บทที่ 606 ปราชญ์ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 606 ปราชญ์ (2)

 

“ความอ่อนแอเป็นปฐมบาป” ลู่เซิ่งไม่พร่ำไร้สาระ หากนำเจ้าเหยินออกจากที่นี่โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

 

กระต่ายสองตัวตัดทะลุทุ่งหญ้ามืดสลัวแถบหนึ่ง ไม่นานก็เจอโพรงไม้อีกแห่งที่เหมาะกับการอยู่อาศัย

 

มันเป็นโพรงไม้ที่ใหญ่และกว้างกว่าเดิมแห่งหนึ่ง ดูเหมือนก่อนหน้านี้จะมีสัตว์ขนาดใหญ่บางชนิดอาศัยอยู่ แต่ตอนนี้คล้ายจะถูกทิ้งร้างแล้ว

 

รอบๆ มีพุ่มไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่หนาแน่น ผลสีแดงส่วนหนึ่งแขวนอยู่ในพุ่มไม้

 

ลู่เซิ่งพาเจ้าเหยินเข้าพักที่นี่ชั่วคราว

 

หลังจากฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งวันกว่า ในที่สุดเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจของลู่เซิ่งก็เข้าสู่ระดับเบื้องต้นอย่างแท้จริงแล้ว นี่หมายความว่าเขาสามารถใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับขอบเขตได้แล้ว

 

ครืด…

 

ลู่เซิ่งค่อยๆ ใช้ขาวาดเป็นร่องลึกสายหนึ่งบนผนังในโพรงไม้เพื่อใช้คำนวณวันเวลา

 

ถอยหลังไปสาวก้าว เขาเห็นรอยลากบนผนังในโพรงไม้ มีสามเส้นแล้ว

 

นี่หมายความว่าเขาย้ายบ้านมาได้สามวันแล้ว

 

ในสามวันมานี้ เขาสำรวจรอบบริเวณอย่างคร่าวๆ ใกล้ๆ กันมีเสือดาวสีดำตัวหนึ่ง หมาป่าตัวหนึ่ง ตะขาบพิษแดงเพลิงรังหนึ่ง และมดขาวรังหนึ่ง

 

นอกจากมดแล้ว พวกที่อยู่ด้านหน้าล้วนเป็นศัตรูทางธรรมชาติของกระต่ายทั้งสิ้น

 

‘น่าจะเริ่มได้แล้ว’ ลู่เซิ่งให้เจ้าเหยินออกไปเฝ้าด้านนอก หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้มาเตือนตนเอง

 

ตัวเขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางโพรงไม้

 

‘ดีปบลู’

 

เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันเด้งออกมาอยู่ด้านหน้าเขา

 

สายตาของลู่เซิ่งจับอยู่บนเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจในกรอบใหม่สุดทันที ก่อนที่วิชาไร้ขอบเขตและด้ายกระตุ้นวิญญาณจะปรับตัวเข้ากับโลกใบนี้ สิ่งสำคัญมากที่สุดสำหรับเขาก็คือการฝึกฝนเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจฉบับกระต่ายตามโครงสร้างของร่างกายร่างนี้

 

‘[เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ: เบื้องต้น (คุณสมบัติพิเศษ: พละกำลังพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พลังระเบิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย)]’

 

‘ยกระดับดูสักขั้นก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยน จากนั้นก็เพ่งความคิด

 

‘ยกระดับเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจหนึ่งขั้น’

 

ซู่…

 

กรอบพร่ามัวอย่างฉับพลัน จากนั้นค่อยชัดเจนขึ้นใหม่หลังผ่านไปห้าหกวินาที

 

ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ามีกระแสความอบอุ่นสายหนึ่งหลั่งไหลออกมาจากทั่วร่าง ไหลไปยังแขนขาและอวัยวะภายในอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่างรู้สึกอุ่นสบาย

 

เขายกมือขึ้น เห็นผิวใต้ขนสีเทากำลังนูนขึ้น กล้ามเนื้อขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง

 

ไม่สิ…

 

ร่างกายของเขากำลังขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว

 

พละกำลังอันเต็มเปี่ยมหลายสายทะลักเข้าสู่ร่างกายเขา สำหรับกระต่ายตัวหนึ่งแล้ว การยกระดับพละกำลังชั้นหนึ่งของเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจยิ่งใหญ่เกินไปบ้างจริงๆ

 

ร่างกายที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของลู่เซิ่งในตอนแรก ตอนนี้ขนทั่วร่างสั่นไหวด้วยความเร็วสูง ข้างใต้ผิวของเขาปรากฏปุ่มเนื้อที่เหมือนกับสิวจำนวนนับไม่ถ้วน ปุ่มเนื้อเหลือคณานับกำลังขยับขยุกขยิกและขยายใหญ่ พร้อมทั้งทำให้ขนาดร่างกายของเขานูนขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก หลังผ่านไปสองสามนาที ขนาดร่างของลู่เซิ่งก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่าหนึ่ง ผิวบนร่างเป็นสีแดงเลือด

 

ความรู้สึกเจ็บปวดที่ใกล้จะระเบิดส่งมาจากด้านในตัวเขาอย่างต่อเนื่อง

 

‘เพิ่งยกระดับเข้าสู่ระดับหนึ่งอย่างเป็นทางการ ร่างกายนี้กลับทนไม่ได้แล้วหรือเนี่ย’ ลู่เซิ่งประเมินร่างกายของกระต่ายป่าตัวหนึ่งสูงเกินไป

 

หากยกระดับต่อไป เกรงว่าร่างนี้จะระเบิดเสียก่อน ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งจึงได้แต่ค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้ร่างกายร่างนี้ปรับตัวสักพักก่อน จึงค่อยดำเนินการยกระดับรอบที่สอง

 

เขามองกรอบในเวลานี้

 

[เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ: ระดับที่หนึ่ง (คุณสมบัติพิเศษ: พละกำลังพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น, พลังระเบิดพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น, เลือดลมพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น)]

 

หลังจากยืนยันการยกระดับของตนเองแล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพร่างกายในตอนนี้

 

เขาโบกเท้าไปด้านหน้า เพียงแค่การสะบัดธรรมดา ใช้พละกำลังแค่ครึ่งเดียว ก็เป็นระดับที่ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดเมื่อก่อนหน้านี้ถึงจะทำได้แล้ว

 

จากนั้นเขาก็วิ่งวนในโพรงถ้ำหลายรอบ และทดลองยกก้อนหินส่วนหนึ่งเพื่อทดลองดู

 

‘พละกำลังเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าเกือบสามเท่า…ขนาดร่างกายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า ความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน วิชาเลือดลมวิชานี้มีผลไม่เลวจริงๆ’ ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

ในตอนที่เขากำลังจะทดสอบสภาพร่างกายตอนนั้นเอง

 

ซี่ๆ…กุ๊กๆ…

 

เจ้าเหยินส่งเสียงเตือนภัยมาจากด้านนอก

 

“สหายกระต่ายที่ฆ่าเจ้าศิลาเทาอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เสียงร้องของกระต่ายที่จริงจังค่อยๆ ลอยมาจากด้านนอกถ้ำ

 

ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินเนื้อหาโครงสร้างทางภาษาที่ซับซ้อนแบบนี้จากกระต่ายเป็นครั้งแรก

 

ก่อนหน้านี้เขานึกมาโดยตลอดว่า แบบความคิดเรียบง่ายอย่างเจ้าเหยินจึงเป็นสภาพปกติของที่นี่

 

ตอนนี้พอได้ยินเสียงร้องของกระต่าย เขาจึงค่อยรู้ว่า ดูเหมือนโลกใบนี้จะไม่แตกต่างจากโลกที่เขารู้จักเท่าไหร่นัก

 

เขาเก็บวิชา ขนทั่วร่างลู่ลง มองไปบึกบึนกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก

 

จากนั้นทำให้เลือดลมสงบลงพลางเดินออกจากโพรงไม้

 

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ กระต่ายแปลกหน้าที่มีขนเป็นสีขาวราวหิมะและบนหลังมีขนสีแดงจุดหนึ่งหมอบอยู่ด้านหน้าเจ้าเหยิน

 

“เจ้ามาจากไหน” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายอย่างราบเรียบ

 

“ยืน…! ยืน…สองขางั้นเหรอ!?” พริบตาที่เห็นลู่เซิ่ง แววตาของกระต่ายตัวนี้ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

เดิมทีป่าแห่งนี้ควรจะมีแค่พวกสัตว์ป่าเท่านั้น ปกติมันเลยไม่ได้มาและไม่ได้สนใจที่นี่ แต่ก่อนหน้านี้กลับเห็นศพงูพิษที่ถูกขย้ำจนเละนอนอยู่ใต้โพรงไม้โพรงหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

 

พอแยกแยะอย่างละเอียดก็รู้ว่า มันเป็นเจ้าศิลาเทาซึ่งเป็นงูพิษที่เคยจับท่านตาของมันกินนั่นเอง!

 

จากนั้นมันก็ได้ทราบจากกระรอกด้านหน้าโพรงไม้ว่า ผู้ที่ฆ่างูพิษเป็นกระต่ายสีเทาแปลกหน้าตัวหนึ่ง

 

ชิเอลตะลึงงัน

 

กระต่ายฆ่างูได้อย่างนั้นเหรอ?! นี่มันเรื่องเพ้อเจ้อชัดๆ! ต่อให้จะเป็นพวกมีสติปัญญาอย่างพวกมัน ก็แค่หลบหลีกศัตรูทางธรรมชาติได้ดีกว่าเดิมเท่านั้น

 

แต่หากบอกว่าสู้กับงูพิษ ความจริงไม่ว่าจะเป็นพวกมีสติปัญญาหรือพวกสัตว์ป่า ก็ไม่มีทางเอาชนะงูพิษที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองสิบกว่าเท่าได้เด็ดขาด

 

ดังนั้นหลังจากตกตะลึงพึงเพลิด ชิเอลก็เสี่ยงชีวิตออกค้นหากระต่ายผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนตัวนี้ไปทั่วทันที

 

และตอนนี้ ในที่สุดมันก็เจอแล้ว

 

ชิเอลจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาตื่นเต้นและเทิดทูน

 

“งูพิษตัวนั้น ท่านเป็นคนฆ่าใช่ไหม ท่านมีชื่อว่าอะไรหรือ”

 

ลู่เซิ่งไม่เคยพบกระต่ายที่พูดจาฉะฉานแบบนี้มาก่อน นี่เป็นสิ่งที่หายากที่สุดสำหรับหัวสมองที่เรียบง่ายของพวกมัน

 

แต่จะว่าไปความปรารถนาข้อหนึ่งของร่างที่เขาจุติลงมาคือการทำให้ป่าสงบสุข ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะทำสำเร็จได้ตามลำพังอยู่แล้ว

 

ตอนนี้พอเห็นมีกระต่ายแบบนี้โผล่มา ลู่เซิ่งก็พลันเกิดความคิดที่ดีกว่าเดิม

 

เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าแซ่ลู่ งูตัวนั้นหรือ ข้าไม่ใช่คนสังหาร”

 

“เอ๋?” ชิเอลงุนงง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

 

“เป็นโชคชะตา โชคชะตาดลบันดาลให้มันควรจบชีวิตของตัวเองในเวลานั้น…แม้สองขาของข้าจะเปื้อนเลือด แต่นั่นเป็นเพราะถูกโชคชะตาช่วยเหลือเท่านั้น…” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเชื่องช้า

 

“…”

 

“…”

 

เจ้าเหยินกับชิเอลไม่รู้ว่าควรตอบอะไรดี

 

“เจ้าไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียวกระมัง เผ่าเราที่อยู่ที่นี่มีกระต่ายทั้งหมดกี่ตัว” ลู่เซิ่งถามอีก

 

“ทั้งหมด…หกสิบกว่าตัว…” ชิเอลพลันนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง เป็นเรื่องราวที่ตนเคยพบบนเปลือกไม้ลึกลับ

 

กระต่ายชราตัวหนึ่งในเผ่ากระต่ายเคยพูดไว้ก่อนตายว่า ในประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานเคยปรากฏปราชญ์แห่งเผ่ากระต่ายตัวหนึ่ง มันทำให้สัตว์ป่าเลียนแบบมนุษย์ได้ เปิดสติปัญญา และรู้จักหลบหลีกอันตราย จึงทำให้จำนวนของเผ่ากระต่ายเพิ่มขึ้น

 

ลักษณะเด่นของปราชญ์ตัวนั้นก็คือเดินสองขาได้เหมือนคน

 

และตอนนี้ มันก็เห็นเผ่ากระต่ายที่เดินสองขาได้อีกตัวหนึ่งแล้ว

 

“หรือว่า…” ชิเอลอดตื่นเต้นขึ้นไม่ได้ “หรือท่านจะเป็นปราชญ์ในตำนาน”

 

“ปราชญ์?” ลู่เซิ่งงุนงง นึกไม่ถึงว่ากระต่ายของที่นี่จะน่าสนใจจริงๆ ถึงกับมีการบันทึกประวัติศาสตร์ในระดับหนึ่งเสียด้วย

 

พึงทราบว่าตำนานอะไรเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าทุกเผ่าจะมีได้ นอกจากการสืบต่อผ่านปากมารุ่นต่อรุ่นแล้ว ก็ต้องอาศัยบันทึกเอกสาร

 

“ไม่…ข้าไม่ใช่ปราชญ์ ข้าเพียงแค่เป็นผู้ชี้แนะที่นำพาโชคชะตามาให้พวกเจ้าเท่านั้น…” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

“ผู้ชี้แนะแห่งโชคชะตาหรือ” ชิเอลมึน

 

ฟ้าว!

 

ตอนที่มันกำลังสับสน อยู่ๆ ทางขวามือก็มีเงาสีเทาก้อนหนึ่งพุ่งมา ลมคาวหอบหนึ่งขย้ำใส่คอของลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง

 

“โชคชะตาทำนายว่า” ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่ง “ป่าผืนนี้ จะต้องกินหญ้า!”

 

“หมายความว่ายังไง” ชิเอลงุนงงอยู่บ้าง

 

ลู่เซิ่งสะบัดขาขวาดุจสายฟ้าฟาด กล้ามเนื้อขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง ขนตั้งชันขึ้น เลือดลมทะลักออกมาเหมือนกับแม่น้ำขณะควงหมัด

 

“หญ้า คือสสารที่มีโภชนาการมากที่สุดบนโลก ดังนั้นทุกสิ่งมีชีวิตควรกินหญ้า”

 

เปรี้ยง!

 

หมัดนี้ชกใส่ด้านข้างของเงาสีเทาอย่างแม่นยำเหมือนกับขีปนาวุธ กระแสอากาศสีเทาอันรุนแรงระเบิดออก ตามมาด้วยขนก้อนใหญ่ที่ปลิวว่อน

 

เงาสีเทาส่งเสียงโหยหวนพร้อมกับกระเด็นออกไป ก่อนจะพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้แก่ด้านข้าง

 

ทุกอย่างเงียบสงบในพริบตา

 

ลู่เซิ่งชักหมัดกลับ สีหน้ายังคงนิ่งขรึม

 

“ผู้ที่ไม่กินหญ้า ล้วนเป็นพวกนอกรีต”

 

ชิเอลกับเจ้าเหยินอ้าปากจนเกือบกว้างกว่าหน้าตัวเองเสียอีก

 

เป็นเพราะตอนนี้พวกมันเห็นแล้วว่าเงาที่ถูกต่อยกระเด็นออกไปคืออะไร

 

เป็นแมวป่าสีเทาตัวหนึ่ง!

 

แมวป่าเชียวนะ นั่นคือสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่พอเลือดขึ้นหน้าก็กล้าสู้กับเสือดาว ยามแมวป่าตัวใหญ่อาละวาด ต่อให้เป็นเสือชีต้าก็ไม่กล้าหาเรื่อง

 

แต่ตอนนี้ แมวป่าสีเทาที่มีขนาดร่างใหญ่เกือบสิบกว่าเท่าของพวกมัน กลับถูกต่อยใส่หน้าจนนอนคว่ำอย่างสับสนบนพื้น แถมยังเลือดกำเดาไหลอีกต่างหาก…

 

แฮ่…

 

เจ้าขนเทาที่เป็นแมวป่าไม่เคยโกรธแค้นขนาดนี้มาก่อน มันรู้สึกปวดแสบปวดร้าวไปครึ่งศีรษะ กะโหลกอาจแตกแล้วก็ได้

 

มันรู้ว่าแรงทั้งหมดที่สิ่งมีชีวิตอย่างกระต่ายป่าทุ่มออกมาด้วยความรีบร้อนนั้นน่าดูชม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแรงถึงขนาดนี้

 

ทว่าอาการบาดเจ็บในตอนนี้กลับทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนเสือชีต้าตะปบใส่ใบหน้า

 

“เจ็บ…เจ็บเหลือเกิน…”

 

“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า…ถ้าหากบนโลกมีแต่สัตว์ที่กินหญ้า ทุกอย่างก็จะสงบสุข”

 

ลู่เซิ่งกล่าวพร้อมกับเดินไปถึงด้านหน้าเจ้าขนเทา

 

“การกินเนื้อเป็นบาป เป็นสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้! มา บอกข้าที เจ้าอยากกินเนื้อหรือกินหญ้า” เขาเงยหน้ามองแมวป่าอย่างสงบ

 

“ข้าจะกินเจ้า!” แมวป่าตะปบขาใส่ลู่เซิ่งอย่างโกรธแค้น

 

กรงเล็บกลับถูกลู่เซิ่งรับไว้อย่างมั่นคง

 

“เจ้าสัตว์กินเนื้อผู้โง่เง่าเอ๋ย อะไรมาบังสายตาของเจ้า”

 

เปรี้ยง!

 

เขาฟาดใส่ใบหน้าของแมวป่าอย่างรุนแรงอีกรอบ

 

พละกำลังอันมหาศาลตามมาด้วยละอองเลือดจำนวนมากที่กระจัดกระจายเต็มพื้น

 

“โภชนาการของหญ้า เจ้าไม่อาจนึกจินตนาการ!” ลู่เซิ่งเข้าไประดมหมัดใส่ยกหนึ่งจนแมวป่าไร้กำลังโต้ตอบ

 

แม้กรงเล็บของมันจะตามอีกฝ่ายทันบ้าง แต่พละกำลังกลับแตกต่างกันเกินไป พละกำลังของลู่เซิ่งแข็งแกร่งกว่ามันส่วนหนึ่ง

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อโดยแท้!

 

“เห็นหรือยัง!? นี่ก็คือพละกำลังจากการกินหญ้า!” ลู่เซิ่งยกแมวป่าขึ้นมาสะบัดตัวไปมา

 

โครม!

 

แมวป่ากระแทกเข้ากับต้นไม้ด้านข้าง ปากกระอักเลือด ก่อนจะกลิ้งล้มลงกับพื้น ในที่สุดก็ไม่ไหวติง…

 

ชิเอลกับเจ้าเหยินชมดูอย่างตกตะลึงอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ควรแสดงสีหน้าอย่างไรโดยสิ้นเชิง

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท