บทที่ 580 วางแผน (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 580 วางแผน (2)

 

ลู่เซิ่งเตร็ดเตร่อยู่บนถนนสักพัก ไม่นานก็เจอสมาชิกกำปั้นเหล็กที่กำลังดื่มเหล้าและคุยโวสองคน เขาเดินตามสองคนนี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเจอสาขาของกำปั้นเหล็กในเขตนี้อย่างรวดเร็ว

 

เทียบกับการร่วมมือกับตระกูลซาแล้ว การสยบสาขาของแก๊งกำปั้นเหล็กง่ายดายกว่ามาก ลู่เซิ่งฆ่าสมาชิกที่ขัดขืนสามคน และหลังจากทำลายอาวุธขนาดเล็กอย่างปืนพกและปืนกลมือสิบกว่ากระบอก ก็ทำให้แอนดี้กำปั้นแดงซึ่งเป็นหัวหน้าของที่นี่ ‘ยอมรับ’ ได้

 

จากนั้นก็ฆ่าจอมปัญหาที่ไม่เชื่อฟังหลายคน ก่อนจะแสดงความเกี่ยวข้องกับซากรุ๊ป

 

ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง รวมถึงเงินและฉากหลัง ลู่เซิ่งจึงกลายเป็นลูกพี่ของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมทันที

 

ต่อจากนั้นเขาก็ส่งคนไปรับอวี๋ชามา พร้อมกับมองหาร้านที่ใช้ซื้อและประกอบชุดเกราะได้จากทั่วทั้งเมือง

 

แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ มีการควบคุมเข้มงวดเกินไป ขุมกำลังธรรมดาอย่างสาขาของแก๊งกำปั้นเหล็กจึงไม่มีช่องทางในการหาอาวุธควบคุมอย่างชุดเกราะมากเท่าไหร่

 

สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ทรัพยากรชุดเกราะเพียงน้อยนิดเหมือนกับตักน้ำแก้วหนึ่งไปดับไฟที่กำลังไหม้รถอยู่

 

แม้ในโรงเรียนแพลตินัมจะได้ชุดเกราะคนละชุด แต่นั่นเป็นสถานที่ที่รัฐบาบใช้บ่มเพาะคนมีความสามารถ จึงแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง

 

ขุมกำลังภายนอกจำนวนไม่น้อยมีชุดเกราะซ่อนไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่สามารถเทียบกับรัฐบาลได้ก็เท่านั้น

 

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงได้เทอคอยน์มามากมายในตอนที่วางชุดเกราะสำหรับนักเรียนเป็นหลักประกัน

 

สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะการจำกัดทักษะของรัฐบาล

 

ในสถานการณ์ที่หาไม่ได้จริงๆ ลู่เซิ่งได้แต่พึ่งพาซากรุ๊ปในการรวบรวมวัสดุและชิ้นส่วนประกอบจำนวนมาก

 

ซากรุ๊ปสมกับเป็นบริษัทใหญ่ระดับสุดยอด ใช้เวลาแค่สองวันก็รวบรวมชิ้นส่วนและทรัพยากรทุกรูปแบบที่เพียงพอให้คนมากกว่าร้อยคนติดอาวุธและชุดเกราะเต็มยศได้แล้ว

 

ลู่เซิ่งเริ่มดำเนินการเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นครั้งที่สองให้แก่ชุดเกราะรับรองของตัวเอง

 

แม้ชุดเกราะรับรองจะเป็นเหมือนกระดานว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรสักอย่าง แต่ในฐานะชุดเกราะพื้นฐาน มันถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเกราะทหาร

 

ถึงอย่างไรก็กำลังรีบอยู่ ลู่เซิ่งจึงคร้านจะเปลี่ยน เขาให้คนของกำปั้นเหล็กคุ้มครองอวี๋ชา จากนั้นตนก็ตั้งสมาธิทั้งหมดไว้ที่การประกอบชุดเกราะ

 

 

โรงงานปรับเปลี่ยนของซากรุ๊ป

 

ยักษ์ที่สูงถึงสิบกว่าเมตรตั้งตระหง่านอยู่ที่ส่วนลึกสุดของโรงงานอย่างเงียบสงบ

 

ลู่เซิ่งกับซาเจี๋ยยืนมองดูชุดเกราะยักษ์ชุดนี้อยู่ในห้องมอนิเตอร์โดยไม่พูดอะไรสักอย่างเดียว

 

“การประกอบเกราะกันกระสุนชุดที่ 1022 สำเร็จแล้ว ขอให้หมายเลขสิบสองรีบประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มการประกอบเกราะชุดต่อไป”

 

เสียงอิเล็กทรอนิกส์สะท้อนในโรงงานเป็นระยะ

 

ซาเจี๋ยละสายตาสงสัยกลับมากวาดมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง

 

“สร้างชุดเกราะแบบนี้ไปจะมีความหมายอะไร ในโลกใบนี้ไม่มีใครสวมได้หรอก มิหนำซ้ำแม้ว่าเกราะกันกระสุนทั่วไปจะไม่ได้มีการจำกัดการนำเข้าส่งออก แต่ถ้ามีเยอะเกินไป ก็จะดึงดูดคามสนใจอยู่ดี” ในที่สุดซาเจี๋ยก็อดเอ่ยถามไม่ได้

 

“ช่วยไม่ได้ ช่วงหลังๆ วัสดุที่ใช้ทำเกราะกันกระสุนทั่วไปเพิ่มเป็นสิบกว่าเท่าของตอนแรกแล้ว ฉันเลยได้แต่ขอให้ซากรุ๊ปของพวกนายมาทำรายการนี้ให้เสร็จ” ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบคำถามของเขา

 

“กำปั้นเหล็กก็มีโรงงานทำชุดเกราะง่ายๆ เหมือนกันนี่” ซาเจี๋ยเตือน

 

“ที่นั่นเล็กเกินไป เล็กกว่าโรงเรียนเสียอีก ใช้ไม่ได้หรอก” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “จริงสิ เงินทุนในขั้นต่อจากนี้มาถึงหรือยัง”

 

“พ่อโอนมาแล้ว” ซาเจี๋ยพยักหน้า ในใจอดฮึกเหิมไม่ได้เมื่อหวนนึกถึงประสิทธิผลดุจปาฏิหาริย์ของลู่เซิ่งในตอนนั้น

 

ไม่มีใครไม่อยากเติบโต เขาซาเจี๋ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน ดังนั้นตอนที่ลู่เซิ่งทำให้ผมหงอกของซาลัวน่ากลายเป็นผมสั้นสีดำสนิท ใจของเขาก็ตึงขมวดเหมือนกับรอยย่นที่หายไปของซาลัวน่า

 

“อีกสักสองสามวันฉันจะออกไปด้านนอกสักครั้ง” ลู่เซิ่งโพล่งขึ้น

 

“ด้านนอกหรือ”

 

“ช่วงนี้ได้ข้อมูลข่าวสารมาส่วนหนึ่ง มีบางจุดที่ค่อนข้างน่าสนใจ เลยคิดจะไปจัดการด้วยตัวเองสักหน่อย”

 

ลู่เซิ่งได้ดำเนินการทำสถิติในเมืองสิบกว่าเมืองที่อยู่ใกล้ๆ เมืองแพลตินัม โดยทำรายชื่อของคนที่มีส่วนช่วยเหลือต่อตัวเองได้มากที่สุดออกมา

 

เขาออกไปในครั้งนี้เพื่อ ‘โน้มน้าว’ ให้คนเหล่านี้เลือกทำงานให้เขา

 

ในหมู่คนเหล่านี้ บางคนมีสถานะพิเศษอยู่บ้าง ทำให้เขาต้องไปเชิญด้วยตัวเอง

 

“ถ้านายไปแล้วชุดเกราะนี้จะทำยังไงล่ะ” ซาเจี๋ยพลันตาค้าง

 

“ประกอบวัสดุเกราะที่ประกอบได้ลงไปให้หมด แล้วเชื่อมด้วยความร้อนสูง จากนั้นให้รอฉันกลับมา” ลู่เซิ่งชี้แนะอย่างเรียบง่าย

 

“ตกลง” ซาเจี๋ยพยักหน้า

 

ลู่เซิ่งมองชุดเกราะยักษ์ที่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งสุดท้าย ความสูงสิบกว่าเมตร ใกล้เคียงกับเกราะจักรกลในความทรงจำแล้ว

 

แต่สำหรับพลังผสานที่สูงถึงพันเมตรของลู่เซิ่ง การควบคุมแค่นี้ไม่ต่างจากการวางกระดาษสิบกว่าแผ่นลงบนตัว

 

หลังจากทดสอบความยาวและความแข็งแกร่งของชุดเกราะชุดนี้เสร็จ ลู่เซิ่งก็ยืนยันอีกครั้งเป็นรอบสุดท้าย แล้วโยนชุดเกราะชุดนี้ลงไปในก้นทะเลสาบนอกชานเมืองหลังประกอบเสร็จ

 

จากนั้นเขาก็ส่งคนไปติดเกราะชั้นนอกลงบนชุดเกราะชุดนี้ต่อที่ใต้น้ำ

 

พวกช่างมือดีที่ได้รับคำสั่งต่างนึกว่าเขาบ้าไปแล้ว หนักขนาดนี้แล้วยังจะเติมเข้าไปอีก แต่คำขอของลู่เซิ่งก็คือคำขอของซากรุ๊ป เลยไม่มีใครไม่กล้าทำตาม เหล่าพนักงานต่างก็ทำงานล่วงเวลา

 

“สู้ๆ ล่ะ ฉันหวังพึ่งนายนะ” ลู่เซิ่งตบบ่าซาเจี๋ย ก่อนจะหมุนตัวจากไป

 

ซาเจี๋ยทำหน้าไร้อารมณ์ ในใจไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ขณะจ้องมองชุดเกราะยักษ์ในโรงงาน

 

ลู่เซิ่งออกจากโรงงาน กลับไปถึงเขตเชอร์รี่ จากนั้นก็ผ่านร้านขายหนังสือร้านหนึ่งในตอนไปถึงสาขาของกำปั้นเหล็ก

 

ในตู้โชว์ของร้านขายหนังสือมีหนังสือหลากหลายประเภทที่สำหรับโชว์วางอยู่

 

ลู่เซิ่งเพียงกวาดตามองดูเท่านั้น แต่กลับเห็นหนังสือเล่มหนาทำจากหนังสีเหลืองเล่มหนึ่งเข้าทันที

 

‘ว่าด้วยต้นกำเนิดและสำนักของวิชาจิตบำบัด’

 

‘วิชาจิตบำบัด…นี่มันเป็นการสะกดจิตเพื่อรักษานี่นา’ ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ

 

เขาหมุนตัวแล้วผลักประตูเข้าร้านขายหนังสือร้านนี้

 

ตอนที่ออกมาอีกครั้ง ในมือก็มีหนังสือเล่มหนาเล่มนี้เพิ่มมา

 

ลู่เซิ่งเดินกลับพลางพลิกอ่านเนื้อหาในหนังสือไปด้วย เขาข้ามอารัมภบทและคำนำที่เหมือนกับคำพูดไร้สาระส่วนใหญ่ ไปอ่านเนื้อหาที่บอกว่าจะโน้มนำให้ผู้ป่วยเข้าสู่สภาพรักษาทางจิตใจได้อย่างไร

 

หนังสือหนามาก ด้านในยกตัวอย่างวิธีการไว้หลายวิธี โดยใช้เสียง สี สัญลักษณ์ การเคลื่อนไหว และท่วงท่าเพื่อสร้างการหวั่นไหวทางใจแต่ละรูปแบบได้

 

การคว้าโอกาสไว้ในพริบตาที่จิตหวั่นไหวและสูญเสียความมั่นคง จะทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่สภาพนี้ได้อย่างง่ายดาย…

 

วิธีการและทฤษฎีมากมายกับเนื้อหาด้านสถานที่ สภาพแวดล้อม และเหตุการณ์ที่ต่างกัน ทำให้ลู่เซิ่งได้เปิดโลก

 

ที่ต้าอิน ความสามารถสะกดจิตแทบทั้งหมดรวมถึงอสรพิษริษยาของเขาส่งผลโดยตรงต่อจิตวิญญาณของคน ซึ่งจะกระตุ้นให้อีกฝ่ายเข้าสู่สภาพสะกดจิตได้เองผ่านสภาพแวดล้อมโดยไม่เหลือร่องรอยไว้เหมือนกับหนังสือเล่มนี้

 

แม้จะไม่ได้ร้ายกาจและมีประสิทธิภาพเท่าวิชาลับของต้าอิน แต่ก็ดีตรงที่ไร้ร่องรอย

 

‘เป็นทักษะที่ไม่เลวนี่ ดีปบลู’

 

ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนทันที

 

พอใช้ความคิด ด้านบนอินเตอร์เฟสก็ค่อยๆ มีกรอบเล็กๆ โผล่มา

 

[วิชาจิตบำบัด: ยังไม่ได้เรียนรู้]

 

‘ตามคำแนะนำในหนังสือ มีขอบเขตทั้งหมดสี่ชนิด ซึ่งสามารถบรรลุได้ผ่านการฝึกฝนหลายๆ ครั้งกับการเตรียมตัวไว้ก่อน’

 

ในตอนที่บรรลุขอบเขตที่สี่ซึ่งเป็นขอบเขตสุดท้าย จะใช้ความสามารถหลากหลายเพื่อทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะที่กินเวลายาวนานได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เอาไว้ใช้กับการฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูได้พอดี’

 

ลู่เซิ่งพลิกหนังสือไปเรื่อยๆ

 

‘เพียงแต่ต่อให้เป็นปรมาจารย์ในการโน้มนำจิตใจระดับสูงสุด ก็ต้องใช้การประสานความสามารถมากกว่าสองชนิดขึ้นไปถึงจะสะกดจิตคนได้เร็วที่สุด ทั้งยังต้องเริ่มจากประสาทสัมผัสต่างๆ เช่นเสียง การเคลื่อนไหว สัญลักษณ์ ความรู้สึกสัมผัส และการดมกลิ่น มิหนำซ้ำโอกาสสำเร็จยังไม่สูงด้วย บางครั้งต้องสะกดจิตหลายๆ ครั้งถึงจะทำได้’

 

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ คิดจะลองยกระดับทักษะนี้ดู

 

‘ยกระดับวิชาจิตบำบัดถึงระดับสูงสุด’ เขาใช้ดีปบลูปรับเปลี่ยนทันที

 

ไม่นานพลังอาวรณ์เกือบสองหน่วยก็หายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่มาแทนที่คือทักษะการสะกดจิตหลากหลายรูปแบบที่ลู่เซิ่งไม่เคยนึกถึงมาก่อน

 

ลู่เซิ่งดีดนิ้วอย่างคล่องแคล่วเพื่อสร้างเสียงทึบหนักที่ทำให้คนง่วงนอนโดยสัญชาตญาณ

 

‘ช่วงคลื่นเปิดปิดที่ร่างกายมนุษย์ถูกรบกวนจิตใจได้ง่ายที่สุดอย่างนั้นหรือ เป็นระบบที่น่าสนใจดี…ทว่าถึงจะเป็นระดับสูงสุด ก็ยังสะกดจิตคนที่เกิดความระแวงต่อผู้ใช้ไม่ได้อยู่ดี…ถึงขั้นที่ถ้าเจอพวกที่มีพลังต้านทานแข็งแกร่งสักหน่อย ก็จะสำเร็จยากแล้ว’ ลู่เซิ่งมองดูวิชาจิตบำบัดที่ชัดเจนขึ้นหลังพร่ามัวไปชั่วพริบตาหนึ่งอีกครั้ง

 

‘ยังต้องยกระดับอีก’

 

ลู่เซิ่งมองด้านหลังกรอบ แล้วเห็นปุ่มเรียนรู้ทันที

 

จากนั้นก็กดลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

ชิ้ง!

 

กรอบพลันพร่ามัว

 

พลังอาวรณ์หายไปหนึ่งหน่วย

 

การเรียนรู้ต้องใช้พลังอาวรณ์ต่ำสุดอย่างน้อยหนึ่งหน่วย

 

หลังผ่านไปหลายวินาที ทุกสิ่งก็ชัดเจนขึ้น ในกรอบปรากฏเนื้อหาที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

 

[วิชาจิตบำบัด: ขั้นห้า (คุณสมบัติพิเศษ: การสะกดจิตแข็งแกร่งขึ้นขั้นห้า พลังล่อลวงแข็งแกร่งขึ้นขั้นหนึ่ง)]

 

‘ไม่เลวๆ พอมีพลังล่อลวงแข็งแกร่งขึ้นขั้นหนึ่งโผล่มา ก็รู้สึกต่างไปจากเดิมแล้ว ดูเหมือนการสะกดจิตที่ใช้ได้จะเร็วขึ้นกว่าเดิม โอกาสสำเร็จก็สูงขึ้นด้วยเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งสัมผัสทักษะที่เพิ่งได้รับมาอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกที่พอใจยิ่งกว่าเดิม

 

‘ต่อจากนี้ เรียนรู้วิชาจิตบำบัดเก้าสิบเก้าครั้ง’

 

 

สองวันต่อมา

 

เมืองฮัสเคอร์ คุกใต้ดินที่มีน้ำรั่วหยดตลอดเวลา กรงขังขนาดใหญ่หมายเลข 103

 

ผนังโลหะหนาหนักหลายชั้นด้านในห้องขังใต้ดินที่มืดครึ้มค่อยๆ เปิดออก ลำแสงของไฟฉายสายหนึ่งที่สว่างไสวฉายเข้ามา

 

ผิวท่อเหล็กขนาดเท่าแขนเด็กด้านในห้องขังหมายเลข 103 ติดตาข่ายไฟฟ้าเอาไว้ เกิดว่าไปแตะโดนก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงออกมาเผาสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่กล้าเข้าใกล้เป็นตอตะโกทันที

 

เงาคนขนาดมหึมาบึกบึนนั่งนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องขัง มีโซ่ตรวนหนักอึ้งพันอยู่รอบตัว ปลายด้านหนึ่งของโซ่ฝังติดผนัง

 

ไฟดวงเล็กๆ ที่มืดสลัวบนเพดานห้องขังส่องแสงลงมา ทำให้เห็นกล้ามเนื้อล่ำสันและรอยแผลเป็นจากกระสุนปืนเป็นจำนวนมากบนร่างของเงาคนได้อย่างเลือนราง

 

“บั๊ค เฮนรี่ ปี 76 ใช้มีดฆ่าคนไปสามสิบห้าคนในเมืองบีแสวกซ์ ปี 81 ใช้ปืนยิงหน่วยสวาตสิบหกนายที่เมืองคาดิลา บีบให้รัฐบาลต้องส่งทีมยุทธวิธีหน่วยพิเศษออกมา มีมือดีที่เป็นหน่วยพิเศษตายไปสามนาย บาดเจ็บอีกสิบหกนาย ถึงได้จับมารับโทษได้ ปี 84 แหกคุกสำเร็จ ก่อนจะก่อคดีสยดสยองที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นที่เมืองโฮป แถมยังได้ปลอมแปลงสถานะขณะแหกคุก ในเวลาสองปีได้ทำการสังหารคนเจ็ดสิบกว่าคนก่อนจะกินตับ” ชายหนุ่มที่มีร่างสมส่วน ใบหน้าหล่อเหล่า และบุคลิกเย็นชาคนหนึ่ง เดินมาถึงหน้าห้องขังภายใต้การนำทางของพัศดีสองนาย พร้อมกับบอกเล่าอดีตอันเจิดจรัสในสมัยวัยรุ่นของบั๊คเฒ่าไปด้วย

 

คนคนนี้ก็คือลู่เซิ่งที่เพิ่งออกจากเมืองแพลตินัมนั่นเอง

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท