รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 964 ผู้เบิกทางก็ค้นพบสุสานเหมือนกัน!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 964 ผู้เบิกทางก็ค้นพบสุสานเหมือนกัน!

บทที่ 964 ผู้เบิกทางก็ค้นพบสุสานเหมือนกัน!

“คนผู้นั้นมีฝีมือจริง ๆ สิ่งมีชีวิตมายาเรียกเขาว่าผู้เบิกทาง…”

ดวงหน้าบุรุษกล่าว นับถือตัวละครที่ล่วงรู้ความจริงอย่างมาก

“ผู้เบิกทาง สมญานามนี้เหมาะสมยิ่งนัก ถึงอย่างไรเขาก็ก้าวเดินอยู่แนวหน้าสุด เรียกว่าผู้เบิกทางได้แน่นอน”

เขากล่าวต่อ “ทว่านั่นก็นับว่าปกติ ที่นี่ถูกจำลองขึ้นมาอย่างไร้ที่ติ เดิมเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวเหลือเชื่ออยู่แล้ว หาไม่พวกเราคงไม่ฝากความหวังไว้ที่นี่!”

ดวงหน้าสตรีอ้าปาก นึกอยากพูดบางอย่าง

ทว่ายามคำพูดจะหลุดไปจากปากก็ต้องชะงัก มิได้เอ่ยออกไป

เพราะสิ่งที่นางจะกล่าวต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับความลับสำคัญ มิกล้าเอ่ยออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า

“สิ่งมีชีวิตที่นี่เป็นเพียงภาพมายา ไม่มีอยู่จริงหรือ หากลองไตร่ตรองดี ๆ พวกเขาหาได้แตกต่างจากเราไม่…”

นางเอ่ยไปประเด็นอื่น

สถานการณ์ที่นี่มีความพิเศษอย่างยิ่ง มิอาจนิยามง่าย ๆ ด้วยคำว่าอุปโลกน์ไม่มีอยู่จริง

หากต้องสาวความอย่างละเอียด พวกนั้นมิได้ต่างจากสิ่งมีชีวิตตัวจริงอย่างพวกเขา

“เรื่องนั้นยากจะนิยาม ปรมาจารย์บางท่านมีความเห็นเหมือนเจ้า มองว่าที่นี่มิได้แตกต่างไปจากเรา”

ดวงหน้าบุรุษกล่าว “อืม ถือเป็นฉบับย่อส่วน หรือเรียกว่าเป็นรูปย่อ”

สุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงมิได้ส่งเสียงอีก

พวกเขากำลังตั้งใจฟัง บทสนทนาระหว่างดวงหน้าสตรีและดวงหน้าบุรุษน่าตกใจอย่างยิ่ง สงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับความลับสำคัญบางอย่าง

ทว่าในใจพวกเขาลุกโชติไปด้วยโทสะ

เห็นได้ชัดว่าดวงหน้าสตรีและดวงหน้าบุรุษไม่เห็นพวกเขาในสายตา มิฉะนั้นคงไม่หารือเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขา

“เอาล่ะ พวกเราถอนกำลังกันเถิด ตรวจสอบสถานการณ์ของสุสานหลักแล้ว อีกสักพักค่อยกลับมาตรวจใหม่”

หลังดวงหน้าสตรีพูดจบ นางกับดวงหน้าบุรุษก็หายไป ภาพการณ์ประหลาดทั้งหลายก็สลาย กลับเป็นโลกเพียงหนึ่งใบอีกครั้ง

สุสานมโหฬารเคลื่อนที่ต่อ กลับคืนสู่ใต้ดิน

แรงฉุดรั้งจากสุสานยังอยู่ สุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงยังไม่สามารถไปไหนได้

พวกเขามองหน้ากัน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดดวงหน้าบุรุษและดวงหน้าสตรีถึงสนทนาเรื่องเหล่านั้นต่อหน้าพวกเขาโดยไม่กลัวความลับแพร่งพราย

เห็นได้ชัดว่าดวงหน้าบุรุษและดวงหน้าสตรีเห็นว่าพวกเขาไม่มีทางไปจากสุสานได้ ต้องตายอยู่ที่นี่

“ผู้เบิกทางล่วงรู้ความจริงบางอย่างได้อย่างนั้นหรือ”

นักพรตอู๋เหลียงเอ่ยเสียงเบา ระหว่างที่ดวงหน้าบุรุษคุยกับดวงหน้าสตรีมีการกล่าวถึงผู้เบิกทาง

ผู้เบิกทางท่านนั้น ‘ป่วย’ ทิ้งภัยแฝงไว้มากมาย ขณะเดียวกัน ผู้เบิกทางท่านนั้นได้จัดเตรียมรับมือไว้นานัปการ

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าหรือไม่

ตู้ม!

เวลานั้นเอง สุสานรองมากมายผละออกจากสุสานหลัก ล้อมพวกเขาจากทั่วสารทิศ

จากนั้นโลงศพอีกนับคณาเหินออกจากสุสานรอง!

โลงศพเหล่านี้มีลวดลายรูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีทั้งโลงทองสัมฤทธิ์ซึ่งมีอักขระซับซ้อนสลัก โลงศิลาดำอันมีสีดำสนิทดุจน้ำหมึก โลงผลึกแก้ววาววามสุกใส และโลงไผ่ซึ่งประกอบด้วยไผ่หลายชนิด

โลงไม้ของยายเฒ่าก็อยู่ด้วย

ตึง! ตึง! ตึง!

ลมหายใจต่อมา ฝาโลงของโลงศพเหล่านี้ไหลลงมาทั้งหมด สิ่งมีชีวิตภายในก้าวออกมา

พวกมันมีรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์แตกต่างกันไป

ศพจากโลงทองสัมฤทธิ์คือศพสัมฤทธิ์ ศพจากโลงศิลาดำคือศพหิน ศพจากโลงไผ่คือเด็กสาววัยแรกแย้ม

ร่างกายของเด็กสาววัยแรกแย้มจากโลงไผ่เน่าเปื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับเพิ่งตายไปได้ไม่นาน มิได้เน่าเปื่อยรุนแรงเฉกเช่นยายเฒ่า

นอกจากนี้ยังมีโลงศพอีกสองโลงซึ่งเป็นโลงกระดูกทั้งคู่ ภายในคืออสูรสองตัว

อสูรสองตัวนั้นเน่าเปื่อยรุนแรง ซ้ำยังมีหนอนไชศพชอนไชไปมา ดูแล้วน่าคลื่นเหียนยิ่ง

พลังปราณที่พวกมันเปล่งออกมาล้วนพิลึกกึกกือ กลิ่นอายแห่งความเป็นและความตายพัวพันอยู่ด้วยกัน บอกมิได้ว่าเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรือสิ่งมีชีวิต

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

คลื่นพลังสยดสยองซัดสาดนภา พวกมันบุกไปหาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงอย่างพร้อมเพรียง

สุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงย่อมไม่เกรงกลัว พุ่งออกไปรับศึก

หลังการต่อสู้เปิดฉาก พวกเขาเข้าใจแล้วว่าระดับความเน่าของศพเหล่านี้บ่งบอกถึงสิ่งใด

ระดับความเน่าของศพบ่งชี้ถึงพลัง

ยิ่งเน่าเปื่อยน้อยก็ยิ่งแข็งแกร่ง ผู้ที่มีความเน่าเปื่อยรุนแรงมีพลังด้อยกว่า

เด็กสาววัยแรกแย้มเน่าเปื่อยน้อยสุด ราวกับเพิ่งตายไปไม่นาน พลังชีวิตในตัวมากกว่ากลิ่นอายความตาย จึงทรงพลังที่สุด

อสูรสองตัวนั้นเน่าเปื่อยรุนแรงที่สุด จึงอ่อนพลังที่สุด

“รับมือหมัดราชันสุนัขไร้เทียมทานของข้า!”

สุนัขดำยืนขึ้น รัวหมัดไม่ยั้งโดยปราศจากความเป็นกระบวนท่า

ทว่าเมื่อมีพลังจากห่วงสัมฤทธิ์ช่วย หมัดที่มันปล่อยออกไปแกร่งกล้าเหลือแสน!

อสูรตัวหนึ่งแหลกเหลวเพราะมัน ร่างกายอันเน่าเปื่อยระเบิดย่อยยับ

อีกด้านนักพรตอู๋เหลียงปล่อยศาสตราทั้งหมดในตัวออกมา สำแดงพลานุภาพยิ่งใหญ่ ต่อสู้อย่างดุเดือด

ยอดศาสตราทั้งเก้ายกระดับขึ้นมาแล้ว ดาบใหญ่เล่มหนึ่งฟันลงไปบนศพสัมฤทธิ์ ผ่าศพสัมฤทธิ์เป็นสองท่อน!

ค้อนใหญ่ด้ามหนึ่งกระหน่ำลงมา ศพหินแหลกเหลวไปครึ่งร่าง!

ศพของเด็กสาววัยแรกแย้มไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง นางสามารถต้านการโจมตีจากยอดศาสตราชิ้นหนึ่งได้ ซ้ำยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ กำราบยอดศาสตราชิ้นนั้นลง

แสงพิศวงไหลเวียนอยู่ทั่วกายของนาง ดวงหน้างามพริ้มเพรายิ่งทวีความน่ากลัวเมื่อมีแสงพิศวงเช่นนี้ทาบทับ

“ข้าช่วยเจ้าเอง!”

ผู้ยินดีส่งเสียง บุกไปหาศพเด็กสาว ช่วยปราบศพเด็กสาวร่วมกับยอดศาสตราที่ต่อกรกับนางอยู่

ยอดศาสตราสองชิ้นโจมตีพร้อมกัน ศพเด็กสาวเริ่มพบแรงกดดัน มิได้มีท่าทีสบายอย่างเก่า

สุนัขดำจัดการอสูรอีกตัวเรียบร้อย

มันไม่ได้เข้าไปประมือกับศพเด็กสาว หากแต่เพ่งเล็งยายเฒ่า

ยายเฒ่าเดนตายผู้นี้เอาแต่เย้ยหยันดูหมิ่นมันกับนักพรตอู๋เหลียงเมื่อก่อนหน้า มันผูกใจเจ็บอยู่ ไม่มีทางยอมปล่อยยายเฒ่าไปง่าย ๆ!

มันบุกไปหายายเฒ่าอย่างรวดเร็ว หิ้วคอยายเฒ่าขึ้นมากระหน่ำอัด

“ตาไม่ดีใช่หรือไม่ ข้ารักษาให้เอง!”

มันบีบคอยายเฒ่า โจมตีดวงตาของยายเฒ่าไม่หยุด

ก่อนนี้ยายเฒ่าเย้ยหยันดูแคลนพวกเขาด้วยสายตา

“ไม่มีประโยชน์! ข้าไม่มีทางตาย! ทว่าพวกเจ้าถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องจบชีวิตลง!”

ยายเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

เมื่ออยู่ท่ามกลางสุสาน นางย่อมไม่เป็นไร ต่อให้สูญสลายอย่างสิ้นเชิงเพียงใดก็สามารถปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

ที่นี่เป็นสุสานแบบพิเศษ โดยเฉพาะสุสานหลักซึ่งประทับร่องรอยของนางไว้แล้ว นอกเสียจากสุสานระเบิดทั้งแห่ง หาไม่แล้ว นางย่อมไม่มีวันหายไป

ส่วนครั้นจะระเบิดสุสานทั้งแห่งให้สิ้นซากนั้นเป็นไปไม่ได้!

อย่าว่าแต่สุนัขดำกับนักพรตอู๋เหลียงเลย ต่อให้เป็นผู้เบิกทางท่านนั้นก็ทำมิได้!

ใช่แล้ว

ผู้เบิกทางท่านนั้นค้นพบสุสานเช่นกัน ซ้ำยังล่วงรู้ความจริงทั้งหมดจากที่นี่

ทว่ากระทั่งผู้เบิกทางท่านนั้นก็มิอาจแผ้วพานสุสาน ลงท้ายก็ต้องกลับไปด้วยความพ่ายแพ้

พรวดดด!

ยอดศาสตราทั้งเก้าสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ ศพทั้งหลายถูกทำลายทั้งหมด ทว่าเป็นดั่งที่ยายเฒ่าว่า ศพเหล่านี้ที่ถูกทำลายไปปรากฏออกมาใหม่อีกครั้งทันทีในลมหายใจต่อมา!

มิหนำซ้ำพวกมันยังรักษาสภาพไว้ได้อย่างดีเยี่ยม กำลังรบไม่ลดทอนลงเลย!

“ฆ่าเลย ฆ่าข้าเลย!”

ยายเฒ่าตะโกนใส่สุนัขดำอย่างไม่เกรงกลัว

“โอหังอะไร! ถึงฆ่าเจ้าไม่ตาย ก็มีวิธีจัดการเจ้าอีกมาก!”

สุนัขดำแค่นเสียงเย็น “สหายน้อยนามต้าเต๋อของข้าชื่นชอบผู้ที่เป็นอย่างเจ้าที่สุด!”

มันมิได้ลงมือปลิดชีพยายเฒ่า เพราะรู้ว่าฆ่ายายเฒ่าไปก็ไม่เป็นไร มันกำราบยายเฒ่าแล้วพากลับไปให้ต้าเต๋อจัดการก็ได้

เก้าศาสตราวิเศษรับรู้ถึงปัญหาแล้วเช่นกัน หลังแน่ใจว่าไม่อาจสังหารศพเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ พวกมันมิได้ลงมือเพื่อปลิดชีพอีก หากแต่กำราบศพเหล่านี้ลง

ตู้ม!

เวลานั้นเอง สุสานรองที่เหลือต่างผละออกจากสุสานหลัก จากนั้นโลงศพมากมายบุกออกมา เรียกได้ว่าออกมาเริงระบำกันถ้วนหน้า พากันบุกไปหาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียง

ในหมู่พวกมันมีโลงศพหนึ่งเตะตาเป็นพิเศษ

โลงศพนี้เป็นโลงซ้อนโลง ภายนอกเป็นโลงศพใหญ่ ภายในมีโลงศพเล็ก

ภายในโลงศพคือมังกรทองตัวหนึ่ง มิได้เน่าเปื่อยแม้แต่น้อย เสมือนมังกรทองที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ เปล่งประกายทองอร่าม เจิดจ้าแยงตาเป็นที่สุด

มันทรงพลังดุดัน หลังปะทะดุเดือดกับยอดศาสตราทั้งเก้าก็กระเทือนยอดศาสตราทั้งเก้าจนกระเด็นออกไป!

“กำลังรบเหนือขอบเขตอิสระอย่างนั้นหรือ!”

“ฟื้นคืนชีพหรือ?!”

น้ำเสียงของเก้ายอดศาสตราเคร่งเครียด มังกรทองตัวนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ พวกมันยังไม่มั่นใจเลยว่าสามารถกำราบมังกรทองตัวนี้ได้

พลังชีวิตบนตัวมังกรทองเข้มข้นยิ่งนัก กระนั้นยังมีกลิ่นอายแห่งความตายหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ไม่เด่นชัดเท่าใด บางครั้งอาจมีกลิ่นอายนั้นรั่วไหลออกมาสักเสี้ยว

สุสานรองที่มันอยู่ติดกับสุสานหลัก ดูท่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากสุสานหลัก

โฮก!

มันแหงนหน้าคำราม ส่งเสียงร้องอย่างมังกร สยดสยองถึงขีดสุด เก้าศาสตราที่บุกออกไปอีกครั้งกระเด็นออกไปทันที!

จากนั้น มันบุกไปหาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียง!

“ไส้เดือนน้อยอย่าได้กำแหง!”

สุนัขดำคำรามเสียงเย็น บุกอยู่ข้างหน้าสุด ต่อสู้ดุเดือดกับมังกรทอง!

ห่วงสัมฤทธิ์บนคอมันส่องประกาย พลังมหาศาลหลั่งไหลสู่ร่างมัน นี่คือห่วงสัมฤทธิ์ที่คุณชายตีขึ้นเพื่อมันด้วยตนเอง บนนั้นมีอักษรสลักว่า…เสี่ยวเฮย

ตู้มมม!

เสียงระเบิดดังต่อเนื่อง การต่อสู้ระหว่างสุนัขดำกับมังกรทองมาถึงจุดเดือดในช่วงเวลาสั้น ๆ สุนัขดำผู้มีพลังห่วงสัมฤทธิ์เกื้อกูลดุดันเป็นพิเศษ ปะทะซึ่งหน้ากับมังกรทองได้อย่างไร้รอยขีดข่วน!

“นี่มันห่วงสัมฤทธิ์เช่นไรกัน?!”

“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”

ศพทั้งหลายถอยไปอีกด้าน จ้องมองห่วงสัมฤทธิ์บนคอสุนัขดำด้วยสายตาตะลึง

พวกมันต่างมองออกว่าพลังของสุนัขดำมาจากห่วงสัมฤทธิ์

พลังของห่วงสัมฤทธิ์นี่เองที่ช่วยให้สุนัขดำสามารถต่อกรกับมังกรทอง

เรื่องนี้เป็นผลให้พวกมันอึ้งงัน ห่วงสัมฤทธิ์เล็ก ๆ แฝงไว้ด้วยพลังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ต้องรู้ว่ามังกรทองมิได้แค่อยู่เหนือขอบเขตอิสระ แต่ยังเป็นผู้มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมัน มีสัมพันธ์แนบแน่นที่สุดกับสุสานหลัก กำลังรบนั้นเกินหยั่ง

ทว่าห่วงสัมฤทธิ์เล็ก ๆ นี่กลับช่วยให้สุนัขดำมีกำลังรบพอจะสู้กับมังกรทอง มิให้พวกเขาอึ้งได้อย่างไร

“เจ้าหมาน้อยสู้เขา!”

นักพรตอู๋เหลียงตะโกนส่งกำลังใจเพิ่มความน่าเกรงขามให้สุนัขดำ

ทว่าความสนใจของเขามิได้อยู่ที่สุนัขดำทั้งหมด เขาคอยระแวงด้านสุสานหลักอยู่ตลอด

จนบัดนี้สุสานหลักยังมิมีท่าทีใด ๆ

แต่เขารู้ดีว่าในสุสานหลักคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในที่แห่งนี้ หากต้องลงมือกันจริง ๆ ย่อมต้องน่าครั่นคร้ามอย่างมากแน่นอน!

หากไม่รู้จักป้องกัน เขากับสุนัขดำต้องเสียเปรียบมหันต์แน่

‘คุณชายไร้เทียมทาน!’

เขาเอ่ยในใจ เตรียมพร้อมเรียกอัตประวัติโจรปล้นสุสานเล่มนั้นออกมาทุกเมื่อ

นี่เป็นบทประพันธ์ที่คุณชายเขียนขึ้นเอง ก่อนนี้เคยสำแดงฤทธิ์น่าสะพรึง สะกดสุสานมโหฬารนี้ไว้

เขาเชื่อว่าตำราเล่มนี้สามารถต่อกรกับสุสานหลักได้

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท