บทที่ 620 สาวก (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 620 สาวก (2)

 

กระบวนการบรรยายกฎใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งชั่วยามกว่าๆ หลังจบแล้ว ลู่เซิ่งแลกเปลี่ยนกลิ่นอายคลื่นของเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดกับมนุษย์เหล็ก จากนั้นจึงค่อยออกจากเส้นทางบรรยายกฎภายใต้สายตาอาลัยอาวรณ์ของอีกฝ่าย

 

ลู่เซิ่งเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งคืนหลังจากกลับถึงนครหลวงผ่านค่ายกล

 

เช้าตรู่วันต่อมา เขาก็ข้ามไปถึงตำหนักกว้างขวางที่คล้ายๆ กับโบสถ์ อันเป็นจุดกำหนดที่จะใช้เข้าพบผู้ปกครองจันทราแดง โดยผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในนครหลักซึ่งมีค่ายกลส่งตัวเฉพาะของสาวกจันทราแดง

 

ขณะนั่งอยู่กลางเก้าอี้หลายแถวด้านล่างตำหนัก ลู่เซิ่งมองไปยังด้านหน้าเพื่อพิจารณาลวดลายและรูปภาพสีเลือดอันแปลกประหลาดบนผนังฝั่งตรงข้าม

 

ตำหนักใหญ่นี้สร้างอย่างหยาบๆ ลวดลายกับรูปภาพบนผนังรอบๆ ส่วนใหญ่พร่ามัว บางส่วนถึงขั้นขาดไปบางมุม

 

ฝุ่นละอองกระจายจับบนพื้น แสงสีเขียวของค่ายกลที่กะพริบบนเพดานเหนือศีรษะมีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำงาน ซึ่งแสดงผลอำพรางกลิ่นอายด้านหน้า

 

ผู้ที่นั่งอยู่ทางขวามือของลู่เซิ่งเป็นวิญญาณลักษณะของบุรุษวัยกลางคนที่มีร่างกึ่งโปร่งแสง

 

ผู้ที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของลู่เซิ่งเป็นโฉมงามวัยเยาว์ที่มีบุคลิกธรรมดามาก

 

แน่นอนว่าถ้าหากมองข้ามตั๊กแตนที่มุดเข้ามุดออกรูจมูกกับหูของนาง นางก็เป็นสาวงามที่ธรรมดาสุดๆ จริงๆ

 

‘ไม่ใช่พวกคนจากตอนสมัคร’ ลู่เซิ่งพูดในใจ

 

เขายกแขนขึ้นลูบเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดบนแขนท่อนปลายของตัวเอง

 

เขาฉีกผิวออก แล้วใส่มันที่เหมือนกับไข่แมลงเข้าไปด้านใน

 

ไข่แมลงนี้ฝ่อไปแล้ว ตัวมันมีความสามารถมากมายหลากหลาย

 

อย่างหนึ่งในนี้มีผลเหมือนการแจ้งข่าวกำหนดตำแหน่ง โดยสามารถเลือกแลกเปลี่ยนกับสาวกจันทราแดงที่มีสัญลักษณ์กลิ่นอายเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด เพื่อส่งตำแหน่งของตัวเองในตอนนั้นๆ และยังถ่ายทอดคำพูดสั้นๆ ภายใต้ความยินยอมของผู้เป็นนายได้

 

นอกจากนี้เมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดที่เป็นสัญลักษณ์สถานะของสาวกจันทราแดงยังดำเนินการทำสนธิสัญญาการค้า รวมถึงการยืมหรือแลกเปลี่ยนพลังข้ามโลกในเวลาสั้นๆ ได้ด้วย

 

พูดอีกอย่างก็คือ เหล่าสาวกจันทราแดงจะมีความมั่นใจในการแลกเปลี่ยนข้ามโลกก็ต่อเมื่อมีของสิ่งนี้

 

โดยเฉพาะความสามารถยืมพลังข้ามโลก หลังจากทำพันธะสัญญากับสิ่งมีชีวิตหรือตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ขอแค่ทิ้งตราประทับจันทราแดงไว้บนร่างอีกฝ่ายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ก็ให้อีกฝ่ายยืมใช้พลังส่วนหนึ่งของตัวเองได้ผ่านระยะทางที่ไกลแสนไกล

 

ขณะลูบเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดเบาๆ ด้ายกระตุ้นวิญญาณกับแก่นหยางบนร่างลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่โบราณของมัน

 

ตอนที่เขากำลังเหม่อลอย เหนือตำหนักด้านหน้าก็ปรากฏเงาคนสีเทาที่พร่ามัวอย่างฉับพลัน

 

เงาคนจับตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว เป็นบุรุษผมยาวสีดำไว้หนวดจิ๋ม เขาสวมชุดคลุมสีแดงสด พอตั้งหลักได้แล้วก็พลิกมือปลดรูปสลักมนุษย์ตัวหนึ่งที่สะพายไว้บนหลังลงวางบนพื้น

 

“พวกเรามีเวลาจำกัด ทุกคนต้องเร่งมือหน่อย” บุรุษเตือนอย่างรวดเร็ว “ผู้ปกครองจันทราแดงไม่ได้สาดส่องแสงแก่พวกท่านเท่านั้น ยังมีคนใหม่อีกมากมายรอคอยการดูแลจากผู้ปกครองอยู่”

 

เขาวางรูปสลักลงด้านหน้าทุกคน รูปแกะสลักเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีดำที่มีสีหน้าเรียบเฉย เพียงแต่ส่วนดวงตากะพริบแสงสีแดงน้อยๆ

 

“ทุกคนว่าตามข้า!” บุรุษหมุนตัวไปโค้งคำนับรูปสลัก

 

“ผู้ปกครองจันทราแดงที่ยิ่งใหญ่ แสงสว่างของท่านสาดส่องนครตราชั่ง ความเมตตาของท่านทำให้พวกเราซาบซึ้ง ณ ที่แห่งนี้ พวกเราขอมอบชีวิตที่เหลือในอนาคตให้แก่จันทราแดงอันเป็นนิรันดร์ และจะยอมจ่ายทุกสิ่งทุกอ่ยางให้แก่การลุกไหม้อันเป็นนิรันดร์ถึงที่สุด!”

 

“ผู้ปกครองจันทราแดงที่ยิ่งใหญ่ แสงสว่างของท่านสาดส่อง…”

 

คนที่อยู่บนที่นั่งรีบท่องตามเสียงดัง

 

ลู่เซิ่งทำปากท่องตามเสียงของทุกคน เขาสัมผัสได้ว่ามีข้อมูลซับซ้อนหลายสายส่งมาจากบนรูปแกะสลักนั้นอย่างเลือนราง แล้วไหลเข้ามาในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดบนท่อนแขนของเขาตามเสียงท่อง

 

ข้อความสั้นๆ อันเรียบง่ายถูกท่องจบอย่างรวดเร็ว ข้อมูลก็ถูกส่งจนเสร็จสิ้นเช่นกัน

 

ลู่เซิ่งส่งจิตวิญญาณเข้าไปในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดเพื่อเริ่มตรวจสอบข้อมูลนี้

 

การสืบทอดจันทราแดงตรงไปตรงมามาก ข้อมูลคือวิชาที่มอบให้โดยตรง มีชื่อว่าวิธีฝึกฝนสายน้ำสีชาด วิชานี้ไม่ใช่วิชาการฝึกฝนหลัก หากเป็นวิชาช่วยเหลือพิเศษชนิดหนึ่ง

 

มันสามารถทำให้ผู้ฝึกฝนรวบรวมพลังจิตวิญญาณได้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็หลอมมันเป็นหยกสีชาด หยกสีชาดจำนวนมากจะกลายเป็นสภาพสายน้ำ สุดท้ายค่อยกลายเป็นสายน้ำในกายที่ไหลอย่างไม่หยุดยั้ง

 

สายน้ำสีชาดจะซัดใส่จิตวิญญาณและกายเนื้ออย่างต่อเนื่องขณะไหลเวียน เพื่อทำให้พวกมันแข็งแกร่งทนทานขึ้นเรื่อยๆ จนสำเร็จร่างนทีสีชาดหลอมอารามวิญญาณ

 

ขั้นตอนนี้ตรงกับระดับมนุษย์ถึงระดับอสรพิษพอดี มันเพิ่มไพ่ตายให้แก่ผู้ฝึกฝนทางอ้อม ทั้งยังเป็นไพ่ตายที่มีอานุภาพแข็งแกร่งสุดขีดด้วย

 

ลู่เซิ่งแยกแยะได้ว่า อานุภาพของวิชานี้ด้อยกว่าแปดวิถีมารสูงสุดของเขานิดหน่อยเท่านั้น แต่ระดับความยากในการฝึกกลับง่ายดายกว่ามากๆ

 

‘สมกับเป็นวิชาที่ผู้ปกครองมอบให้ ใส่ใจดีจริงๆ ไหนดูซิว่าวิชาในภายหลังมีเงื่อนไขอะไร’ พอลู่เซิ่งตรวจสอบข้อมูลเสร็จ ก็เห็นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นสะพายรูปสลักขึ้น ก่อนที่ร่างจะค่อยๆ กลายเป็นกึ่งโปร่งแสงอีกครั้ง

 

“ทุกท่านได้กลายเป็นสมาชิกสาวกจันทราแดงแล้ว ทุกปีพวกท่านจะต้องช่วยกันดำเนินการไล่ล่าครั้งหนึ่ง ทุกคนจงอย่าลืม” บุรุษทิ้งประโยคหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหายไปจากตำหนักใหญ่

 

“ช่วยเหลือการไล่ล่าหรือ” ลู่เซิ่งกวาดตาอ่านข้อมูลที่ส่งมาใหม่

 

ความหมายกว้างๆ ก็คือ ในฐานะสมาชิกสาวกจันทราแดง เมื่อสหายพบเจอความยากลำบาก ท่านจะไม่สนใจก็ได้ แต่ถ้ามีคนสังหารสหาย แล้วท่านฆ่าฆาตกรผู้นี้ได้ ก็จะได้รับรางวัลจากผู้ปกครองจันทราแดง

 

การฆ่าฆาตกรที่ทำร้ายสหายเรียกว่าช่วยเหลือการไล่ล่า สาวกทุกคนจะต้องดำเนินการช่วยเหลือการไล่ล่าปีละครั้ง แน่นอนว่าไม่ทำก็ได้ หากจ่ายเงินก็จะได้รับการยกเว้น

 

‘นี่น่าจะเป็นกฎที่ออกแบบไว้รับมือกับหลักการความยุติธรรมของนครตราชั่ง…’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง

 

หลังบุรุษจากไป มนุษย์ ปีศาจ ผี และตัวประหลาดที่นั่งอยู่ในตำหนักก็พากันลุกขึ้น ส่วนใหญ่รีบเร่งออกจากตำหนักใหญ่

 

คนส่วนน้อยอย่างลู่เซิ่งต่างก็เอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน แสดงให้เห็นว่ามีความมั่นใจอย่างแรงกล้า

 

“มียันต์คุ้มกันกายระดับนี้ ข้าอยากเห็นนักว่าไอ้หมอนั่นจะเอาอะไรมาสู้กับข้า!” วิญญาณด้านข้างสบถเบาๆ อย่างเหี้ยมเกรียมดุร้าย

 

ลู่เซิ่งเหลียวมองเขา ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินออกจากตำหนักใหญ่

 

แสงอาทิตย์ด้านนอกงดงาม ทั้งยังอบอุ่นเหมือนวสันต์ฤดู

 

เขาเดินไปด้านซ้ายตามขอบของเงาที่ทอดลงมาบนระเบียง

 

มีคนยืนอ่านอยู่หน้าคัมภีร์ศิลา แต่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งเป็นระยะ

 

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านบนนั้นคร่าวๆ

 

เป็นราคาค่าจ้างที่คนบางส่วนในหมู่สาวกจันทราแดงที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งเขียนเอาไว้

 

สองฝ่ายสามารถหาคะแนนคุณูปการได้จากการจ้างงานภายในแบบนี้

 

นอกจากนี้แล้ว ด้านข้างยังมีแผ่นศิลาอีกแผ่น ลู่เซิ่งเดินเข้าไปกวาดตาอ่าน แล้วเจอเนื้อหาที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว

 

มันคือวิชาฝึกฝน และคะแนนคุณูปการกับราคาที่จำเป็นต้องจ่ายซึ่งสอดคล้องกัน

 

วิชาฝึกฝนสายน้ำสีชาดอยู่ในขั้นต่ำ หลังจากฝึกฝนสายน้ำสีชาดสำเร็จ ก็จะเป็นระดับอสรพิษ

 

จากนั้นก็เป็นขั้นกลาง ซึ่งเริ่มใช้พลังแกนดาว ช่วงนี้ตรงกับระดับผู้ถืออาวุธและระดับอริยะเจ้า

 

ต่อจากนั้นเป็นการหลอมสร้างแสงจันทร์ นี่ตรงกับระดับเจ้าแห่งอาวุธและระดับลวงตา

 

สุดท้ายเป็นขั้นสูง ตรงกับระดับมายาพิศวง

 

‘สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราในตอนนี้คือวิชาแสงจันทร์ ใช้คะแนนคุณูปการสูงมากทีเดียว’

 

ลู่เซิ่งดูคุณูปการที่จำเป็นสำหรับวิชาระดับแสงจันทร์ ห้าแสนคะแนนคุณูปการ หรือใช้เงินน้ำแข็งห้าล้านแลกแทนก็ได้

 

‘สถานะนี้ไม่เลวแฮะ ทุกอย่างเหมือนกับตะขอแขวนเงิน ขอแค่มีเงินมากพอ จะซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น’

 

สิ่งที่เขากังวลก็คือ วิชานี้อาจมีคนวางกับดักอะไรเอาไว้

 

‘ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปสนใจ ตอนนี้ได้สถานะผู้อยู่อาศัยมาแล้ว หาที่อยู่ในนครหลวงก่อนก็แล้วกัน’

 

จากนั้นเขาก็ออกจากตำหนักใหญ่ หลังจากใช้ค่ายกลส่งตัวข้ามโลกสิบกว่าครั้ง ในที่สุดก็กลับถึงเขตนครหลวง

 

ในมือเขายังเหลือเงินน้ำแข็งเจ็ดหมื่นกว่าๆ หลังจากเลือกแล้ว สุดท้ายเขาก็ซื้อคฤหาสน์ที่ไม่ใหญ่มากในเขตเปลี่ยวร้างของนครหลัก

 

พอซื้อคฤหาสน์เสร็จ เขาก็เหลือเงินน้ำแข็งเพียงสองสามร้อย กลับมาจนเหมือนเดิม

 

แต่ดีที่การค้าขายในเขตนครหลวงมีความยุติธรรม แถมตลาดในแต่ละด้านก็พัฒนาถึงขีดสุด ลู่เซิ่งจึงไม่ห่วงว่าของของตนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาไม่ได้

 

เขานำชิ้นส่วนโลหะสีขาวอมเงินที่ได้จากโลกชุดเกราะไปแลกเปลี่ยนได้เป็นเงินน้ำแข็งจำนวนสองพันกว่าๆ ที่ตลาด จากนั้นก็ซื้อวัตถุดิบค่ายกลที่จำเป็นสำหรับการจุติส่วนหนึ่งมาเสริม

 

ต่อมาก็ปิดประตู แล้วเริ่มการจุติครั้งใหม่ในคฤหาสน์ของตัวเอง

 

เขาจำเป็นต้องรีบจุติเพื่อรวบรวมทรัพยากรเป็นการเร่งด่วน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่เลือกโลกใบเล็กที่อ่อนแออีก โลกแบบนั้นมีความเข้มข้นของพลังงานไม่สูงมาก อีกทั้งเวลายังไหลเร็วมาก ทว่านอกจากการยกระดับจากการหลอมรวมจิตวิญญาณแล้ว ก็อย่านึกถึงทรัพยากรอย่างอื่นเลย

 

เหมือนกับโลกใบก่อน ลู่เซิ่งจุติเป็นกระต่าย สุดท้ายเอาอะไรกลับมาไม่ได้สักอย่างเดียว

 

ทั้งหมดเป็นเพราะระดับของโลกใบนั้นต่ำเกินไป

 

ครั้งนี้ลู่เซิ่งปรับการไหลของเวลาเป็นหนึ่งต่อสาม

 

หรือก็คือนครหลวงหนึ่งวัน ทางนั้นเท่ากับสามวัน

 

โลกแบบนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเจอโลกที่ไม่ค่อยมีความแตกต่างจากโลกหลักมากนัก

 

จากนั้นเขาก็ให้คนช่วยถามถึงข่าวคราวทางต้าซ่งบนดาวปรภพระหว่างเตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้าย

 

นครตราชั่งมีประชากรเยอะสุดขีด แม้ดาวปรภพจะค่อนข้างห่างไกล แต่ก็ยังมีข่าวไม่น้อยส่งมา และมีคนเก็บสมุนไพรจำนวนไม่น้อยไปซื้อสินค้าที่ดาวปรภพ ลู่เซิ่งจึงฝากให้คนเก็บสมุนไพรบางส่วนนำตุ๊กตาส่งข้อความชนิดหนึ่งไปยังดาวปรภพ

 

ตุ๊กตาชนิดนี้จำเป็นต้องวางในอาณาเขตที่เหมาะสมจึงจะใช้ได้ มันจะหาเป้าหมายและทำหน้าที่ให้เสร็จตามข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวม จากนั้นก็จะทำลายร่องรอยทั้งหมดทิ้งเอง

 

ความปลอดภัยแบบนี้ทำให้ได้รับการรับประกันระดับสูงสุด

 

หลังเตรียมการทุกอย่างเสร็จแล้ว ลู่เซิ่งจึงเริ่มกางค่ายกลจุติเป็นครั้งสุดท้าย

 

เขาใส่ทรัพยากรเข้าไปในค่ายกลนี้แล้ว หากเปิดโลกที่มีระดับสูงกว่าเดิม พลังงานที่จำเป็นต้องใช้ก็จะมีมากกว่าเดิมเช่นกัน

 

ค่ายกลแบบนี้ ถ้าเขาหาทุนคืนไม่ได้ ครั้งนี้ก็จะขาดทุนจริงๆ แล้ว

 

นอกจากนี้สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องระวังเพิ่มคือ โลกในครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป การที่เวลาไม่แตกต่างกันมากนักหมายความว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ทางนั้นจะมีตัวตนระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งกว่าลู่เซิ่งอยู่ด้วย

 

เกิดถูกเจอตัวโดยไม่ทันระวัง ผลลัพธ์จะเป็นระดับภัยพิบัติทันที

 

ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้ลู่เซิ่งถึงได้เตรียมการไว้อย่างพร้อมสรรพ หลังจากปรับร่างกายและจิตใจเป็นเวลาห้าวัน เขาก็เริ่มต้นการจุติ

 

นี่เป็นการเดิมพันอย่างหนึ่ง หากไม่สำเร็จ สินทรัพย์ก็จะต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่ และยังต้องสิ้นเปลืองเวลาอันมีค่าของตัวเองด้วย

 

ถึงอย่างไรการไหลของเวลาก็ไม่เหมือนกัน ถ้าหากยังสะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ อย่างนั้นครั้งนี้ก็จะเก็บอะไรกลับมาไม่ได้จริงๆ แล้ว

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท