บทที่ 651 ทำความเข้าใจ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 651 ทำความเข้าใจ (1)

 

สามวันต่อมา

 

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกลที่มีความซับซ้อนและใหญ่โตมโหฬาร

 

ค่ายกลในครั้งนี้ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มาก

 

ถ้าหากไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ความแตกต่างในการไหลของเวลาในครั้งนี้น่าจะเหนือกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา

 

เขาติดตั้งค่ายกลระดับสูงสุดเท่าที่ตนติดตั้งได้ เพื่อค้นหาโลกที่มีความเร็วในการไหลของเวลาแตกต่างกันมากที่สุดโดยไม่สนใจระดับพลัง

 

เมื่อเป็นแบบนี้ แค่อัตราส่วนน้อยสุด อย่างน้อยก็สามารถไปถึงหนึ่งต่อหนึ่งร้อยได้ ถ้าเยอะกว่าหน่อยก็คือหนึ่งต่อสองสามร้อย ถึงขั้นมากกว่าพัน หรือสองสามพัน

 

ความแตกต่างของความเร็วในการไหลของเวลาที่มหาศาลเช่นนี้ เพียงพอให้เขาทำความเข้าใจเป็นเวลานานได้แล้ว

 

พรึ่บ

 

ลู่เซิ่งค่อยๆ ลบลวดลายค่ายกลสำหรับควบคุมระดับพลังงานทิ้ง แล้วใช้มีดผลึกแกะสลักลวดลายชิ้นใหม่

 

จากนั้นก็คอยส่งแก่นหยางเข้าไปด้านในเป็นระยะ เพื่อทำให้ลวดลายค่ายกลหลอมรวมเข้ากับค่ายกลทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์

 

“กลืนสมุทร” เขาเรียกเบาๆ พร้อมกับสัมผัสนิ้วชี้บนพื้นค่ายกล

 

ซู่…

 

ก้อนโลหะที่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทโดยสิ้นเชิงก้อนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา

 

‘การใช้ไข่มุกกลืนสมุทรที่เสริมความแข็งแกร่งแล้วเป็นแกนค่ายกล สมควรยืดระยะเวลาของช่องแตกออกไปได้ และน่าจะรองรับแรงกดดันทางมิติเวลาได้มากกว่าเดิม ถ้าหากขยายขนาดของช่องแตกบางส่วนได้ก็จะดีกว่าเดิม’ ลู่เซิ่งมีแนวคิดอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือใช้ค่ายกลทิ้งป้ายบอกทางที่มั่นคงไว้ในโลกทั้งสองใบได้

 

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็จะเข้าสู่โลกที่เคยไปได้ง่ายกว่าเดิม

 

น่าเสียดายที่ถ้าต้องการทำถึงขั้นนี้ พลังงานที่จำเป็นมหาศาลเกินไปจริงๆ พลังงานส่วนตัวเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ

 

ป้ายบอกทางต้องการพลังงานที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ถึงจะส่งสัญญาณทะลุพายุมิติเวลาและวังวนมิติเวลานับไม่ถ้วนได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน

 

นี่ต้องการอุปทานพลังงานที่มีอย่างไม่ขาดสาย และกำลังคนที่จะคอยสับหน้าที่กันตลอดเวลา

 

‘ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งเสริมลวดลายค่ายกลจุดสุดท้าย จากนั้นก็ตรวจสอบวัตถุที่มีระดับพลังงานสูงบนร่างตัวเองอีกรอบหนึ่ง

 

การไปยังโลกที่มีระดับพลังงานต่ำในครั้งนี้ วัตถุระดับพลังงานสูงทั้งหมดล้วนเอาไปด้วยไม่ได้ เพราะจะถูกกั้นไว้ด้านนอกเยื่อกั้นของโลก

 

เกิดว่าถูกขวางกั้นตอนข้ามมิติเวลา สิ่งของใดๆ ที่ไม่มีการป้องกันจากพลังงานที่มากพอจะถูกฉีกเป็นผุยผงในทันที

 

ดังนั้นลู่เซิ่งเลยโยนของทั้งหมดไปไว้ในไข่มุกกลืนสมุทร เขาไม่แน่ใจว่าโลกรูปจิตพกของไปจุติด้วยได้หรือไม่ เลยไม่อยากจะเสี่ยง

 

โอสถบางส่วน อาวุธเทพสองชิ้น มีดวิถีมารที่เพิ่งซื้อมาเพื่อใช้ผ่าตัดเล่มหนึ่ง และยาปลอบประโลมจิตวิญญาณสองขวดที่บรรจุความสามารถเพิ่มพลังจิต

 

ที่เหลือคือสิ่งของจิปาถะส่วนหนึ่ง ลู่เซิ่งเพียงเก็บพวกเงินทองเพชรพลอย รวมถึงอาหารพลังงานความร้อนสูงอีกเล็กน้อยไว้กับตัว ก่อนจะเปิดค่ายกล แล้วเติมพลังกฎเกณฑ์แก่นอาคมจำนวนมากพอเข้าไป

 

หลังจัดการทุกอย่างนี้เสร็จ เขาจึงค่อยสงบจิตใจ หลับตาลง และนั่งขัดสมาธิที่เดิม

 

ซู่…ซู่…

 

เส้นสีแดงหลายสายสว่างและแผ่ขยายไปตามลวดลายค่ายกล

 

ไข่มุกกลืนสมุทรซึ่งลอยอยู่กลางอากาศเชื่อมต่อกับเส้นสีแดงหลายเส้นด้านล่างช้าๆ เส้นสีแดงทวีจำนวนและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

 

ฟ้าว!

 

พริบตานั้นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งผ่าน ช่องแตกสีเทากางออกด้านบนไข่มุกกลืนสมุทรอย่างฉับพลัน

 

ลู่เซิ่งกระโดดขึ้น ก่อนจะกลายร่างเป็นแสงสีดำพุ่งเข้าไปในช่องแตกเหมือนกับหัวลูกศร

 

ช่องแตกหุบลงอย่างช้าๆ เหลือแค่จุดจุดหนึ่งที่มีขนาดเท่าเม็ดงาลอยอยู่กลางอากาศ

 

ฟิ้วๆๆ!

 

ไข่มุกกลืนสมุทรยิงเส้นสีแดงออกมาหลายสาย ห่อหุ้มสีเทาจุดนี้ไว้อย่างแน่นหนา

 

รอถึงเวลาจำเป็นครั้งหน้า จะได้ขยายและเปิดใช้งานได้อีกครั้ง

 

 

ครืด

 

ผ้าม่านสีขาวถูกดึงเปิดออก

 

ลู่เซิ่งมองดูเด็กชายผมสีทองที่กำลังปั่นจักรยานเป็นวงกลมบนพื้นหญ้าราบเรียบนอกหน้าต่าง หูได้ยินเสียงทาสีดังครืดๆ จากด้านนอกประตูเบาๆ

 

เขาก้มหน้ามองเครื่องแต่งกายบนร่างตัวเอง

 

ร่างสูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร สวมเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนส์ สะพายกระเป๋าหนังสือใบเล็กๆ ไว้บนสองไหล่ บนหน้าอกข้างขวามีตราโรงเรียนติดอยู่

 

‘จัวเจิ้นอวี่ผู้มีอายุสิบห้าปี เรียนโรงเรียนส่วนกลางอันดับสองในเมืองเทียนงาม ความปรารถนาที่ต้องการมากที่สุดคือการทำให้พ่อกลายเป็นสุดยอดจิตรกรของโลกที่ได้รับฉายานามว่าเทพ’

 

‘รู้สึกผิดปกติตั้งแต่ก่อนจุติแล้ว เป็นอย่างที่คิดเลย…’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจอย่างหน่ายใจ

 

เขามองเห็นใบหน้าไร้เดียงสาของตัวเองซึ่งยังสลัดความเป็นเด็กออกไปไม่พ้น ผ่านกระจกสะท้อนได้อย่างชัดเจน

 

‘ผิวค่อนข้างขาว ผิวของชาวตะวันตกแต่หน้าของคนตะวันออกงั้นเหรอ’

 

ลู่เซิ่งยังนับว่าพอใจในร่างร่างนี้ โลกนี้เหมือนอย่างที่เขาคาดไว้ เป็นโลกที่ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติใดๆ

 

ความเฉื่อยของพลังงานในอากาศแข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง

 

พลังงานของไฟหยินอันยิ่งใหญ่ที่มีอาณาเขตทำลายล้างเป็นพันกิโลเมตรในโลกมารสวรรค์ กลับไม่พอจะใช้จุดบุหรี่สักมวนด้วยซ้ำเมื่อมาอยู่ที่นี่

 

ลู่เซิ่งทดลองใช้พลังของร่างหลักตั้งแต่แรก น่าเสียดายที่โครงสร้างวัตถุของที่นี่มีความเสถียรถึงขีดสุด แทบไม่มีพลังงานล่องลอย ใช้ไฟหยินจุดไฟได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

 

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เรื่องที่ทำให้เขาค่อนข้างสนใจก็คือทิศทางหลักของโลกใบนี้ หรือก็คือจิตรกร

 

โลกนี้มีประเทศหนึ่งร้อยกว่าประเทศ ทุกๆ ปีจะจัดการแข่งขันจิตรกรระดับโลก โดยตั้งชื่อให้ว่าเนตรแห่งเทพ

 

และบิดาของร่างร่างนี้ก็คือจิตรกรผู้ ‘โดดเด่น’ คนหนึ่งในอดีต

 

ดูจากความทรงจำของจัวเจิ้นอวี่ จัวซือชิ่งบิดาของเขามีทักษะด้านการวาดภาพที่ ‘เก่งกาจ’ ทั้งยังมั่นใจในด้านทักษะวาดภาพเหมือนของตัวเองมาก แม้จะเข้าร่วมการแข่งขันหลายครั้งแต่ไม่อาจไปถึงระดับเขตได้ก็ตาม

 

จัวซือชิ่งอ้างว่าเป็นเพราะผู้ตัดสินไม่มีตา คับข้องใจไปเสียทุกครั้ง

 

แต่สิ่งที่เขาเอือมก็คือ คนคนนี้ชอบอวดโอ่ต่อหน้าจัวเจิ้นอวี่ว่าตนมีความสามารถไม่ธรรมดา ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกติดอย่างเขา ทักษะการวาดภาพคงรุดหน้า และเข้าสู่การแข่งขันในระดับโลกโดยไม่มีปัญหาได้แล้ว

 

ส่วนผู้เป็นแม่ ตัวเจิ้นอวี่ไม่เคยเจอตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว จัวซือชิ่งผู้เป็นทั้งพ่อและแม่ รับผิดชอบงานบ้านทั้งหมด

 

นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ โลกใบนี้มีจิตรกรกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ว่ากันว่าครอบครองความลี้ลับซึ่งมีชื่อว่าวิญญาณภาพ

 

ภาพที่จิตรกรผู้ครอบครองวิญญาณภาพรังสรรค์ออกมา ถึงขั้นส่งผลต่อคนมีชีวิตทุกคนที่ได้เห็นภาพโดยไร้เงื่อนไขใดๆ และทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหลอนถึงอารมณ์ต่างๆ มากมายได้

 

‘จิตรกรธรรมดาไม่มีความสามารถใดๆ เป็นเพียงคนทั่วไปเท่านั้น แต่จิตรกรที่ครอบครองวิญญาณภาพซึ่งเป็นทักษะระดับสูงกลับมีความสามารถพิเศษหลายรูปแบบ โลกนี้จำกัดพลังธรรมชาติมากถึงขนาดนี้ กลับใจกว้างในด้านการวาดภาพ…ดูเหมือนครั้งนี้เราต้องเริ่มเรียนวาดภาพซะแล้ว!’

 

ลู่เซิ่งหวนนึกถึงความทรงจำของจัวเจิ้นอวี่ เป็นเพราะชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก จัวเจิ้นอวี่จึงรังเกียจที่ผู้เป็นพ่อพยายามสอนการวาดภาพให้แก่เขา ทั้งยังไม่สนใจโดยสิ้นเชิง

 

นี่ทำให้ทักษะพื้นฐานของเขาในตอนนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ด้วยซ้ำ ยิ่งอย่าว่าแต่กลายเป็นจิตรกร

 

ภายหลังแม้ความประทับใจต่อการวาดภาพจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะเรื่องบางอย่าง แต่เนื่องจากตอนนี้เพิ่งจะเริ่มไล่ตาม เวลาก็สายไปเสียแล้ว

 

‘สิ่งที่ลำบากนิดหน่อยก็คือ ไม่มีวิชามรรคายุทธ์ด้านการวาดภาพเลยนี่สิ…คิดจะใช้ประโยชน์จากดีปบลูสร้างความสำเร็จไวๆ เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว พร้อมกับเดินไปถึงด้านหน้าโต๊ะหนังสือและมองหนังสือบนนั้น

 

ทักษะร่างภาพขั้นพื้นฐาน เรียนวาดภาพจากปรมาจารย์ การระบายและสี ฯลฯ

 

พลิกดูอย่างขอไปทีอยู่ครู่หนึ่ง ด้านในมีการทำเครื่องหมายไว้อย่างวุ่นวาย พอตัวหนังสือสีดำกับคำอธิบายประกอบสีแดงมาผสมกัน กลับดูมีกลิ่นอายเด็กเรียนอยู่อย่างเข้มข้น

 

บางจุดที่มีแค่ประโยคเดียวก็ถึงขั้นที่มีคำอธิบายประกอบประโยคอยู่หลายบรรทัด

 

“เสี่ยวอวี่ เสี่ยวอวี่” จัวซือชิ่งที่อยู่ด้านนอกประตูเรียกชื่อเขาเสียงดัง

 

ลู่เซิ่งสงบจิตใจและรีบวิ่งออกไป

 

“เป็นอะไรไปครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”

 

จัวซือชิ่งใส่ชุดสูทสีดำไม่เป็นทางการที่ยับอยู่บ้าง สวมแว่นตา ถือปลาถุงหนึ่งที่ฆ่าแล้วไว้ในมือ

 

พอได้ยินคำตอบของลู่เซิ่งก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ปกติแล้วลูกชายไม่ตอบแบบนี้นี่นา

 

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก ได้สติกลับมา ก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าแล้วโยนปลาเข้าไปในอ่างล้างหน้าในห้องครัว

 

“เป็นไงบ้าง วันนี้ที่โรงเรียบราบรื่นดีไหม” เขาเปิดแอร์ในห้องรับแขก จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกออกพร้อมกับนั่งลง

 

“พอได้ครับ” ลู่เซิ่งนั่งลงตาม

 

ก่อนหน้านี้เขาลองคำนวณโดยเปรียบเทียบการทำงานของพลังงานในโลกใบนี้ดู พลังงานที่อยู่ที่นี่เบาบางถึงขีดสุด ทั้งยังมีความเฉื่อยมากจนน่าตกใจ

 

หลังจากใช้สูตรแปลงค่าคำนวณดู เวลาจะแตกต่างกับโลกมารสวรรค์หนึ่งต่อสี่ร้อยกว่าเท่า

 

หรือหมายความว่า ที่นี่ผ่านไปหนึ่งปี ทางนั้นยังผ่านไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ

 

สิบปีของที่นี่ เท่ากับที่นั่นสิบวัน

 

ถึงแม้เวลานี้จะไม่นับว่ามากมายอะไร แต่สำหรับลู่เซิ่งที่ขาดแคลนเวลาอย่างสาหัสในตอนนี้ ถือว่าเป็นการเติมเต็มเพิ่มเติมแล้ว

 

ครั้งนี้จะเลื่อนสู่ขอบเขตลวงตาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจของที่นี่แล้ว

 

ความจริงถ้าหากโลกที่จุติเป็นโลกที่มีระดับความเข้มข้นของพลังงานสูงจะดีที่สุด แต่ว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่เซิ่งจะควบคุมได้

 

‘ทางที่ดีที่สุดคือ ควรทำความเข้าใจจุดสำคัญในอีกสองสามปีได้’

 

ลู่เซิ่งถอดกระเป๋านักเรียนออก แล้วยื่นมือออกไปหยิบซาลาเปาถั่วแดงก้อนหนึ่งบนโต๊ะตามสัญชาตญาณ

 

หมับ

 

จัวซือชิ่งจับข้อมือของเขาไว้อย่างแม่นยำ

 

“กินข้าวให้หมดก่อน!”

 

“ครับ” ลู่เซิ่งพลันควบคุมตัวเอง เมื่อครู่เขาไม่ได้อยากจะกิน ตัวจัวเจิ้นอวี่ต่างหากที่ชอบกิน

 

“อีกสองสามวันลูกไปกินที่โรงอาหารของโรงเรียนนะ พ่อจะต้องไปเข้าร่วมการแข่งขัน”

 

พอจัวซือชิ่งพูดถึงการวาดภาพก็หน้าตาเบิกบาน ท่าทางกระปรี้กระเปร่า จนไม่เห็นว่าลู่เซิ่งแอบหยิบซาลาเปาถั่วแดงขึ้นมา

 

ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน อย่างไรการแข่งขันน้อยใหญ่มากมายที่จัวซือชิ่งเข้าร่วมก็มีเยอะถมไป ความปรารถนาของร่างร่างนี้จะสำเร็จหรือไม่เขาล้วนไม่สนใจ เพราะปัจจุบันจิตวิญญาณรองรับถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว หากหลอมรวมอีกก็เป็นแค่ของสิ้นเปลืองเปล่าๆ

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจ

 

ส่วนจะทำความเข้าใจอย่างไรนั้น…

 

ลู่เซิ่งจดจำเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูไว้ก่อนแล้ว วิชานี้เน้นการฝึกฝนจิตใจเป็นหลัก

 

สิ่งที่เน้นคือความเป็นธรรมชาติและการปล่อยไปตามสภาวะ

 

หลังจากกินข้าวกับจัวซือชิ่งที่กำลังโม้เสร็จ เขาก็ถูกไล่กลับไปทำการบ้านในห้อง ส่วนจัวซือชิ่งไปฝึกวาดรูปต่อ

 

ปัจจุบันบ้านหลังนี้อาศัยเขาขายภาพวาดธรรมดาๆ เพื่อประทังชีวิต

 

ปลาที่เพิ่มมาในวันนี้ต้องกัดฟันหามาแล้ว เป็นเพราะจัวซือชิ่งเห็นลูกชายสีหน้าไม่ดี เลยออกไปซื้อของมาบำรุงร่างกาย

 

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ลู่เซิ่งก็มานั่งหน้าโต๊ะหนังสือ

 

‘ไม่ว่ายังไงก็ต้องฝึกฝนความสามารถป้องกันตัวก่อน’

 

ต่อให้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่แก่นหยางก็หล่อเลี้ยงเขาคนเดียวได้มากพอ

 

หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งปรับตัวเข้ากับสภาพการใช้ชีวิตไปพลาง เริ่มเรียนทักษะการวาดภาพพื้นฐานตั้งแต่เริ่มต้นไปพลาง

 

จัวซือชิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันกลับมาอย่างรวดเร็ว ภาพวาดของเขาไม่สามารถเข้าสู่การแข่งขันตัดสินประจำเขตได้ด้วยซ้ำ

 

แต่การรบทุกครั้งแพ้ทุกครั้งก็มีข้อดีอยู่ พอตกบ่ายเขาก็กลับเป็นปกติ ทำกับข้าวให้ลู่เซิ่งต่อ

 

ไม่นานกับข้าวหนึ่งอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างก็ถูกยกขึ้นโต๊ะอาหาร

 

“กินเถอะ หลังกินเสร็จค่อยไปฝึกวิชาพื้นฐานต่อ” จัวซือชิ่งโบกมือ

 

“พ่อครับ ภาพวาดพ่อเป็นยังไงบ้าง เข้ารอบการแข่งขันไหม” ลู่เซิ่งซ้ำแผลโดยไม่ปรานีแม้แต่น้อย

 

จัวซือชิ่งหนังหน้ากระตุก

 

“แค่การแข่งขันเอง ต้องเข้าได้อยู่แล้ว เพียงแต่พ่อเห็นแก่คนในกลุ่มเดียวกันที่เดินทางมาตั้งไกล ก็เลยยอมถอยให้เขาเข้ารอบไปแทน”

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท