บทที่ 605 ปราชญ์ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 605 ปราชญ์ (1)

 

เสียงร้องแหลมอันแปลกประหลาดดังมาจากข้างหูลู่เซิ่ง

 

เสียงเดี่ยวมาเดี๋ยวหาย ไม่ดังมาก แต่ก็ดังอยู่ตลอด

 

เขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากความสับสนในตอนเพิ่งจุติ พอจิตวิญญาณรวมตัวกัน ก็ลืมตาพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบด้านทันที

 

รอบๆ คือในโพรงไม้สีน้ำตาลชื้นแฉะ ด้านล่างตนคือรังหญ้ากองหนึ่ง หญ้าแห้งและหญ้าเขียวสดใหม่จำนวนมากผสมกันกลายเป็นทรงรีที่สมบูรณ์

 

ด้านนอกโพรงถ้ำมีแสงอ่อนๆ สาดลอดลงมาบนอุ้งเท้าสองข้างด้านหน้าลู่เซิ่ง

 

‘นี่คือ…ที่ไหนกัน’ ลู่เซิ่งแสบตา รู้สึกมองเห็นทุกอย่างอยู่ในผิวระนาบไปหมด

 

เขายืดเหยียดร่างกายและพลิกตัว

 

ความรู้สึกตอนพลิกตัวประหลาดมาก ลำบากและเก้งก้างอยู่บ้าง เหมือนกับตัวเองสวมชุดขนสัตว์ตัวหนา

 

‘ไม่ใช่สิ…ไหงรู้สึกเหมือนมีหางอยู่ด้านหลังเลย’

 

ลู่เซิ่งพลันพบความผิดปกติ จึงหันตาโตสีชมพูไปมา

 

เขาเห็นกระต่ายสองตัว

 

กระต่ายตัวใหญ่สีเทาและมีขนมากสองตัวกำลังซุกตัวและหลับปุ๋ยอยู่ด้านข้างเขา

 

‘กระต่าย?!’

 

ลู่เซิ่งนิ่งไป

 

เขายกมือขึ้น อุ้งมือสีเทาสองข้างพลันถูกยกขึ้นมา

 

เขาลูบอกอีกครั้ง

 

ทั้งหมดเป็นขน

 

ครั้นอ้าปากอีกรอบ

 

จิ๊ด

 

เสียงร้องสั้นแหลมของกระต่ายดังมาจากปากเบาๆ

 

ลู่เซิ่งไร้คำจะพูด

 

เขาลุกขึ้นเพื่อจะยืนสองขา แต่เห็นได้ชัดว่าร่างกายไม่เคยสัมผัสการเดินด้วยสองขามาก่อน จึงพลิกล้มลงกับพื้นทันที

 

‘กลายเป็นกระต่ายไปแล้วจริงๆ…’ ลู่เซิ่งจิตใจย่ำแย่อย่างยิ่ง

 

เขาจุติเป็นมนุษย์มามากมาย จุติในสถานะมากมาย แต่ว่าเพิ่งจุติเป็นกระต่ายครั้งแรก

 

‘น่าสนใจ’

 

ลู่เซิ่งลุกขึ้น เดินเบียดกระต่ายสีเทาที่อยู่รอบๆ เพื่อไปนอกโพรงไม้

 

ในป่ารกสูงใหญ่ที่มีแต่เสียงสกุณาและหอมกลิ่นบุปผาด้านนอกโพรงไม้ได้ยินเสียงกุ๊กๆ อันแปลกประหลาดดังตลอดเวลา

 

ลู่เซิ่งเดินเตร่รอบๆ โพรงไม้และสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ก่อนจะกลับไปด้านในโพรง

 

กระต่ายเทาสองตัวนั้นตื่นมาแล้ว ต่างขยับร่างกายดุกดิก พร้อมกับยกขาหลังขึ้นเลีย ลู่เซิ่งพลันนึกได้ว่า กระต่ายอาศัยปากทำความสะอาดขนและส่วนล่างของตัวเอง

 

‘ช่างเถอะ ดูผลกรรมความปรารถนาของกระต่ายตัวนี้ก่อน’ เขาค่อยๆ นึกทบทวน ไม่นาน ความปรารถนาของกระต่ายในการจุติครั้งนี้ก็ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมา

 

‘หวังว่าป่าจะไม่มีการแก่งแย่งชิงดี หวังว่าโลกจะสงบสุข ทุกคนนั่งลงกินหญ้าด้วยกันอย่างมีความสุข’

 

เอ่อ…

 

ลู่เซิ่งสัมผัสผลกรรมความปรารถนานี้ได้อย่างขมุกขมัว

 

‘นี่มันผลกรรมบ้าอะไรเนี่ย’ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะประเมินสติปัญญาของกระต่ายสูงไปแล้ว

 

‘หรือว่า…ผลกรรมนี้จะแบ่งได้สองส่วน’ เขาพลันฉุกใจนึกได้

 

ต่อจากนั้นเป็นการจัดระเบียบความทรงจำของกระต่ายเทา

 

นอกจากกินก็คือถ่าย นอกจากถ่ายก็คือกิน แถมยังมีความทรงจำพร่ามัวที่พ่อแม่ถูกหมาป่าจับไปกินด้วย

 

‘ไม่ได้! อันตรายเกินไปแล้ว ต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด! ไม่อย่างนั้นหมาป่าธรรมดาสองสามตัวก็ทำให้การจุติในครั้งนี้ของเราล้มเหลวได้แล้ว’ ลู่เซิ่งร้อนใจขึ้นมา

 

เขาเริ่มหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งที่ใช้ได้จากในความทรงจำอย่างละเอียด

 

ลู่เซิ่งอาศัยผนังด้านในโพรงต้นไม้ในการจัดระเบียบ

 

‘ก่อนอื่นวิชาที่เกี่ยวกับเส้นชีพจร สารกาย และกำลังภายในทั้งหมดใช้ไม่ได้แล้ว นอกนั้น วิชาที่เกี่ยวกับทรัพยากรพิเศษก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน ดูเหมือนจะได้แต่ใช้วิชาหยาบๆ อย่างการโคจรเลือดลมซะแล้ว…ดีที่เรามีดีปบลู’ ลู่เซิ่งกวาดตามองกระต่ายเทาอีกสองตัว กระต่ายสองตัวนี้เริ่มมีอะไรกันแล้ว!?

 

ตัวหนึ่งคร่อมอยู่บนร่างอีกตัวพลางโยกตัวอย่างรวดเร็ว

 

“เร็ว! เร็ว! เร็ว!”

 

“อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

 

ลู่เซิ่งเข้าใจภาษาของกระต่ายทั้งสองตัวอย่างไม่มีสาเหตุ

 

“เร็วหน่อย! เร็วๆ หน่อย!” ลู่เซิ่งเห็นกระต่ายเทาตัวหนึ่งมองเขาอย่างสงสัย เหมือนกับกำลังถามเขาว่าทำไมไม่เข้าร่วม

 

ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก ในความทรงจำของกระต่ายเทา เขาเหมือนจดจำได้ว่าพวกเขาสามตัว…

 

เป็นตัวผู้ทั้งหมด…

 

เขาไม่สนใจกระต่ายทั้งสองตัว ก่อนจะเดินมาถึงมุมหนึ่งของโพรงต้นไม้

 

ไม่นานนักก็เจอวิชาโคจรเลือดลมระดับพื้นฐานสุดวิชาหนึ่งจากในความทรงจำ—เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ!

 

ชื่อเกรี้ยวกราดยิ่ง ประสิทธิผลเกรี้ยวกราดมากเหมือนกัน แต่ความจริงวิชานี้มีข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดอยู่

 

นั่นก็คือจะต้องหลับตาฝึกฝน เพราะมันเป็นทักษะสังหารที่นักฆ่าตาบอดสร้างขึ้น

 

เป็นคัมภีร์ลับที่ลู่เซิ่งได้มาจากคลังยุทธ์ในสำนักมารกำเนิด

 

นอกจากนั้นวิชานี้ยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้ขนงอกขึ้นทั่วร่างด้วย นี่เป็นสาเหตุหลักที่ลู่เซิ่งไม่เคยเลือกใช้มัน

 

ทว่าตอนนี้ เขาใช้ได้พอดี

 

ลู่เซิ่งก้มมองขนสีเทาบนขาหน้าของตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงที่มุมหนึ่ง และเริ่มทบทวนวิธีการฝึกฝนเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจอย่างเอาจริงเอาจัง

 

การเริ่มฝึกวิชานี้เรียบง่ายมาก แต่ว่าสิ้นเปลืองเลือดลมถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากเริ่มฝึกแล้วเขาจะต้องรีบหาของบำรุงจำนวนมากมาชดเชย

 

ทว่าก่อนหน้านั้น ลู่เซิ่งต้องฝึกยืนสองขาก่อน

 

พอกระหายก็กินหญ้าตรงปากโพรง

 

หิวแล้วก็กินหญ้าตรงปากโพรง

 

ลู่เซิ่งกินหญ้าเขียวรอบๆ โพรงไม้จนหมดเกลี้ยงภายใต้สายตาคับแค้นของสหายสองตัว ไม่อยากจะบอกเลยว่าหญ้าบางชนิดก็รสชาติไม่เลวจริงๆ หอมหวานกรุบกรอบ แถมยังมีกลิ่นหอมจางๆ ด้วย

 

หลังจากฝึกฝนมาระยะหนึ่ง ไม่นาน ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ จับจุดสำคัญในการยืนสองขาได้

 

หลังจากทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายวัน

 

ในที่สุดเขาก็เดินสองขาช้าๆ ได้แล้ว ถัดจากนั้นจึงเป็นการเริ่มฝึกฝนวิชา

 

ระดับที่หนึ่งของเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจเป็นการเคลื่อนไหวระดับพื้นฐานที่คล้ายวิชาโน้มนำ โดยหดทั้งร่างเป็นก้อนแล้วยืดเหยียดซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ร่างกายถูกกดและผ่อนคลายเหมือนสปริง

 

นี่เรียกว่าวิถีคลายหด เป็นชื่อระดับที่หนึ่งของวิชา

 

ไม่นาน ด้วยการช่วยเหลือของจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง ลู่เซิ่งใช้เวลาแค่วันเดียวก็เข้าใจเคล็ดพื้นฐานของวิถีคลายหดแล้ว

 

ขอแค่ฝึกวิชาต่อไป ก็จะเข้าสู่ระดับที่หนึ่ง และเริ่มการปรับเปลี่ยนได้

 

แต่ว่าทันใดนั้น เรื่องเหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น

 

กุ๊กๆๆ!

 

กุ๊กๆๆๆๆ!

 

กระต่ายเทาตัวหนึ่งพุ่งเข้าโพรงไม้อย่างแตกตื่นหวาดกลัว จากนั้นก็วิ่งพล่านไปทั่ว ขนทั่วร่างลุกตั้งเล็กน้อย

 

จากนั้นมันก็พุ่งถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง เริ่มแยกเขี้ยวยิงฟันและกระดิกหู ทั้งยังขูดขาหน้าสองข้างกับพื้นอย่างรวดเร็ว

 

“กุ๊กๆๆ! (งู! งูมาแล้ว!)”

 

ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของมันทันที

 

“กุ๊ก? (งูหรือ)” เขาทวนประโยค

 

“กุ๊ก! กุ๊ก! (ใช่! งูตัวใหญ่!)” ลู่เซิ่งเรียกกระต่ายเทาตัวนี้ว่าเจ้าเหยิน เป็นเพราะมันมีฟันหน้าใหญ่สุด ส่วนอีกตัวไม่ได้มีลักษณะเด่นอะไร จึงไม่ได้ตั้งชื่อ

 

ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงงูเลื้อยดังมาจากด้านนอกโพรงไม้เบาๆ เสียงเบามาก ซ่อนเร้นอยู่ในเสียงซู่ซ่ายามลมพัดใบไม้

 

เขาขมวดคิ้ว แนบหูยาวติดกับแผ่นหลัง พร้อมกับหาเปลือกไม้แผ่นหนึ่งมามัดไว้

 

จากนั้นก็ยืนขึ้น

 

“เจ้าอยู่นี่ ข้าจะไปดู” เขาสั่งเจ้าเหยิน

 

“ไม่นะ! เจ้าได้ตายแน่” เจ้าเหยินร้องเสียงดัง เครียดจนเริ่มวิ่งพล่านเป็นวง

 

“คิดมากไปแล้ว” ลู่เซิ่งเดินไปยังปากโพรงอย่างเยือกเย็น

 

หลังออกจากโพรงไม้ สิ่งที่เขาเห็นเป็นอันดับแรกไม่ใช่งู หากเป็นกระรอกน้อยสีเหลืองแถวหนึ่งที่นั่งอยู่บนคาคบ กระรอกฝูงนี้กำลังส่งเสียงร้องแหลม เหมือนกับกำลังเตือนสัตว์ตัวน้อยที่อยู่รอบๆ ว่างูกำลังจะมาที่นี่

 

ถัดจากนั้น งูพิษที่มีหัวทรงสามเหลี่ยมและมีจุดสีเหลืองบนลำตัวสีเขียวก็ค่อยๆ เลื้อยออกมาจากพุ่มหญ้าทางขวาของโพรงไม้

 

ขนาดตัวของมันยาวกว่าลู่เซิ่งในตอนนี้สิบกว่าเท่า ทอดตามองดู หัวงูหยาบใหญ่จนทำให้คนไม่สงสัยเลยว่า มันสามารถอ้าปากแล้วกินเจ้าเหยินลงไปได้ทั้งตัว

 

สายตาเย็นเยียบและหิวโหยของงูพิษจ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง มันเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า พลางชูศีรษะขึ้นสูงโดยที่ไม่เลื่อนสายตาไปไหน

 

‘งูพิษงั้นเหรอ’ ลู่เซิ่งขยับสองขา ตอนนี้ยังไม่ได้พึ่งพาดีปบลูเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ว่าช่วงเวลาปรับตัวเข้ากับร่างกายร่างนี้ได้จบไปแล้ว

 

เท้าของกระต่ายป่าไม่ไร้คม หากแหลมคมเหมือนกัน

 

งูพิษเหมือนลังเลอยู่นิดหน่อย มันไม่เคยเห็นกระต่ายที่ยืนสองขาได้ ทั้งๆ ที่ขาหลังของกระต่ายโค้งงอแท้ๆ…

 

แล้วหูล่ะ

 

งูพิษหาหูของลู่เซิ่งไปทั่ว

 

แต่ไม่นานมันก็ยอมแพ้ ความหิวชนะทุกสิ่ง มันได้กลิ่นหอมหวนของเนื้อแล้ว

 

งูพิษค่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ควับ!

 

ทันใดนั้นเงาลวงสายหนึ่งโผพุ่ง งูพิษเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทั่วร่าง ระเบิดพละกำลังอันมหาศาลออกมา ก่อนจะพุ่งใส่ลู่เซิ่ง

 

ความอยากอาหารของมันกำลังพลุ่งพล่าน เลือดลมทั่วร่างกำลังสั่นไหว สองตาฉายแววยินดีอย่างล้ำลึก

 

หลังจากกินมื้อนี้ มันจะมีพละกำลังมากกว่าเดิมในการออกล่าเยื่อและหาอาหารมากกว่านี้แล้ว!

 

พรึ่บๆ!

 

ประกายเย็นเยียบสองสายสาดแสงขึ้นในทันใด

 

ลู่เซิ่งฉากหลบ แล้วปรากฏตัวขึ้นด้านขวาของงูพิษดุจสายฟ้าแลบ สองขาของเขามีเลือดหยด แต่ไม่ใช่เลือดของเขาเอง

 

โครม

 

งูพิษทิ่มหัวเข้ากับต้นไม้ จากนั้นก็พลิกตัวบนพื้น ร่างกายชักกระตุกสองสามที ดิ้นอยู่สักพัก จึงค่อยๆ สูญเสียพลังชีวิตไป

 

สำหรับลู่เซิ่ง สัตว์ป่าที่อาศัยแค่สัญชาติญาณนี้ไม่มีความสามารถโต้ตอบแม้แต่น้อย เหมือนเขาเผชิญหน้ากับคนธรรมดาที่ใช้วรยุทธ์ไม่เป็น

 

เขามองดูรูเลือดที่น่ากลัวบนคอของงูที่มีเลือดไหลออกมา แม้แต่ศีรษะของงูก็เกือบถูกกระชากขาด

 

จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าโพรงไม้โดยไม่แสดงสีหน้า

 

กระต่ายไม่มีอวัยวะและฟันสำหรับย่อยเนื้อ ดังนั้นเขาจึงกินเนื้อไม่ได้ ต้องจำใจปล่อยให้เสียเปล่าอยู่ตรงนี้

 

เมื่อครู่เขาเพียงแค่ใช้ความเร็วและปฏิกิริยาของร่างกายร่างนี้สร้างสภาพสังหารในการโจมตีเพียงครั้งเดียวขึ้นอย่างแม่นยำเท่านั้น เขามีพละกำลังในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะโครงสร้างร่างกายของกระต่ายได้ตัดสินแล้วว่าเขาไม่อาจสู้ศึกยืดเยื้อกับงูพิษได้

 

ครั้งนี้เจ้างูพิษน้อยมาลอบโจมตี เขายังรับมือได้ แต่เกิดรอจนมีสัตว์ที่เคลื่อนไหวปราดเปรียว แถมยังมีพละกำลังและความเร็วมากกว่าอย่างเสือดาวมาโจมตี พละกำลังอันน้อยนิดของเขาคงสู้กับการพุ่งมั่วๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

ถึงอย่างไรขนาดของร่างกายก็แตกต่างกันเกินไป

 

พอกลับไปถึงโพรงไม้ ลู่เซิ่งก็เห็นเจ้าเหยินที่ตกใจจนไม่กล้าขยับเขยื้อน

 

“ไปเถอะ หาที่อยู่แห่งอื่น ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว” เขากล่าวตามตรง

 

มีงูมาตายที่นี่ กลิ่นคาวเลือดจะต้องล่อสัตว์ดุร้ายจำนวนมากกว่านี้มาแน่ ยังมีเลือดบนขาเขาที่ต้องจัดการอีก

 

นอกจากนี้ หากต้องการสะสางผลกรรมของกระต่ายตัวนี้ เขาจะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมและเริ่มแผนการอย่างเป็นทางการของตัวเอง

 

เจ้าเหยินตกใจแทบตาย จึงถูกลู่เซิ่งดึงหูออกจากโพรงไม้อย่างมึนงง

 

ในป่ายามกลางวัน กระต่ายเทาสองตัวที่ตัวหนึ่งเดินด้วยสองขา อีกตัวหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเร่งรุดออกจากโพรงไม้

 

ไม่นาน หลังจากพวกเขาเดินออกไปได้ยี่สิบสามสิบหมี่ ก็เห็นหนังกระต่ายเทาผืนหนึ่งและเศษกระดูกเปื้อนเลือดส่วนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีกิ่งยาวมากต้นหนึ่ง

 

ลู่เซิ่งดมกลิ่นออก เป็นกระต่ายเทาอีกตัวนั่นเอง

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท