ตอนที่ 515 ลูกสาวที่แต่งงานแล้วไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลได้
ดูเหมือนว่าการมาถึงของซวนเทียนหมิงจะทำให้เฟิงหยูเฮงเรียกสติสัมปชัญญะเดิมของนางกลับมา คำพูดของซวนเทียนหมิงยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่เขาพูดกับเหยาซื่อ “ตั้งแต่นี้ไปนางไม่ได้เป็นบุตรสาวของเจ้าอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
เมื่อพูดจบเขายืนขึ้นในขณะที่อุ้มนางและนำออกจากห้อง
เฟิงหยูเฮงเหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ นางไม่มีพลังคิดอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นนางจึงไม่เห็นเหยาเซียนและเฟิงจื่อหรูซึ่งเข้ามาในห้องกับซวนเทียนหมิง
เหยาซื่อค่อนข้างตกใจกับคำที่ซวนเทียนหมิงพูดก่อนที่จะจากไป ขณะที่นางนอนตะลึงและไม่รู้ว่าจะทำอะไร นางเห็นเหยาเซียนมาถึง ราวกับว่านางได้พบเสาสนับสนุน นางยกมือขึ้นอย่างอ่อนโยนนางต้องการโบกมือให้เหยาเซียน อย่างไรก็ตามนางเห็นสิ่งเดียวกันในสายตาของเหยาเซียนที่นางเห็นจากสายตาของเฟิงหยูเฮง แม้แต่เฟิงจื่อหรูก็มองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ครั้งนี้เด็กคนนี้ไม่รีบไปหามารดาของเขา เขายืนอยู่ข้างเหยาเซียนแทน เขาอยู่ห่างจากเตียงเพียงไม่กี่ก้าวและมองเหยาซื่อ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า “ท่านพี่ช่วยท่านแม่และปกป้องท่านแม่ตลอดเวลา แต่ท่านพูดว่าอะไร ? อย่าคิดว่าข้าไม่ได้ยิน ท่านแม่น่าผิดหวังมากขอรับ” เขามองออกไป และมองไปในทิศทางที่ซวนเทียนหมิงจากไป ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
เหยาซื่อส่ายหัวอย่างไม่รู้ตัวและพูดพึมพำ “นางไม่ใช่พี่สาวของเจ้า” เมื่อมองไปที่เหยาเซียน นางก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะบอกกับเขาว่า “นางไม่ใช่อาเฮง”
แน่นอนเหยาเซียนรู้ว่านางไม่ได้เป็นบุตรสาวคนที่สองของตระกูลเฟิงอย่างแท้จริง แต่นั่นก็เป็นหลานสาวของเขาที่เขาเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะเฟิงหยูเฮงยังคงกังวลเกี่ยวกับมารดาคนนี้ เขาจะบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตายจริง ๆ ! หลานสาวอันเป็นที่รักของเขาเสียชีวิตในชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง เขาไม่มีทางที่จะแก้แค้นได้ แต่เขาไม่สามารถยอมให้นางถูกรังแกได้ !
เขาชี้ไปที่เหยาซื่อและพูดทีละคำ “ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับนางหรือไม่ก็ตาม ! หากเจ้ายืนยันในเรื่องนี้ เจ้าอาจไม่ยอมรับพ่อคนนี้”
เหยาซื่อตกใจและทันใดนั้นก็รู้สึกกลัว นางกล่าวว่า “มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพ่อ ทุกคนสับสนกับนาง นางไม่ใช่อาเฮงจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
“ถึงอย่างนั้นแล้วมันเป็นยังไงล่ะ ? ” เหยาเซียนจ้องมองนาง และเตือนอย่างดุเดือด “นางเป็นหลานสาวของข้า ข้า เหยาเซียน ยอมรับนางในฐานะหลานสาวของข้าเท่านั้น เจ้าสามารถยอมรับนางได้หากเจ้าต้องการ” เขาสะบัดแขนเสื้อของเขาและเต็มไปด้วยความเย็นชา “ข้าจะหาที่พักอีกที่หนึ่งให้เจ้า ข้าจะหาพยาบาลและบ่าวรับใช้ คฤหาสน์ขององค์หญิงไม่เหมาะกับเจ้า และคฤหาสน์เหยา บุตรสาวที่แต่งงานแล้วจะไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลเหยาได้ ! ”
เหยาซื่อมองบิดาของนางโดยไม่เชื่อ ความรู้สึกกลัวก่อขึ้นภายในตัวนาง ราวกับว่านางเข้าใจบางอย่างชี้ไปที่เหยาเซียน นางกล่าวว่า “ท่านพ่อก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ท่านพ่อแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ ? ” คำพูดของนางเป็นคำถามเนื่องจากนางไม่แน่ใจ เพราะอารมณ์เดิมของเหยาเซียนเป็นจริงเหมือนกันกับอารมณ์เดิมของเฟิงหยิน มันเป็นเพียงว่าเขาเป็นคนเย็นชากับนาง
นางบอกว่าเหยาเซียนเปลี่ยนไป แต่เหยาเซียนบอกนางว่า “ทุกคนเปลี่ยนแปลงไป เป็นไปไม่ได้ที่บางคนจะผ่านหลาย ๆ สิ่งไปและยังคงเหมือนเดิม นี่คือการเติบโตปกติสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตามมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม เจ้า…”
เขาต้องการที่จะพูดต่อ แต่เขารู้สึกว่าการพูดอะไรต่อไปกับผู้หญิงในสมัยโบราณ นั้นเป็นการเสียเวลาเปล่า แต่เดิมคนผู้นี้เป็นเหมือนฮ่องเต้และไม่มีความรู้สึกเห็นใจมากนัก คนผู้นี้ใจดีและมีอิสระ สำหรับเขาที่จะพูดกับผู้หญิงที่ป่วยที่กำลังนอนอยู่บนเตียง มันเป็นความทุกข์อย่างแท้จริง นอกจากนี้เขาไม่ใช่บิดาแท้ ๆ ของนาง ไหนเลยจะมีความรักที่แท้จริง
เหยาเซียนโบกมือและกล่าวตรง ๆ ว่า “อยู่ในคฤหาสน์นี้และรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า หลังจากหายแล้วข้าจะส่งคนไปให้เจ้า หากเฟิงจินหยวนตัดสินใจที่จะไปที่ทางการเพื่อร้องเรียนเกี่ยวกับการโจมตีของเจ้า ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้ ถ้าเขาไม่ไปก็คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของอาเฮงและองค์ชายเก้า จำไว้ว่าเจ้าต้องพึ่งพาอาเฮงเพื่อความอยู่รอด อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย” หลังจากพูดอย่างนี้เขามองไปที่เฟิงจื่อหรูแล้วถามเขาว่า “เจ้าคิดอย่างไร ? เจ้าจะกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงหรือจะพักที่นี่ หรือจะกลับไปกับข้า”
เฟิงจื่อหรูส่ายหัวของเขา “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะไปที่จำหนักหยู ข้าจะให้พี่ใหญ่ส่งคนพาข้ากลับเสี่ยวโจวขอรับ”
เหยาเซียนพยักหน้าแล้วนำเฟิงจื่อหรูออกมา
เหลือเหยาซื่อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องนี้ แน่นอนว่ามีผู้คุ้มกันลับซึ่งไม่ได้ถูกไล่ออก อย่างน้อยพวกเขาก็ให้ความปลอดภัยแก่นางในตระกูลเฟิง
เหยาซื่อจ้องไปที่เพดานพร้อมกับลืมตากว้าง นางไม่เข้าใจ ทำไมไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่นางพูด ? อาเฮงคนนี้ไม่ใช่บุตรสาวของนางจริง ๆ ? นางไม่ใช่จริง ๆ !
ซวนเทียนหมิงอุ้มเฟิงหยูเฮงกลับไปที่ตำหนักหยู ซางคังและหวงซวนกลับมาพร้อมกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นหรือได้ยินสิ่งที่เหยาซื่อพูดด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็สามารถเดาได้
หวงซวนบอกซางคัง “ท่านฮูหยินเหยาคือคนที่ไม่มีมโนธรรม นางไม่รู้ว่าคุณหนูคิดถึงนางมากแค่ไหน แต่นางไม่รู้วิธีที่จะทำให้พอใจ”
ซางคังไม่เคยเป็นคนดีมากนัก หลังจากเขาเริ่มติดตามเฟิงหยูเฮงแล้ว เขาก็เริ่มเดินบนเส้นทางที่ชอบธรรมมากขึ้น ตอนนี้เขาเห็นว่าเเฟิงหยูเฮงถูกรังแกถึงขั้นนี้ เขาสับสนมาก “อาจารย์สามารถจัดการบิดาของนางได้เมื่อเขาปฏิบัติต่อนางไม่ดี แต่ทำไมนางไม่ทำอะไรกับมารดาของนาง ? เท่าที่ข้าเห็น มารดาแบบนี้ไม่คุ้มกับการรักษา มันจะเป็นการดีกว่าถ้าตัดนางออกเป็นแปดชิ้นเพื่อที่ข้าจะได้ฝึกฝน”
หวงซวนรู้สึกไม่สบายท้องจากการได้ยินสิ่งนี้ “เจ้าจะไม่ใช้คนมาฝึกฝนอีกต่อไปหรือไม่? หากคุณหนูได้ยินก็ต้องระวังว่าคุณหนูจะลงโทษเจ้า” หวงซวนจ้องที่ซางคังแล้วเดินออกไป
ซางคังก็รู้ว่าเขาจะถูกลงโทษเพราะคิดเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมาก เขาไปที่ห้องครัวเพื่อหาไก่ไปฝึก
กลับเข้ามาในห้องนอน ซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงพิงเขาอยู่บนเตียง เขาไม่ปล่อยนางและยังคงอุ้มนางในอ้อมกอดของเขา นิ้วโป้งและนิ้วนางขวาของเขานวดขมับของนางเพื่อพยายามบรรเทาอาการปวดศีรษะของนาง
เฟิงหยูเฮงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความรู้สึกกลัวยังคงปรากฏอยู่ คำพูดของเหยาซื่อสะท้อนความคิดของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นเหมือนการตำหนิ เหยาซื่อตำหนิว่านางได้ครอบครองร่างกายนี้ในขณะเดียวกันก็เตือนนางว่าบุตรสาวของนางจะต้องกลับมาในวันหนึ่ง
เฟิงหยูเฮงคว้าแขนของซวนเทียนหมิง ขณะที่ร่างกายของนางเริ่มสั่น ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง และถามว่า “ถ้า… ข้ากำลังบอกว่า ถ้าข้าเป็นตัวปลอม…”
“ตราบใดที่เจ้ายังเป็นเด็กผู้หญิงที่รักษาขาของข้าในภูเขาก็ไม่เป็นไร” เขายักไหล่ และเสริมว่า “ในความเป็นจริงตัวปลอมจะดีกว่า ถ้าเจ้าเป็นบุตรสาวของเหยาซื่อจริง ๆ ข้าคงไม่อยากได้นาง บิดาและมารดาเช่นนั้นไม่อาจให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีได้” ขณะที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาบีบหน้าเด็กผู้หญิงและแกล้งนาง “มันคืออะไร? เจ้าเสียใจหรือไม่?”
“ไม่แน่นอน” นางฟุบตัวลงในอ้อมกอดของเขา อาการปวดหัวของนางรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและถามเขาว่า “เมื่อไหร่เราจะกลับไปที่ค่ายทหาร ? ข้าอยากกลับไปที่ค่ายทหาร เหล็กของข้ายังอยู่ในการหลอมและกำลังทำอาวุธเหล็ก ข้าจะอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร ไม่ดีเลย”
นางบอกด้วยใบหน้าอ้อนวอนและหน้าตาน่าสงสาร เพียงแค่มองมันก็ทำให้ซวนเทียนหมิงรู้สึกทุกข์ใจ
“นอนหลับฝันดี เราจะออกเดินทางเมื่อเจ้าตื่นนอน ตกลงหรือไม่ ? ”
นางพยักหน้าและคิดนิดหน่อยก่อนกล่าวว่า “ถอดหน้ากากของเจ้าออกไป” ขณะที่นางพูด นางเริ่มง่วงนอน สติของนางเริ่มเลือนรางขณะที่นางพึมพำ “ภาพลักษณ์ที่ดีของเจ้ามีประโยชน์จริง ๆ ใช้มันเพื่อช่วยให้ข้านอนหลับ ! ” จากนั้นนางก็คว้าแขนของเขา “มันจะดีที่สุดถ้าเรากำลังไปค่ายทหารเมื่อข้าตื่นขึ้นมาแล้ว นั่นจะเป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีอย่างแท้จริง” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็หลับสนิท
ซวนเทียนหมิงหัวเราะและเอียงศีรษะของเขาเบา ๆ ร้องออกมา “เป่ยจื่อ” เป่ยจื่อผลักประตูเปิดทันทีและเข้ามา จากนั้นเขาก็ได้ยินคำสั่งของซวนเทียนหมิง “ส่งสารเข้าไปในพระราชวัง บอกตาแก่ว่าองค์ชายผู้นี้จะพาองค์หญิงไปค่ายทหารในวันพรุ่งนี้ เมืองหลวงจะถูกทิ้งไว้กับท่านพ่อเพื่อดูแล หากเสด็จพ่อไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นให้พี่เจ็ดอธิบาย”
เป่ยจื่อพยักหน้าแล้วจ้องมองที่เฟิงหยูเฮงด้วยความเป็นห่วง เขาถามว่า “องค์หญิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่พะยะค่ะ ? ”
ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “นางสบายดี” หลังจากคิดไปเล็กน้อย เขากล่าวเสริม “คอยจับตาดูฝั่งตระกูลเฟิง แม้ว่าเหยาซื่อจะไม่มีมโนธรรม แต่เราก็ไม่สามารถอนุญาตให้ใครใช้นางเพื่อข่มขู่องค์หญิงได้”
“ขอรับ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลขอรับ” ใบหน้าของเป่ยจื่อดูน่าเกลียดเล็กน้อย หลังจากพยายามอดทนอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและยังพูดความคิดของเขาได้ว่า “เมื่อข้าเห็นมันจะดีกว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นตาย นางห้อยติดอยู่กับขาบุตรสาวของนางจริง ๆ ”
ซวนเทียนหมิงโบกมือ “อย่าพูดแบบนี้อีกเลย ไม่ว่านางจะอยู่หรือตายมันก็ขึ้นอยู่กับนาง เราไม่สามารถทำให้มือสกปรก และเราต้องไม่อยากสร้างปัญหากับจิตใจของอาเฮง ไปได้แล้ว ! “
เป่ยจื่อหัน และกำลังจะจากไป อย่างไรก็ตามเขาจำเรื่องหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ฝ่าบาท น้องชายขององค์หญิงมา เขาบอกว่าเขาอยากกลับไปที่เสี่ยวโจว และต้องการให้องค์หญิงจัดคนเพื่อส่งเขากลับพะยะค่ะ”
ซวนเทียนหมิงไตร่ตรองเล็กน้อยและไม่คัดค้าน “นี่ก็ใช้ได้เช่นกัน ที่บ้านบิดาของเขาทำให้เกิดปัญหา และมารดาของเขาทำให้เกิดปัญหา ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขามากนัก จัดเตรียมองครักษ์เงาสองสามคนและรับประกันความปลอดภัยของเขา รวมทั้งนำตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญเงินมาแจกจ่ายให้กับตระกูลของสหายร่วมสำนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และใช้ชื่อองค์หญิงจี่อัน”
เป่ยจื่อถูจมูกของเขา “องค์ชายเจ้าเล่ห์จริง ๆ ” หลังจากพูดอย่างนี้แล้วเขาก็ถอยกลับไปสองก้าวอย่างรวดเร็วโดยที่กลัวว่าซวนเทียนหมิงจะตบเขา จากนั้นเขาก็โค้งคำนับและวิ่งออกไปจากห้อง
ซวนเทียนหมิงส่ายหัว และถอนหายใจ “คนพวกนี้กลัวเขาน้อยลงเรื่อย ๆ !”
เขาวางเด็กผู้หญิงลงบนเตียง หลังจากปรับหมอนและห่มผ้าห่มให้นาง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและเอาหน้ากากทองคำออกจากใบหน้าของเขา และวางไว้ระหว่างหมอนของพวกเขา จากนั้นเขายิ้มและดึงร่างเล็ก ๆ เข้ามาในอ้อมกอดของเขาและหลับไป
การนอนหลับคืนนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เฟิงหยูเฮงคิดว่าทำไมนางถึงฝันอยากแต่งงานกับสามี ? นางแต่งงานกับซวนเทียนหมิงแล้วหรือ ? ทำไมเพลงและดอกไม้สีแดงถึงอยู่เต็มในตำหนักหยู ? นอกจากนี้ยังมีคนพูดแสดงความยินดีกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางพยายามถามใครบางคนว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามไม่ใช่คนเดียวที่ตอบกลับ ทุกคนยิ้มให้นางราวกับว่าพวกเขาสวมหน้ากาก นางหันกลับมาและเห็นซวนเทียนหมิงสวมเสื้อคลุมงานแต่งงานสีแดงสด เขาสวมมงกุฎแดงและไม่สวมหน้ากาก ดอกบัวสีม่วงบนหน้าผากของเขาพร้อมกับเสื้อคลุมแต่งงานสีแดงดูดีขึ้น แต่นางเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ นางยังคงสวมชุดชั้นในของนาง เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งตื่นขึ้นมา ซวนเทียนหมิงกำลังจะแต่งงานกับใคร
นางรู้ว่านี่เป็นความฝัน และนางก็บังคับให้นางตื่นจากความฝันนี้ ลืมตาของนางนางเห็นซวนเทียนหมิงมองนางด้วยตาโต เขาไม่ได้สวมหน้ากาก และดอกบัวสีม่วงบนหน้าผากของเขายังคงพร่ามัว และดูเหมือนขี้เกียจ
นางขมวดคิ้วและดึงผ้าห่ม หลังจากทำให้แน่ใจว่าซวนเทียนหมิงไม่ได้สวมเสื้อคลุมสีแดง ในที่สุดนางก็สงบลง
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกนาน “โชคดีที่มันเป็นแค่ความฝัน”
หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้นางก็ได้ยินเสียงดนตรีและเสียงกลอง เพลงนั้นค่อนข้างสนุกสนาน
นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันทีและจ้องมองที่ซวนเทียนหมิงถามว่า “เจ้ากำลังแต่งงานจริง ๆ หรือ ? ”