้

นอกจากนี้หัวหน้าเผ่านั้น ก่อนหน้าเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะมีบาดแผลเก่าอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังมีบาดเจ็บอยู่ คิดจะฟื้นขึ้นมาคงไม่ง่ายเท่าไรนัก

ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นยังมีพวกผนึกต้องห้ามของเผ่าอื่นๆ ด้วย ราวกับว่าป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลุดออกมาได้

‘หรือเขาจะเป็นหนึ่งในลูกน้องที่เคยติดตามจักรพรรดิแดนต้องห้ามไปข้างนอกด้วย ผลลัพธ์คือถูกเผ่าต่างๆ ของเขตปกครองผนึกสมุทรเข้าผนึกหมดทุกด้าน แม้จะหนีกลับมาได้ก็ยังบาดเจ็บมาตลอด และยังถูกเผ่าต่างๆ ไล่ล่า เพิ่มระดับผนึกต้องห้าม จนทำให้แดนต้องห้ามนี้ราวกับถูกคุมขัง

‘แดนต้องห้ามกระบี่ แดนแห่งการคุมขัง?’

นายกองครุ่นคิด เขานึกชื่อเดิมอีกชื่อหนึ่งของแดนต้องห้ามนี้ เวลานี้เขาวิ่งไปพลางล้วงผลไม้สีแดงอีกผลออกมากิน

ด้านหลังเขา แผ่นดินสั่นสะเทือน ต้นไม้หักโค่น ยักษ์หกแขนกลุ่มหนึ่ง กำลังสาวเท้าไล่ตามมาด้วยโทสะ

ยักษ์เหล่านี้แต่ละตนร่างกายสูงราวสิบจั้ง ผิวสีเขียว ใบหูใหญ่โต สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือติ่งหูของพวกเขาที่ผูกกระดิ่งจำนวนมหาศาลเอาไว้ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวาน ราวกับว่ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับพวกเขา แสงสลัวก่อนหน้านี้ก็แผ่ออกมาจากกระดิ่ง

ยักษ์เหล่านี้ก็คือชนเผ่าพิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นในแดนต้องห้ามแห่งนี้

ปัจจุบันดวงตาแต่ละตนฉายแววบ้าคลั่งและจิตสังหาร ไล่ล่าไม่หยุด บรรดานี้พลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณมีนับสิบตน

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือดินแดนเผ่าด้านหลังพวกเขา หรือก็คือสถานที่ที่นายกองวิ่งออกมา เวลานี้มีกลิ่นอายการฟื้นคืนแผ่ออกมาเลาๆ

ราวกับว่ามีผู้บำเพ็ญผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งกำลังจะตื่นขึ้น

เขาเห็นสายฟ้าสีแดงที่มาพร้อมกับเจตจำนงแรงกล้านับไม่ถ้วน ปรากฏขึ้นฉับพลันจากดินโคลน ระหว่างที่ส่งเสียงครืนครันก็พุ่งตรงมาทางบรรพจารย์สำนักวัชระ

ร่างบรรพจารย์สั่นสะท้าน ส่งเสียงกรีดร้องออกมา สายฟ้าสีแดงนับไม่ถ้วนคลุมตัวเขา ขณะที่ฟาดผ่าตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ก็กระตุ้นกายวิญญาณของบรรพจารย์สำนักวัชระอีกด้วย ทำให้เกิดแสงสีแดงมหาศาลอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของเขากำลังแปรเปลี่ยนจากวิญญาณศัสตราเป็นจิตวิญญาณศัสตรา

แสงนี้แผ่ลงไปบนร่างบกพร่องของบรรพจารย์สำนักวัชระ จนทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระดูน่าอดสูเป็นอย่างมาก ลมหายใจรวยริน

แต่อัสนีสีแดงนี้ ก็ยังทำให้ดวงตาทั้งหมดของเจ้าเงาหดลงครู่หนึ่ง จดจ้องอย่างจริงจัง

แต่ไม่นานมันก็ได้สติกลับมา รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ค่อยดี จึงจ้องมองอย่างหยามหมิ่นอีกครั้ง

สวี่ชิงก็มองออกว่าอัสนีสีแดงนี้ไม่ธรรมดา จังหวะที่แสงสว่างวาบในดวงตา สายอัสนีก็แผ่ลามรางๆ เสียงกรีดร้องของบรรพจารย์สำนักวัชระแปรเป็นเสียงคำรามต่ำ ความคุ้มคลั่งในดวงตารุนแรงยิ่งขึ้น

เขาทนผ่านทัณฑ์สวรรค์ระลอกแรกได้แล้ว เวลานี้ก็นั่งลงขัดสมาธิอย่างรวดเร็ว กระตุ้นแสงสีแดงให้โคจรในร่างกาย เตรียมตั้งรับระลอกถัดไป

เพียงแต่ร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนแอมาก โอนเอนเหมือนจะล้มลง หากคิดจะผ่านพ้นทัณฑ์สวรรค์ระลอกสอง คงยากอย่างมาก

ขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด ท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนครันขึ้นอีกครั้ง ราวกับเสียงคำรามกราดเกรี้ยว จากนั้นในชั้นเมฆก็มีเส้นเลือดแผ่ลาม ทัณฑ์สวรรค์ระลอกสองฟาดลงมาฉับพลัน

อัสนีสีแดงนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นสายฟ้าสีเลือดผ่าลงมาอีกครั้ง ทะลวงผ่านพื้นดิน เห็นว่ากำลังจะฟาดผ่าลงมาที่ตัวบรรพจารย์สำนักวัชระ

บรรพจารย์สำนักวัชระเบิกตา ขณะที่แววตาสิ้นหวัง สวี่ชิงก็เคลื่อนไหว

เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าวไปอยู่เหนือบรรพจารย์สำนักวัชระ ชูมือขวาขึ้นแล้วยันขึ้นไปด้านบน

ฉับพลันฉัตรทั้งสองของเขาก็ปรากฏขึ้น ด้านนอกเปลี่ยนเป็นภาพมายาวังสวรรค์ สกัดสายอัสนี

ขณะเสียงครืนครัน สวี่ชิงร่างสะท้าน

เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากเจตจำนงแรงกล้าที่แฝงอยู่ในอัสนีสีแดงนี้ และสัมผัสได้ถึงการต้านทานของฉัตรว่ามีการหักล้างซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง

เขาคิดจะลองสูดรับ แต่ก็สูดรับไม่ได้ ไม่มีวิธีการรองรับมัน

“ทัณฑ์สวรรค์อัสนีสีแดงนี้ ทำลายทั้งจิตวิญญาณทั้งร่างกาย

“การยกระดับของโหยวหลิงจื่อ ค่อนข้างน่าสนใจ”

สวี่ชิงพึมพำ สวี่ชิงเห็นวิธีการยกระดับของวิญญาณศัสตราได้แค่จากตัวของบรรพจารย์สำนักวัชระเท่านั้น

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าบรรพจารย์สำนักวัชระฟื้นฟูบ้างแล้ว สวี่ชิงครุ่นคิด จากนั้นก้มหน้ามองบรรพจารย์สำนักวัชระ

“เจ้าจะทำต่อหรือไม่”

“นายท่าน ข้า…”

บรรพจารย์สำนักวัชระกำลังจะพูดว่าตนเองไม่ไหวแล้ว แต่สังเกตเห็นความหยามหมิ่นและจิตอริจากดวงตานับไม่ถ้วนของเจ้าเงาข้างๆ เขาก็กัดฟัน ตะโกนขึ้นว่า

“ข้าไหวขอรับ!”

สวี่ชิงพยักหน้า ถอยออกมา ไม่ขัดขวางอัสนีสีแดงที่เขาหักล้างไปแล้วกว่าครึ่ง

ดังนั้นพริบตาต่อมา เมื่ออัสนีฟาดลงฉับพลัน ก็พุ่งไปที่บรรพจารย์สำนักวัชระ

บรรพจารย์สำนักวัชระคำรามต่ำ กัดฟันเผชิญหน้า

จากสายอัสนีที่ฟาดมา ร่างกายของเขายิ่งสั่นสะท้าน หม่นหมองลงอีกครั้ง ร่างกายกำลังแตกสลาย ราวกับต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจทานรับไหว

ความรู้สึกถึงความตาย ฉายขึ้นมาในความคิดเขา

บรรพจารย์สำนักวัชระหัวเราะอย่างเวทนา เขาระมัดระวังตัวมาทั้งชีวิต จะทำอะไรก็ระแวดระวังไปหมด เมื่อไปยั่วโทสะใครเข้าก็จะทุ่มสุดกำลังโดยไม่สนว่าต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อล้างบาง หากไม่ไหวก็จะยอมย้ายสำนักเพื่อหลบหนี

ต่อให้เจออีกครั้ง เผชิญหน้ากับความเป็นความตายเขาก็จะแก้ไขปัญหาของตนเองก่อน ต่อให้ต้องคุกเข่าลงเป็นทาสก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป

แต่ตอนนี้ เขาสิ้นหวังแล้ว

ขณะที่สายฟ้าแผ่ลามไปทั้งร่างที่กำลังแตกสลายระหว่างที่สิ้นหวัง บรรพจารย์สำนักวัชระก็เปล่งเสียงหัวเราะน่าเวทนาที่บ้าคลั่งออกมา

เขาไม่ยินยอม จู่ๆ ก็เกิดความเสียดายอย่างหนักหน่วง

ที่เสียใจไม่ใช่เพราะทดสอบทะลวงขั้น

เขาเสียดายที่สมัยยังหนุ่มไม่เอาเป็นเอาตาย

ในอดีตเพื่อที่เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อ จึงไม่กล้าที่จะไปแย่งชิงทรัพยากรด้วยชีวิต ไร้หนทางก่อไฟชีวิตอย่างรวดเร็ว

เขาทำได้เพียงจินตนาการว่าตนเองกลายเป็นตัวละครหลักในปรัมปราเหล่านั้น จินตนาการว่าตนเองกลายเป็นอีกฝ่าย ที่เริ่มต้นจากมนุษย์จนกระทั่งเดินถึงยอดภูผาเมฆาคราม

“ข้าโหยวหลิงจื่อ ก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติ!”

บรรพจารย์สำนักวัชระเงยหน้า มองสวี่ชิง เอ่ยอย่าน่าสังเวท

“จอมมารสวี่ ข้าโหยวหลิงจื่อ ก็เป็นผู้มีวาสนา!”

“จอมมารสวี่ ข้าโหยวหลิงจื่อ ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสแต่กำเนิด!”

“เหตุใด…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

เมื่อระลึกย้อนเวลานี้ เขารู้สึกไม่ยินยอม แล้วคลื่นอารมณ์ก็ผันผวนอย่างรุนแรง ความสิ้นหวัง ความบ้าคลั่ง ความเสียดายตลบอบอวล โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่าตนเองกำลังจะตาย สิ่งที่เคยพูดออกมาไม่ได้ ก็ไม่สนใจอีกต่อไป

ความสิ้นหวังนี้ แปรเปลี่ยนเป็นที่สิ้นสุดเมื่อความตายเข้ามา

ความคุ้มคลั่งก็เช่นกัน ความเสียใจก็ด้วยประการนี้

สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระ ทอดถอนใจ ขณะที่จะลงมือเพื่อบรรเทา

ตอนนี้เอง ในพริบตาที่บรรพจารย์สำนักวัชระกำลังจะตายและอารมณ์รุนแรงขีดสุด อัสนีสีแดงในร่างกายเขาเหล่านั้นก็ชะงัก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกมันก็เหมือนกู่ร้องพร้อมกันในตัวบรรพจารย์สำนักวัชระ ราวกับว่าสอดคล้อง…สนองเงื่อนไข

ดังนั้นสายอัสนีเหล่านี้จึงหลอมรวมกันในร่างกายของบรรพจารย์สำนักวัชระในพริบตา หลังจากแล่นวนรอบหนึ่ง ก็ทำให้ส่วนที่สลายหายไปทั้งหมดในร่างกายบรรพจารย์สำนักวัชระกำเนิดขึ้นใหม่

แต่กลับเป็นสีแดง!

เวลานี้ร่างกายบรรพจารย์สำนักวัชระกว่าเจ็ดส่วนเป็นสีแดงเลือด ที่เหลืออีกสามส่วนเป็นปกติ นี่เป็นแสดงให้เห็นว่าการยกระดับของเขาสำเร็จไปเจ็ดส่วน

สามส่วนเป็นจิต เจ็ดส่วนเป็นวิญญาณ

ทัณฑ์สวรรค์ สลายไป

การยกระดับทั้งล้มเหลว และสำเร็จ

บรรพจารย์สำนักวัชระตกตะลึง ก้มหน้ามองร่างกายตนเอง ในดวงตาเผยประกายสับสน

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความยินดี แต่พริบตาต่อมา เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่ตะโกนออกไปก่อนหน้า ก็สีหน้าซีดขาวทันที ตึงเครียดขึ้นมา ร่างกายสั่นเทา เงยหน้ามองสวี่ชิงอย่างร้อนรน เผยสีหน้าที่แย่ยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา

“เอ่อ…นายท่าน เมื่อครู่เป็นเงื่อนไขของวิชา จังหวะที่สำคัญที่สุดตอนทะลวงขั้น จำเป็นต้องพูดเช่นนั้นถึงจะสำเร็จ…

“อันที่จริง ข้าน้อยติดตามนายท่านมาช่วงนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตข้า

“นายท่าน…อย่าไปคิดเป็นจริงเป็นจังเลยขอรับ”

เจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ เผยรอยยิ้มเจื่อน โยกร่างไปมาราวกับกำลังส่ายหัว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท