บทที่ 346 เจ้าก็มาเหมือนกันหรือ
เห็นเจ้าเงาส่ายหน้าอยู่ทางนั้น ความตึงเครียดของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยิ่งทวีขึ้นไปอีก ร่างสั่นเทิ้มขึ้นมา มองไปทางสวี่ชิงอย่างสิ้นหวัง เขารู้สึกว่าตัวเองครั้งนี้จบเห่แล้วจริงๆ
“นายท่าน…”
“ร่างกายเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงแฝงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
เสียงนี้สำหรับบรรพจารย์สำนักวัชระแล้วเหมือนกับสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ เขาดวงตาเบิกกว้าง หายใจหอบถี่ มองสวี่ชิงอย่างอึ้งตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่จอมมารสวี่ถามมาจะไม่ใช่เรื่องวาจาล้ำเส้นของตน แต่เป็นคำถามห่วงใยตน
นี่ทำให้อารมณ์ของเขาแผ่ระลอกรุนแรง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ผ่านประสบการณ์เป็นตาย จิตใจของเขาเดิมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลไม่มั่นคงอยู่แล้ว ความรู้สึกที่เกิดจากภายใต้ความยินดีและโศกเศร้าอย่างรุนแรงที่มาพร้อมกัน ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระเกิดความรู้สึกใจเต้นยากจะบรรยายอย่างหนึ่ง
เขาคิดว่าความรู้สึกใจเต้นแบบนี้เกิดขึ้นเพราะสวี่ชิง
นี่ทำให้เขานึกถึงนิยายพวกนั้นที่ตัวเองอ่านมาทั้งชีวิต มีฉากบางอย่างที่เป็นเช่นนี้ วันหนึ่งในสักเดือนสักปี ท่านใดสักท่านผู้เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ในที่สุดก็ได้พบกับผู้ติดตามซื่อสัตย์ที่จะคอยเคียงข้างไปทั้งชีวิต
ภายใต้การเป็นประจักษ์พยานของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของประวัติศาสตร์ ก็จะเป็นเสี้ยวขณะที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของบ่าวติดตามผู้ซื่อสัตย์
สวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าเหมือนจะเป็นดั่งที่ในนิยายพรรณนา ชาติที่แล้วก็เป็นนายของตน ชาตินี้ตนผ่านอุปสรรคความยากลำบากมากมายถึงจะได้พบกับเขา นี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิต
“เป็นเช่นนี้แหละ!” บรรพจารย์สำนักวัชระตื่นเต้น
ความรู้สึกเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้ในใจเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง จึงรีบพูดขึ้นว่า
“นายท่านวางใจ ข้าน้อยไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าน้อยตื่นเต้นนัก เพราะด้วยการพิสูจน์จากวันเวลา ข้าสามารถออกศึกบนสนามสังหารเพื่อนายท่าน ชาตินี้ นายท่าน ข้าจะเปิดทางให้กับท่านเอง!”
สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่ง เขารู้สึกว่าท่าทางที่แสดงออกมาของอีกฝ่ายแปลกนิดๆ แต่ว่านึกถึงสิ่งที่ประสบพบเจอตลอดทางมานี้ จึงพยักหน้า
เจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ อึ้งไปเล็กน้อย มองบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จำคำพูดเมื่อครู่ไว้ในใจ คิดว่าหลังจากนี้ก็จะพูดแบบนี้บ้าง
“การยกระดับครั้งนี้น่าจะไม่นับว่าสำเร็จอย่างสมบูรณ์กระมัง” สวี่ชิงมองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ
“นายท่าน แม้ข้าน้อยจะไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่ข้าสัมผัสได้ว่าตัวเองแตกต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว” บรรพจารย์สำนักวัชระพูดพลางยกมือขวาขึ้น ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ทันใดนั้นที่กลางฝ่ามือของเขาก็มีสายฟ้าสีแดงทางหนึ่งปรากฏขึ้น
เพียงแต่สายฟ้าทางนี้ยังอ่อนแรงนัก แต่คุณสมบัติของมันเหมือนกับพลังเคราะห์สวรรค์ที่สวี่ชิงเห็นก่อนหน้านี้ทุกประการ
“แม้จะน้อยไปหน่อย…แต่ข้าเป็นกึ่งจิตวิญญาณศัสตราแล้ว ผสานไปในเหล็กแหลมก็จะทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นมหาศาล!” บรรพจารย์สำนักวัชระมองสายฟ้าอ่อนแรงกลางฝ่ามือ ร้อนตัวเล็กน้อย รีบพูดขึ้นมา พูดจบก็ไหววูบกลับเข้าไปในเหล็กแหลมดำที่อยู่ข้างๆ คิดจะแสดงให้เห็นสักหน่อย
ทว่าในเสี้ยวพริบตาที่ร่างของเขาผสานไปในเหล็กแหลม เหล็กแหลมสีดำก็พลันสั่นสะเทือน
ในนั้นส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ออกมา อักขระสีแดงแต่ละทางๆ ปรากฏขึ้นบนนั้น ในขณะที่แผ่ลามไปไม่หยุด ก็เหมือนถูกเปลี่ยนแปลง เหล็กแหลมส่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัวออกมา
ยิ่งมีแสงสายฟ้าแต่ละทางๆ พันล้อมแลบแปลบปลาบอยู่บนเหล็กแหลม ทำให้สีของเหล็กแหลมจากสีดำเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
เห็นความไม่ธรรมดาของเหล็กแหลมที่ติดตามตนมานานหลายปี สวี่ชิงกำลังจะหยิบมาพิจารณาให้ละเอียด แต่ตอนนี้เอง บรรพจารย์สำนักวัชระก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา รอยแยกเป็นทางๆ ปรากฏบนเหล็กแหลมทันที
เสียงกร๊อบดังก้อง บนเหล็กแหลมนี้เกิดรอบแยกสามทาง รอยแยกทุกทางล้วนลึกมาก เหมือนว่าอีกเพียงนิดเดียวก็จะทำให้เหล็กแหลมแตกหักแล้ว
ภาพนี้ทำเอาสวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที คว้าเหล็กแหลมมา หลังจากจิตเทพกวาดไป สีหน้าก็ย่ำแย่เล็กน้อย และบรรพจารย์สำนักวัชระตอนนี้ก็ปรากฏตัวออกมา เอ่ยอย่างระมัดระวัง
“นายท่านของวิเศษชิ้นนี้ที่ข้าสถิตย์อยู่ ระดับต่ำเกินไปแล้ว…”
“ระดับแก่นลมปราณลงไปยังพอไหว แต่จากการที่ข้าแปรสภาพเป็นจิตวิญญาณศัสตราไปแล้วเจ็ดส่วน ก็เกินขีดจำกัดสูงสุดที่มันจะรับได้แล้ว โดยเฉพาะพลังอัสนีเคราะห์สวรรค์สีแดงนี้ ยิ่งไม่ใช่พลังที่เหล็กแหลมจะแบกรับเอาไว้ได้”
สวี่ชิงถือเหล็กแหลมเอาไว้ เงียบนิ่งอยู่นาน
วัตถุชิ้นนี้คอยอยู่เคียงข้างเขาข้ามผ่านชีวิตวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่ถ้ำยาจกก่อนหน้านี้ หรือจะเป็นหลังจากนั้น หรือจะเป็นในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด อีกทั้งในช่วงแรกที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ล้วนแต่เป็นอาวุธฆ่าคนของเขา
ในวันคืนเนิ่นนานมา เขาล้วนกำเหล็กแหลมนอน
“ตอนนี้ก็แบบนี้ไปก่อนแล้วกัน รอเมื่อกลับไปถึงสำนักแล้วข้าจะหาวิธีหลอมมันใหม่ ดูว่าจะยกระดับมันได้หรือไม่” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ เก็บเหล็กแหลมสีดำลงไป จากนั้นก็หยิบกระจกที่เป็นเศษชิ้นส่วนของวิเศษที่ได้มาจากรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่ง ให้เป็นที่สถิตย์ชั่วคราวของบรรพจารย์สำนักวัชระ
ทำทุกอย่างพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงสะบัดแขนเสื้อ เจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระก็เร้นกายอีกครั้งทันที
“ต้องไปแล้ว” ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววาบ การยกระดับของเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระครั้งนี้ก็ยกระดับกำลังรบของเขาเล็กน้อย
สำหรับการเปลี่ยนแปลงโดยละเอียด เขาเตรียมกลับไปบนเรือศึกเวทค่อยขบคิด
ที่นี่จะอย่างไรก็เป็นแดนต้องห้าม ต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งระลอกคลื่นที่สร้างก่อนหน้านี้ก็รุนแรงมาก เป็นไปได้ว่าอาจจะดึงตัวตนที่ไม่รู้บางอย่างมา สวี่ชิงจึงคิดว่าจะไปโดยทันที
นึกถึงตรงนี้ ร่างเขาก็ไหววูบ ไปตามเส้นทางตรงไปยังทางออก มือขวายกขึ้นแตะไปเล็กน้อย ก้อนหินที่อยู่ปากทางระเบิด เงาร่างสวี่ชิงก็พุ่งออกไป กำลังจะจากไปไกล
แต่ตอนนี้เอง สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป หันมองไปทางที่ไกล
สายตาที่มองไป ในป่าที่ห่างออกไปไกลลิบ ยักษ์สิ่งประหลาดสูงสิบกว่าจั้งฝูงหนึ่งกำลังคำรามไล่ล่าโจมตี ยักษ์พวกนี้ล้วนแผ่ระลอกคลื่นไม่ธรรมดาออกมา ในนั้นมีสิบกว่าตนที่มีพลังเทียบได้กับระดับแก่นลมปราณ
โดยเฉพาะในนั้นมีสองสามตนที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนเจอกับผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ห้าหกวัง รูม่านตาเขาจึงหดเล็กลง
และสิ่งที่ยิ่งทำให้สวี่ชิงต้องสูดลมหายใจลึกคือ ณ ที่ไกลออกไปนั้น มีเสียงคำรามสะท้อนก้องบนท้องฟ้า เสียงนี้สั่นสะเทือนจิตใจ คล้ายมีพลังสะกดซึ่งทุกสิ่ง น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆทะลักโหม แผ่นดินสะเทือน
เหมือนมีตัวตนอะไรบางอย่างกำลังดิ้นรน คิดจะพุ่งออกมาจากใต้ดินที่อยู่
และสิ่งที่ยักษ์เหล่านั้นไล่ล่า…คือนายกอง
สวี่ชิงมองไปเพียงแวบเดียวก็รู้ว่านายกองจะต้องทำเรื่องสวรรค์โกรธคนเคียดแค้นอะไรอีกแล้วแน่ๆ จึงถอนหายใจ หันหลังทะยานไปอย่างรวดเร็ว
ที่ไกลลิบๆ นายกองเห็นสวี่ชิงแล้วเช่นกัน ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“เจ้าก็มาเหมือนกันหรือ ที่นี่มีของล้ำค่าอะไร ให้ข้าดูหน่อย” นายกองเอ่ยเสียงดัง
“วางใจเถอะ เจ้าตัวใหญ่นั่นไม่ดิ้นหลุดออกมาง่ายๆ หรอก แม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่สถานที่ที่มันหลับใหลค่อนข้างซับซ้อน เป็นบ่อโคลนแห่งหนึ่ง มีเพียงครึ่งหัวที่โผล่ออกมาข้างนอก ข้าเห็นพันธนาการที่หลงเหลือจำนวนหนึ่งของหมื่นเผ่าพันธุ์”
นายกองกำลังพูดอยู่ ที่ไกลๆ ก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังก้อง พื้นดินเกิดรอยแยกท่ามกลางเสียงครืนครัน กลิ่นอายทรงพลังปะทุออกมา
ในขณะที่ลมกรรโชกพัดกระหน่ำเหมือนพันธนาการจะแตกไปส่วนหนึ่งแล้ว การดิ้นรนจึงยิ่งรุนแรงขึ้น
ยิ่งจากการก่อตัวของลมพายุกรรโชก ทั่วทุกสารทิศของที่นี่ก็เกิดพลังต้าน ทำให้ความเร็วของสวี่ชิงและนายกองช้าลงอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ยักษ์ที่ไล่ล่ามาพวกนั้นกลับเร็วขึ้น
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ใกล้กันเข้ามาอย่างรวดเร็วภายใต้ความเร็วที่ลดลงของฝั่งนี้และความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากฝั่งนั้น นายกองใกล้จะถูกไล่ตามมาทันแล้วเต็มที
“บ้าเอ๊ย คงไม่ได้หลุดออกมาได้แล้วจริงๆ หรอกนะ” นายกองหน้าเปลี่ยนสี เพิ่มความเร็วอย่างบ้าคลั่ง ไล่ตามสวี่ชิงไป
สวี่ชิงไม่แม้แต่จะหันไปมอง แต่มือขวาคว้าไปข้างหลังผ่านอากาศ เพิ่มแรงให้นายกอง
เสี้ยวพริบตาต่อมา ความเร็วของนายกองก็ได้รับการเพิ่มพลังให้เร็วขึ้น พุ่งทะยานมาทันที มาถึงข้างหลังสวี่ชิง
แต่พลังต้านของที่นี่แข็งแกร่งมาก ลมกรรโชกปะทะหน้า กระทั่งว่าลมหายใจของยักษ์ที่อยู่ข้างหลังสวี่ชิงก็ยังได้กลิ่น ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงปวดหัวนัก เอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้
“นายกองท่านทำเรื่องอะไรลงไปอีกแล้ว”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ก่อนหน้านี้ข้าไล่ตามมาเห็นเจ้าไม่เป็นอะไร จากนั้นข้าก็ได้กลิ่นของดี จึงไปดูสักหน่อย
“สุดท้ายเจ้าเดาซิว่าข้าเห็นอะไร ข้าเห็นเจ้าโง่กลุ่มหนึ่งกำลังหมอบกราบบูชาผลไม้ลูกหนึ่ง พฤติกรรมโง่งมเช่นนี้ ข้าย่อมต้องไปสอนสั่งชี้นำอยู่แล้ว จึงไปเอาผลไม้นั่นมา”
“จากนั้นเล่า” สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
“ก็ไม่ได้ทำอะไรแล้ว” ใบหน้านายกองเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนรู้สึกว่าแค่เอาผลไม้ลูกหนึ่งไป อีกฝ่ายกลับโมโหโกรธเคืองขนาดนี้ ทำให้เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย
นายกองกะพริบตาปริบๆ วิ่งไปด้วยเอ่ยเสียงต่ำทุ้มไปด้วย
“ไม่ได้ทำอะไรแล้วจริงๆ ก็แค่ก่อนไป…ข้าเห็นบรรพจารย์ของพวกเขามีหัวส่วนหนึ่งอยู่นอกบ่อโคลน บนหัวมีกระบี่ไม้ปักอยู่เล่มหนึ่งสวยดี ข้าจึงแทะไปคำหนึ่ง
“ไม่อร่อย!” นายกองกระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
“โอ๊ย สองคำๆ ข้าแทะไปสองคำ!” นายกองร้อนตัวพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ทะยานหนีสุดกำลัง อีกทั้งเนื่องจากหนีจนเร็วเกินหรือไม่ก็กินมากเกิน เขาจึงเรอออกมาอย่างอดไม่ได้
สวี่ชิงถอนหายใจ เขาคิดว่านายกองน่าจะกินไปหลายครั้ง ตอนนี้ก็ไม่ถามแล้ว พลังบำเพ็ญในกายปะทุ พุ่งไปข้างหน้าสุดกำลัง แต่ไม่นานนักยักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามมาทัน
ประกายเย็นเยือกในดวงตานายกองฉายวาบ ประสานปางมืออย่างรวดเร็วแล้วสะบัดไปข้างหลังอย่างแรง ทันใดนั้นแสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งก็ระเบิดขึ้นข้างหลังเขา ก่อเป็นทะเลแสงปกคลุมไปข้างหลังทันที ทุกที่ที่พาดผ่านทุกอย่างล้วนถูกแช่แข็ง
วังสวรรค์ลูกกลอนพิษในร่างสวี่ชิงก็สั่นไหวเช่นกัน แผ่พิษออกมา ปกคลุมไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่พาดผ่าน สรรพสิ่งล้วนเน่าเปื่อย
เพียงพริบตา ข้างหลังเขาก็มีเสียงโหยหวนน่าสังเวชดังขึ้น ยักษ์จำนวนหนึ่งถูกแช่แข็ง ยักษ์ทุกตนล้วนถูกพิษ เพียงพริบตาเสียงคำรามดังก้อง การไล่ล่าโจมตีจึงช้าลงอย่างอดไม่ได้
แต่ในตอนนนี้เอง เสียงคำรามโกรธแค้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากที่ไกล ขณะที่การดิ้นรนยิ่งรุนแรงขึ้นก็มีหมอกกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากตรงนั้น เหมือนพ่นลมหายใจมาทางนายกองและสวี่ชิงทางนี้ หอบม้วนครืนครัน
มาถึงในเพียงเสี้ยวพริบตา กระแทกเข้าอย่างจัง กวานสวรรค์สูงสุดของสวี่ชิงฉายประกายวาบ แต่ก็ยังคงกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายมีเสียงกร๊อบๆ จากกระดูกที่แตกร้าวดังมา
นายกองก็กระอักเลือดเช่นกัน ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ทั้งสองคนสีหน้าหวาดหวั่น ต่างสำแดงความเร็วสูงสุด หนีอย่างบ้าคลั่ง
ดีที่ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ไม่ใช่ใจกลางแดนต้องห้ามกระบี่ นับว่าเป็นเพียงบริเวณที่เข้าใกล้พื้นที่วงในเท่านั้น ดังนั้น ภายใต้ความเร็วของแต่ละคน สามชั่วยามหลังจากนั้นในที่สุดก็ฝ่าออกมาจากแดนต้องห้ามกระบี่ได้
ตลอดทางมานี้พวกเขาไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย พลังบำเพ็ญทั้งหมดทุ่มอยู่ที่ความเร็ว และในเสี้ยวพริบตาที่พุ่งออกมาได้ ในส่วนลึกของแดนต้องห้ามกระบี่ก็มีเสียงคำรามก้องฟ้า จะเห็นเงาร่างมหึมาร่างหนึ่งยืนตระหง่านขึ้นมาจากในนั้น
เงาร่างนี้สูงใหญ่นัก ต่อให้อยู่ห่างไกลมาก แต่ก็ยังมองเห็นว่าหลังจากที่มันยืนขึ้น หัวก็เหมือนจะชนกับท้องฟ้า ในขณะที่ตัวใหญ่โตชวนหวาดหวั่น ก็มีความรู้สึกกดดันน่าครั่นคร้ามแผ่มาจากทั่วทุกสารทิศ
เลาๆ เหมือนว่าจมูกของมัน…เสียหายเหี่ยวแห้งไปเล็กน้อย เหมือนว่าไม่มีปลายจมูก
ตอนนี้ท่ามกลางเสียงคำราม ยักษ์ก็ยกเท้าไล่ตามมาทางนายกองและสวี่ชิง
ทั้งสองคนหน้าเปลี่ยนสี
แต่ในตอนนี้เอง ในแดนต้องห้ามกระบี่ก็พลันมีเส้นไหมที่แฝงด้วยท่วงทำนองเต๋าแต่ละเส้นๆ ปะทุขึ้น ก่อเป็นตราผนึก ปกคลุมไปบนร่างของยักษ์ตนนี้ ทำให้มันไม่อาจดิ้นรนได้ ทำได้แต่คำรามไม่หยุด
เสียงคำรามนี้ต่อให้อยู่ห่างไกลกันมาก แต่ก็ทำให้สวี่ชิงและนายกองกระอักเลือดไม่หยุด ร่างเกิดสัญญาณปริแตก ในขณะที่พวกเขาทั้งสองหวาดหวั่นสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากแดนต้องห้ามกระบี่ พุ่งตรงไปยังเรือศึกเวท
มาถึงเรือ สวี่ชิงหายใจหอบฮัก มองจมูกของยักษ์แล้วหันไปมองนายกองอย่างพินิจแวบหนึ่ง
นายกองกระแอมไอ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“บ้าเอ๊ย ดิ้นหลุดออกมาจริงๆ แล้ว เจ้าตัวโตนี่จะต้องเป็นขุนพลใหญ่ใต้บัญชาการจักรพรรดิกระบี่เมื่อตอนนั้นแน่ พลังแท้จริงแข็งแกร่งนัก”
บนเรือศึกเวท เหยียนเหยียนมองภาพนี้ตาเบิกโพลง ปากอ้าค้าง สมองขาวโพลน
นางเหมือนจะไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า ทำไมสองคนนี้แค่ไปในแดนต้องห้ามกระบี่ครั้งหนึ่งถึงได้สร้างความวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้