ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 391 มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 391 มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง

ณ ตำหนักหย่างซิน จักรพรรดิหย่งอันลืมพระเนตรขึ้นเล็กน้อย ถามโจวซานขันทีผู้ภักดี “รัชทายาทสร้างเรื่องน่าอับอายอีกแล้วหรือ”

โจวซานโค้งตัวเล็กน้อยพูดว่า “ขันทีของพระองค์ถูกห่านของหอสุรากัดพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันผู้มีจิตใจหนักแน่น แม้จะได้ยินเรื่องนี้แล้ว บัดนี้ได้ยินอีกครายังคงอดกระตุกมุมโอษฐ์ไม่ได้

ขันทีข้างกายรัชทายาทถือว่าเป็นผู้มีหน้ามีตา แต่กลับถูกห่านตัวหนึ่งกัด ช่างเหลวไหลจริงๆ

“มีหอสุราที่บุตรสาวของลั่วฉือเป็นคนเปิดนั่นน่ะหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันเลิกพระขนงเล็กน้อย ตรัสถามว่า “เราจำได้ว่ามีขันทีข้างกายรัชทายาทเคยถูกน้ำร้อนลวกที่มีหอสุรา”

โจวซานตอบ “ขันทีคนเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรารู้แล้ว ออกไปเถิด”

โจวซานก้มศีรษะถอยออกไปที่มุมหนึ่ง หางตาปราดเห็นพระพักตร์น่าเกรงขามนั้นแล้วก็ลอบหนักใจแทนรัชทายาท

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เข้าสู่เดือนสี่ เมืองหลวงเต็มไปด้วยพืชพรรณและบุปผาหอมหวน

เหล่าบัณฑิตที่ผ่านการสอบคัดเลือกพบปะกับสหายน้อยลง พวกเขาปิดบังความตื่นเต้นและความตึงเครียดภายในไว้ด้วยความสงบภายนอก

ใกล้จะถึงการสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว หลังจากการสอบหน้าพระที่นั่งพวกเขาเหล่านี้ก็จะเป็นบัณฑิตชั้นสูงและเข้าร่วมการสอบคัดเลือกราชบัณฑิตหลวง

ถึงครานั้นพวกเขาก็ถือว่าเข้าสู่เส้นทางรับราชการอย่างเป็นทางการ กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบราชการ ถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการตรากตรำอ่านหนังสือตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ต้นพุทราหน้าหอสุราดอกบานแล้ว ต้นหลิวสองข้างทางกลายเป็นสีเขียวขจี

วันนี้เกี้ยวคันเล็กที่มีม่านสีเขียวไม่สะดุดตาหยุดลงไม่ไกลจากหอสุรา สตรีคนหนึ่งลงมาจากเกี้ยวและเข้าไปในห้องโถง

ผู้ที่มาคือโต้วหมัวหมัวที่อยู่ในตำหนักของเซียวกุ้ยเฟย ถึงเวลามาเอาไก่ขอทานแทนเซียวกุ้ยเฟยอีกแล้ว

หอสุรายังคงต้อนรับอย่างดีดังเดิม โต้วหมัวหมัวถือกล่องอาหารกลับตำหนัก

ในช่วงต้นฤดูร้อน ผู้คนมักจะเกียจคร้านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เซียวกุ้ยเฟยเอนตัวพักผ่อนบนตั่งคนงาม ปล่อยให้นางกำนัลนวดไหล่และขาของนาง

“เหนียงเหนียง โต้วหมัวหมัวกลับมาแล้วเพคะ”

เมื่อได้ยินนางกำนัลรายงาน เซียวกุ้ยเฟยก็พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน

อากาศร้อนแล้ว เทียบกับฤดูหนาวที่กินเนื้อไก่ที่นุ่มและร้อนได้สองสามคำ ตอนนี้ให้โต้วหมัวหมัวไปที่มีหอสุราเพื่อซื้อไก่ขอทานกลับมาเป็นเพราะความคิดถึงล้วนๆ

เซียวกุ้ยเฟยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากและไม่คิดว่าเป็นการสิ้นเปลือง

คนรับใช้มากมายเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องสั่งใช้ แค่ไก่ขอทานตัวหนึ่งจะสิ้นเปลืองถึงไหนกัน มิหนำซ้ำโต้วหมัวหมัวยังชอบเล่าเรื่องที่ได้ยินและพบเห็นข้างนอกให้ฟัง ถือว่านำพาความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ มาให้นางที่โดดเดี่ยวอยู่ในวังอันกว้างใหญ่

กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ นอกจากฮ่องเต้มักจะเสด็จมาหาเป็นประจำแล้วยังเชิญกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมาชื่นชมการแสดงร่ายรำและเดินเล่นในอุทยานหลวงเป็นครั้งคราว

แม้แต่เหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ ผู้เป็นภรรยาก็ยังไม่ได้เจอสามีของตนบ่อยเช่นนี้

จะบอกว่าโดดเดี่ยวได้อย่างไรกัน

แต่มีเพียงเซียวกุ้ยเฟยเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจของนางโดดเดี่ยวราวกับขี้เถ้า เปล่าเปลี่ยวและรกร้าง

บางครั้งนางคิดว่า บางทีนางคือสตรีที่ไม่รู้จักพอ ไม่มีความโปรดปรานรักใคร่และความร่ำรวยสูงส่งใดๆ ที่ทำให้นางมีความสุขได้

ในฐานะที่เป็นสตรีของจักรพรรดิแต่กลับไม่มีบุตรสักคนข้างกาย อายุยี่สิบกว่าก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของสตรีแล้ว

ตราบใดที่คิดว่าชีวิตที่เหลือจะต้องตกต่ำก็ไม่มีอะไรน่ายินดีอีก

ทุกวันนี้สูงสง่าเพียงใด ในอนาคตก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมากเท่านั้น

โต้วหมัวหมัวเดินเข้ามาเบาๆ รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเซียวกุ้ยเฟยแปลกไป เมื่อน้อมทักทายแล้วก็ยื่นกล่องอาหารให้นางกำนัลเงียบๆ

อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้น เซียวกุ้ยเฟยจึงหมดอารมณ์ถามไถ่ นางโบกมือให้โต้วหมัวหมัวออกไปและส่งสัญญาณให้นางกำนัลเปิดกล่องอาหาร

ในกล่องอาหาร นอกจากจะมีไก่ขอทานที่นอนแน่นิ่งในนั้น ยังมีขนมอีกจานหนึ่ง

“วันนี้มีอะไรหรือ” เซียวกุ้ยเฟยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

นางกำนัลเป็นคนฉลาด หลังจากพิจารณาดูแล้วก็ตอบว่า “ดูแล้วเหมือนเป็นขนมที่นึ่งมาจากพุทรายัดไส้ข้าวเหนียว ข้างบนยังราดด้วยน้ำผึ้งหอมหมื่นลี้เพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยเหลือบมอง

พุทราถูกวางเรียงเป็นรูปดอกไม้บนจานหยกสีขาว มีข้าวเหนียวอยู่ตรงกลางพุทรา สีแดงที่ตัดกับสีขาวทำให้ดูสวยงามเป็นพิเศษ

“ดูน่าอร่อย” เซียวกุ้ยเฟยชื่นชม

หลังจากนางกำนัลลองชิมแล้วก็ใช้ไม้จิ้มฟันสีเงินจิ้มพุทราลูกหนึ่งขึ้นมาถวายให้เซียวกุ้ยเฟย

เซียวกุ้ยเฟยรับไปชิมคำหนึ่ง

พุทราที่ถูกนึ่งเนื้อสัมผัสละเอียด มีกลิ่นหอมและรสชาติหวาน ข้าวเหนียวที่อยู่ตรงกลางมีกลิ่นหอมของพุทราและดอกหอมหมื่นลี้ รสหวานจางๆ ไม่ทำให้เลี่ยนเลยแม้แต่น้อย รสสัมผัสที่นุ่มทำให้คนที่ชอบทานของหวานยากที่ปฏิเสธ

เซียวกุ้ยเฟยเคี้ยวช้าๆ และกลืนลงไป รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก “พุทรายัดไส้ข้าวเหนียวนี้อร่อยกว่าขนมพุทราครั้งนั้นมาก…”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ เซียวกุ้ยเฟยก็ชะงักงัน

นางกำนัลไม่เข้าใจเหตุใดเหนียงเหนียงจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าถาม

เหนียงเหนียงดูเป็นคนอารมณ์ดี แต่ที่จริงแล้วเมื่อโมโหขึ้นมาก็ไม่เคยปรานีผู้ใด

เซียวกุ้ยเฟยที่ตกอยู่ในความตะลึงกำลังพยายามจับความคิดที่แวบผ่านมาเมื่อครู่

เหตุใดเมื่อครู่นี้นางจึงรู้สึกสั่นสะท้านนะ

เซียวกุ้ยเฟยครุ่นคิดคำพูดเมื่อครู่นี้ซ้ำไปมา

พุทรานึ่งข้าวเหนียว ขนมพุทรา…

ครั้งที่แล้วขนมที่โต้วหมัวหมัวเอามาคืออะไรนะ

ข้าวเหนียวเม็ดบัวและเนื้อปู

แล้วครั้งก่อนหน้านั้นเล่า

ขนมกุ้ยฮวา

ครั้งก่อนหน้าคือขนมถั่วลิสง

เซียวกุ้ยเฟยครุ่นคิดในใจ ขนมพุทรา ขนมถั่วลิสง ขนมกุ้ยฮวา ข้าวเหนียวเม็ดบัวและเนื้อปู และครั้งนี้พุทรานึ่งข้าวเหนียว

ตั้งแต่ขนมพุทราเมื่อเดือนสิบสองปีที่แล้ว จนถึงขนมพุทรานึ่งข้าวเหนียวในเดือนสี่ของปีนี้ แล้วเดือนห้าจะเป็นขนมอะไรนะ

ขนมถั่วลิสงหรือ

ริมฝีปากของเซียวกุ้ยเฟยสั่นเล็กน้อย แววตาของนางก็สั่นไหวไม่หยุด

หากนางไม่ได้คิดมากเกินไปและหอสุราไม่ได้ตั้งใจ นางเข้าใจความหมายที่ให้ขนมเหล่านี้มาแล้ว

มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง อีกฝ่ายกำลังบอกให้นางรีบมีบุตรผ่านวิธีการเช่นนี้!

เมื่อคิดได้แล้ว เซียวกุ้ยเฟยก็รู้สึกโมโห

ไม่สิ เรียกว่าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟมากกว่า

หากเป็นไปได้ นางไม่อยากมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองหรือ

อีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไรมาบอกนางเช่นนี้!

ภายใต้ความเดือดดาล เซียวกุ้ยเฟยก็ปัดจานหยกสีขาวจนร่วง

พุทรานึ่งข้าวเหนียวที่วางเรียงเป็นดอกไม้ร่วงลงพื้น นางกำนัลที่รับใช้ในตำหนักทั้งหวาดกลัวและเสียดาย

เหล่านางกำนัลพากันคุกเข่าลง ตัวสั่นราวกับนกกระทาที่หวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ในใจกลับสับสนอย่างยิ่ง

เมื่อครู่นี้เหนียงเหนียงยังยิ้มแย้มอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ จึงโมโหเช่นนี้นะ

หรือว่าพุทรานึ่งข้าวเหนียวมีปัญหา

นางกำนัลที่ทดลองอาหารหน้าซีดเผือด ทำท่าจะล้มลง

เซียวกุ้ยเฟยมองพุทรานึ่งข้าวเหนียวที่กลิ้งมาข้างเท้า สงบสติอารมณ์ลง

โมโหก็ส่วนของโมโห นางต้องไปถามคุณหนูลั่วให้ชัดเจน

คุณหนูลั่วไม่ใช่คนสมองกลวงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ การบอกนางเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะว่างจนเบื่อ

ด้วยฐานะของเซียวกุ้ยเฟย การเชิญลั่วเซิงเข้าวังนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย

ไก่ขอทานของมีหอสุราได้รับความชื่นชอบของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง เป็นเรื่องปกติที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงต้องการเจอคุณหนูลั่วเจ้าของของหอสุรา

ลั่วเซิงได้รับข่าวจากราชวังก็ยกมุมปากยิ้ม

แหที่หว่านไว้ตั้งแต่เดือนสิบสองปีที่แล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

วันต่อมาลั่วเซิงเลือกสวมชุดสีเขียวอ่อน นางเข้าวังอวี้หวาตามนางกำนัลที่มาเชิญและได้พบเซียวกุ้ยเฟย

“คารวะเหนียงเหนียงเพคะ ไม่เจอกันนาน เหนียงเหนียงยังทรงงดงามเช่นเคย”

เซียวกุ้ยเฟยมองเด็กสาวที่ย่อเข่าอย่างลึกซึ้งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท